ทันใดนั้นการสนทนาถูกขัดจังหวะ สายตาของพวกหลินสวินทยอยมองไปทางซุ่นไป๋เสวียน
อัจฉริยะแห่งยุคจากตระกูลอริยะชั้นสูงผู้มีนิสัยหยิ่งผยองคนนี้ เวลานี้กลับผมเผ้ากระเซิง เสื้อผ้าขาดวิ่น บนผิวเต็มไปด้วยรอยแผล
แขนขาของเขาขนาบราบกับพื้น กระตุกเกร็งทั่วร่างเหมือนเป็นโรคลมชัก ตรงกันข้ามกับท่าทียโสโอหังไม่เห็นผู้ใดในสายตาเมื่อครู่ลิบลับ
เวลานี้เกรงว่า ต่อให้เป็นคนที่สนิทกับซุ่นไป๋เสวียนล้วนไม่กล้ารับว่ารู้จักกัน
น่าสมเพชเกินไปจริงๆ พาให้ผู้คนนึกเวทนา
“เฮ้อ ในที่สุดเจ้าคนตาถั่วคนนี้ก็ทำผิดพลาดจนได้”
พวกโค่วซิงถอนหายใจ
ทันทีที่ประโยคนี้เอ่ยออกมา อาการกระตุกเกร็งทั่วร่างของซุ่นไป๋เสวียนยิ่งรุนแรงขึ้น
เขาหันหน้าไปทางดาดฟ้าทำให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นสีหน้า แต่ทุกคนต่างรู้กันหมดว่า เขาในยามนี้กลัวแต่จะรู้สึกอับอายโกรธเกรี้ยวจนอยากตาย ไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว
สีหน้าแม่นางเยวี่ยดูแปลกไป
ตระกูลซุ่นเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์รุ่งโรจน์ตระกูลหนึ่ง ตั้งแต่ยุคบรรพกาลจวบจนปัจจุบันเคยมีอริยบุคคลย่างกรายออกมามากกว่าหนึ่งคน
ทั่วทั้งสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ ตระกูลซุ่นก็เรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจหนึ่ง อำนาจสะท้านเขตแคว้น เมื่อเทียบกับสำนักโบราณชั้นสูงในตอนนี้ล้วนไม่ได้ด้อยไปกว่ากันนัก
ในฐานะทายาทตระกูลซุ่น ถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะประหนึ่งราชันมาร ซุ่นไป๋เสวียนผู้นี้กลับถูกซัดน่วมจนเป็นสภาพเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนละห้อยละเหี่ยเสียจริง
สีหน้าลั่วเจียก็ดูพิกลไปน้อยๆ เช่นเดียวกัน
หากโลกภายนอกรู้เข้าว่าราชันมารจอมก่อกวนที่ทำให้คนรุ่นเยาว์หน้าเปลี่ยนสียามเอ่ยถึง วันนี้กลับถูกเด็กสาวคนหนึ่งซัดน่วมจนสภาพเป็นเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าควรจะคิดอย่างไร
“นี่พวกเจ้ากำลังรนหาที่ตายอยู่หรือ!”
ซุ่นไป๋เสวียนส่งเสียงคำรามโกรธเกรี้ยว ถูกเด็กสาวคนนั้นซัดกระแทกก็ช่างเถิด เวลานี้ยังถูกพวกโค่วซิงถากถางเยาะเย้ย ทำให้เขาแทบคลั่ง
แต่เวลานี้เองซย่าจื้อก็ปรากฏตัว เงาร่างอรชรโรยตัวลงบนดาดฟ้าแผ่วเบา กลิ่นอายมืดมิดเงียบสงัดไร้รูปวูบหนึ่งคละคลุ้งแผ่ซ่าน
ซุ่นไป๋เสวียนแข็งทื่อไปทั้งร่าง เริ่มนอนแผ่ราบกับพื้นแสร้งตายทันที ช่วยไม่ได้ เขาถูกซัดจนเกือบแหลกลาญไปแล้วจริงๆ
พวกหลินสวินพากันอึ้งงัน จากนั้นก็หัวเราะโดยไร้เสียง
เห็นได้ชัดว่าซุ่นไป๋เสวียนถูกซัดจนเงาทะมึนครอบงำจิตใจไปแล้ว ยามนี้พอเห็นซย่าจื้อก็ยอมศิโรราบเหมือนหนูเห็นแมวทันที
……
“เป็นไปไม่ได้ที่เสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬจะยอมจำนน แต่ก็พอจะสื่อสารกันได้ ทว่าก่อนหน้านี้ยังมีหนึ่งปัญหาที่ต้องสะสางก่อน”
“อะไรหรือ”
“ทำลายผนึก!”
