เห็นเพียงภายในเปลวเพลิงสีเงิน เส้นใยสีเทาเคลื่อนไหวไปมาอย่างผิดปกติ แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจที่จะบินหลบหนีออกมาจากกำมือนั้นได้

“นี้คือ…” อิ๋นเย่ว์เมื่อเจอเข้ากับเหตุการณ์นี้เข้า ก็ผงะตกตะลึงไป

“นี้คือพลังหยินหยาง ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนสิ่งมีชีวิตแต่ว่ากายนั้นไม่อาจจับต้องได้ สามารถทะลุผ่านร่างกายและล่องหนได้ นำมาไว้ต่อสู้กับศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดก็เท่านั้น และถึงแม้ว่าแตะต้องเจ้าสิ่งนี้ในตอนที่กำลังอยู่ในขั้นหลอมรวมกายอยู่นั้น โดยทั่วไปแล้วก็ไม่อาจที่จะตรวจสอบเจอได้ ทำได้เพียงแค่รอให้มันสะสมอยู่ในร่างกายได้จำนวนหนึ่งแล้วระบาดออกมาเท่านั้น ถึงได้รู้ว่ามันมีอยู่” หานลี่เอ่ยออกอย่างไม่รีบร้อน

“อะไรนะ มีของเช่นนี้อยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นกายของข้าไม่ใช่ว่า…” อิ๋นเย่ว์ตกใจเสียยกใหญ่ เมื่อได้สติขึ้นมาก็รีบร้อนกวาดมันออกจากร่างกาย

“วางใจได้ ในเมื่อข้ารู้ว่ามีสิ่งนี้อยู่ แล้วจะให้สิ่งนี้เข้าใกล้กายเจ้าและข้าได้อย่างไรกัน ข้าใช้จิตสัมผัสแยกพวกมันออกมาตั้งนานแล้ว” หานลี่แอบหัวเราะออกมาอย่างเงียบ ๆ

“เป็นเช่นนี้ก็ดี ทำเอาเย่ว์เอ๋อร์กลัวแทบแย่! พี่หาน ท่