บนยานสมบัติ ในห้องมีหลินสวิน แม่นางเยวี่ย และลั่วเจียนั่งกับพื้น กำลังหารือกันเกี่ยวกับหงส์ดำเลือดทมิฬ
“ผนึกหรือ” ลั่วเจียกล่าว “ที่มาครั้งนี้ข้าพกเอาสมบัติล้ำค่าของสำนักอย่าง ‘กระบี่ยอดนภาเบิกมาร’ มาด้วย น่าจะพอรับมือได้”
“ไม่” แม่นางเยวี่ยส่ายหน้า “นั่นเป็นผนึกที่อริยะบำเพ็ญธรรมบรรพกาลทิ้งไว้ ใช้พลังฟาดฟันไม่สามารถทำลายมันได้”
“แม้แต่กระบี่ยอดนภาเบิกมารก็ไม่ได้หรือ” ลั่วเจียขมวดคิ้ว
“ไม่ได้” แม่นางเยวี่ยเอ่ยปากอย่างเข็มเดียวเห็นเลือด “หากไม่เข้าใจวิธีแก้ ไม่ว่าสมบัติใดก็ไม่สามารถทำลายผนึกทิ้งได้ สมบัติอริยะก็ทำไม่ได้เช่นกัน”
ทันใดนั้นในใจหลินสวินกับลั่วเจียต่างสะท้านไหว ต่างคิดไม่ถึงว่าเพียงแค่ผนึกอันเดียวจะถึงขั้นน่าเหลือเชื่อเพียงนี้
“แล้วแม่นางเยวี่ยคิดว่าควรทำลายผนึกนี้อย่างไร” ลั่วเจียถาม
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับวิธีของคุณชายหลินแล้ว” แสงแพรวพรายเวียนวนในดวงตาใสกระจ่างของแม่นางเยวี่ย มองไปทางหลินสวินด้วยอาการเจือรอยยิ้ม
ไม่เพียงแค่ลั่วเจีย แม้แต่ตัวหลินสวินเองก็อึ้งงันด้วยเช่นกัน
ไม่รอให้ถามไถ่ แม่นางเยวี่ยก็กล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าในเทศกาลโคมกถามรรค แม้แต่กระบวนผนึกจตุลักษณ์ราชันของเผ่าหงส์เขียวก็ยังไม่อาจหน่วงเหนี่ยวคุณชายไว้ได้สักเสี้ยว ดูแล้วคุณชายคงมีความเชี่ยวชาญสุดด้านศาสตร์สลักวิญญาณอย่างแน่นอน”
หลินสวินพยักหน้า เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“นั่นเป็นถึงกระบวนสลักมรรคราชัน แม้ชิงเหลียนเอ๋อร์จะไม่สามารถงัดศักยภาพทั้งหมดของมันออกมาได้ แต่ก็ใช่ว่าจะถูกทำลายได้ส่งเดช หากไม่ผิดจากที่คาด เกรงว่าคุณชายคงมีความเชี่ยวชาญระดับปฐมาจารย์สลักวิญญาณแล้วกระมัง” แม่นางเยวี่ยกล่าวพลางยิ้มน้อยๆ
หลินสวินพยักหน้าอีกครา ในใจกลับรู้สึกปลงตก หญิงสาวคนนี้ช่างมีตาทิพย์เสียจริง สามารถมองทะลุความจริงมากมายจากเบาะแสเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น น่าทึ่งจริงๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้ในใจลั่วเจียก็เริ่มสั่นน้อยๆ คราวนี้จึงตระหนักโดยพลันว่าที่แท้เทพมารหลินที่อยู่ข้างๆ นี้ ยังมีฐานะเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่งอีกด้วย!
“เป็นเช่นนี้ก็สะดวกขึ้นแล้ว ผนึกที่อริยะบำเพ็ญธรรมบรรพกาลทิ้งไว้นั้น แต่เดิมก็เป็นหนึ่งในสิ่งต้องห้ามวิเศษฟ้าประทานอย่างหนึ่ง มีเพียงปฐมาจารย์สลักวิญญาณและอริยบุคคลเท่านั้นจึงจะสามารถทะลวงปริศนาในนั้นได้”
เสียงแม่นางเยวี่ยเนิบนาบ กล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ถึงตอนนั้น แค่ต้องให้คุณชายลงมือทำลายผนึกนี้ ก็เพียงพอจะทำให้แม่นางลั่วเจียมองเห็นเสี้ยววิญญาณของหงส์ดำเลือดทมิฬตัวนั้นได้แล้ว”
กล่าวถึงจุดนี้ลั่วเจียก็เข้าใจโดยสิ้นเชิง ในใจอดรู้สึกปลงตกไม่ได้ หากไม่ได้พบแม่นางเยวี่ยในครั้งนี้ เกรงว่าการเคลื่อนไหวเสาะหาวาสนาหนนี้ของตนคงต้องพังไม่เป็นท่าแน่
แต่หลินสวินกลับไม่ค่อยเข้าใจนัก เขากับลั่วเจียหาได้มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ แม้จะให้ช่วยเหลือ อย่างน้อยก็ต้องให้เหตุผลสักข้อหน่อยกระมัง
แม่นางเยวี่ยยิ้มกล่าวว่า “คุณชายอย่าได้ปฏิเสธเลย แม่นางลั่วเจียคนนี้ทำเพื่อให้ได้มาซึ่ง ‘คัมภีร์หงส์ทมิฬสิ้นสลาย’ หนึ่งใน ‘เก้าคัมภีร์หงส์เซียน’ แต่สถานที่ที่ปิดผนึกนั้นไม่ได้มีเพียงวาสนาชิ้นนี้อย่างเดียว”
นางไม่ได้ปิดบัง และไม่ได้สื่อจิต ดูสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด “หากเบื้องลึกที่ข้ารู้มาไม่ผิดพลาด พื้นที่รอบผนึกนั้นยังหลงเหลือศุภโชคที่เกี่ยวกับอริยะบำเพ็ญธรรมอยู่ชิ้นหนึ่ง”
เนตรดาราของลั่วเจียหดรัด กล่าวอย่างกระจ่างในใจ “หากเรื่องนี้เป็นความจริง ข้ายินดีจะมอบศุภโชคนี้ให้ คิดเสียว่าเป็นสินน้ำใจที่ท่านทั้งสองช่วยเหลือเกื้อกูล”
แม่นางเยวี่ยกล่าวอมยิ้ม “เช่นนั้นก็ขอบคุณไว้ล่วงหน้า ศุภโชคชิ้นนี้ไร้ประโยชน์สำหรับข้า หากได้รับมา กลับจะเป็นประโยชน์อย่างสุดประเมินสำหรับการฝึกปราณในอนาคตของคุณชายหลิน”
และในที่สุดหลินสวินก็มองออก ว่าเหตุที่แม่นางเยวี่ยเอาใจใส่ต่อเรื่องนี้ถึงเพียงนี้ เป็นเพราะอยากช่วยตนช่วงชิงศุภโชคชิ้นนี้มา!
สิ่งนี้ทำให้เขาอดรู้สึกประหลาดน้อยๆ ไม่ได้ แต่เมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนก็ตระหนักได้ว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยช่วยนางคลี่คลายวิกฤตที่มาจากลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ อีกฝ่ายทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังยื่นลูกท้อแลกลูกไหน
……
บนเส้นทางต่อจากนี้ ภายใต้การนำทางของลั่วเจีย ขบวนนักผจญภัยเปลี่ยนทิศทาง ยานสมบัติพุ่งไปอีกฝั่งของแม่น้ำพรมแดน
ระหว่างทางถึงจะประสบภัยพิบัติอันตรายมากมาย แต่ก็ล้วนหลีกเลี่ยงได้โดยไม่มีอันตราย
การประสบภัยที่ร้ายแรงที่สุดคือ การพบกับหญ้ายมโลกที่ลอยยวบยาบอยู่บนแม่น้ำพรมแดน
นี่คือสิ่งอับโชคที่เป็นลางบอกเหตุถึงความกลัวและความตาย มีตำนานต่างๆ เกี่ยวกับมันมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล
ว่ากันว่าเจ้าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับปริศนาต้นกำเนิดของการตายและวัฏจักร ทันทีที่ปรากฏ แม้แต่อริยะก็ได้แต่ถอยหลบ ด้วยเกรงว่าจะถูกกลิ่นอายของมันเปื้อนเปรอะ!
ในตอนนั้นที่พวกหลินสวินเจอเข้ากับหญ้ายมโลก หากไม่ได้แม่นางเยวี่ยเตือนได้ทันท่วงที คงเกือบถูกแสงรัศมีมืดสลัวสายหนึ่งที่เจ้าสิ่งนี้ปลดปล่อยออกมาเปื้อนเข้าแล้ว
ท้ายที่สุดถึงแม้จะหลบมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ยานสมบัติที่พวกเขาโดยสารลำนั้นกลับสลายกลายเป็นควัน อันตรธานอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา!
ภาพที่น่าพิศวงนี้พาให้หลินสวินขนลุกขนชันไปทั่วร่าง สิ่งที่ผลาญทำลายยานสมบัติอย่างไร้สุ้มเสียงนั้นเป็นเพียงแค่กลิ่นอายเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ทำให้ผู้คนไม่สามารถป้องกันได้เลยสักนิด
หลังจากผ่านเรื่องนี้มาก็ทำให้หลินสวินรู้จักความน่ากลัวของแม่น้ำพรมแดนขึ้นเรื่อยๆ ว่ามีสิ่งแปลกพิสดารและอัปมงคลมากมายเหลือเกิน
สองวันให้หลัง
หลังจากซย่าจื้อกินอาหารที่หลินสวินเตรียมไว้ให้นางอย่างพิถีพิถันก็จมสู่ห้วงนิทรา เริ่มต้นฝึกจุติกำเนิดใหม่เป็นครั้งที่สี่
หลินสวินบรรจงวางซย่าจื้อไว้ในเจดีย์สมบัติไร้อักษรอย่างระมัดระวัง
และหลายวันมานี้ คนหนุ่มผู้ยโสโอหัง คลั่งลำพองหาใดเปรียบอย่างซุ่นไป๋เสวียนก็สงบคำอย่างเห็นได้ชัดเรื่อยมา ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ย่างกรายออกมาข้างนอก
เห็นได้ชัดว่าการซัดกระหน่ำของซย่าจื้อสร้างเงาทะมึนยิ่งใหญ่มาสู่เขา จนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถเดินออกมาจากเงาทะมึนนั้นได้
เวลาเคลื่อนคล้อย เวลาหลายวันผ่านไปอีกครา
ตั้งแต่พวกหลินสวินเข้าสู่แม่น้ำพรมแดนจวบจนบัดนี้ก็เป็นเวลาราวๆ สิบวันแล้ว
พลังไล่ล่าของลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก พาให้แม่นางเยวี่ยแลดูผ่อนคลายลงไม่น้อยทีเดียว
“ถึงแล้ว”
ในวันนี้ เสียงลั่วเจียดังลอยมาจากยานสมบัติ ขณะที่พวกหลินสวินเดินขึ้นมาบนดาดฟ้าพร้อมกัน ก็เห็นว่าบนแม่น้ำพรมแดนไกลออกไปถึงกับมีแอ่งน้ำวนมหึมาปรากฏขึ้น สีดำมะเมื่อม ค่อยๆ หมุนเกลียว พลังที่แผ่กว้างออกมานั้นบิดเบือนและพังห้วงอากาศละแวกใกล้เคียง
อาณาเขตแถบนี้ยังมีบรรยากาศเงียบสงัดพิศวง แม้แต่สายน้ำที่ไหลเชี่ยวก็ยังนิ่งสงบ มีเพียงแอ่งน้ำวนขนาดใหญ่ประหนึ่งหุบเหวเท่านั้นที่หมุนวนอ้อยอิ่ง แต่ก็ไร้สุ้มเสียงเช่นเดียวกัน
พวกหลินสวินต่างรู้สึกถึงความพรั่นพรึง เสมือนว่าส่วนลึกของแอ่งน้ำวนมหึมานั้นยังซุกซ่อนพลังน่าหวาดกลัวอะไรสักอย่าง
“ปีนั้นผู้แข็งแกร่งหงส์ดำเลือดทมิฬที่เหยียบย่างบนอริยมรรคผู้นั้นก็มอดดับ ณ ที่แห่งนี้ เสี้ยววิญญาณของมันถูกผนึกอยู่บริเวณนี้”
เนตรดาราของลั่วเจียเจือแววหดหู่เสี้ยวหนึ่ง ในมือนาง ละอองแสงขมุกขมัวซ่านเซ็นออกมาจากขนปีกหงส์สีดำเข้มเหมือนไหม้เกรียมอันหนึ่ง กลิ่นอายของมันถึงกับสะท้อนรับกับแอ่งน้ำวนมหึมาที่อยู่ไกลออกไปนั้น
เห็นได้ชัดว่าลั่วเจียค้นพบที่แห่งนี้ผ่านขนปีกหงส์ดำแท้จริงขนนี้นั่นเอง หาไม่ในแม่น้ำพรมแดนที่ทั้งเวิ้งว้างและอันตรายแห่งนี้ หากคิดจะหาสถานที่นี้ให้พบก็ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร
“หืม? มีคนมาแล้ว!”
เวลานี้เอง นัยน์ตาหลินสวินหรี่ลง บนตัวแผ่ไอซวนหนีออกมาโดยพลัน ครอบคลุมยานสมบัติทั้งลำไว้ภายในนั้น ชั่วอึดใจพวกเขาก็ดูเหมือนหายไปกลางห้วงอากาศ
พร้อมกันนั้น พวกลั่วเจีย แม่นางเยวี่ยก็มองเห็นเช่นกันว่าอีกฟากของแอ่งน้ำวนขนาดยักษ์นั้น จู่ๆ ก็ปรากฏขบวนแปลกประหลาดขึ้น
นั่นคือภิกษุกลุ่มหนึ่ง มีราวๆ สิบกว่ารูป ท่าทางยังอ่อนเยาว์กันมาก แต่กลับสวมจีวรสีดำ บนลำคอแขวนลูกประคำสีดำ แต่ละคนต่างพนมมือประกบกัน สีหน้าแน่วนิ่งไม่ไหวติง แลดูเคร่งครัดขึงขัง แต่กลับมีกลิ่นอายเศร้าสร้อยชวนให้ผู้คนเงียบกริบ ว้าเหว่
พวกเขาโดยสารบนดอกบัวสีดำดอกหนึ่ง บัวดอกนั้นแบ่งเป็นยี่สิบสี่กลีบ ลักษณะคล้ายยานสมบัติลำหนึ่ง พยับหมอกสีดำเวียนวน ลอยคว้างอยู่บนผิวน้ำขุ่นมัว เข้ามาถึงอย่างเชื่องช้า
บัวสีดำดั่งเรือ บรรทุกคณะภิกษุจีวรดำปรากฏขึ้นกลางแม่น้ำพรมแดนอย่างปุบปับ กระตุ้นความลึกลับและพิศวงแก่สายตาผู้คน
“นี่คือผู้สืบทอดของอารามกษิติครรภ์ ‘แดนไร้ชีวิต’ !”
แม่นางเยวี่ยหรี่ตาลง “หรือว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริง ผู้บำเพ็ญธรรมบรรพกาลที่สังหารหงส์ดำเลือดทมิฬในตอนนั้น ก็เป็นภิกษุกษิติครรภ์รูปหนึ่งด้วย?”
นางดูคล้ายตกใจยิ่ง เสียอาการเล็กน้อยอย่างหาได้ยาก
อารามกษิติครรภ์?
แดนไร้ชีวิต?
หลินสวินกับลั่วเจียต่างรู้สึกไม่คุ้นหูเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อเห็นแม่นางเยวี่ยเสียอาการเช่นนี้ พวกเขาก็ตระหนักได้อย่างว่องไวว่าสถานการณ์ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป!
หรือว่าภิกษุจีวรดำคณะนี้ก็มาเพราะวาสนาที่ซุกซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน
——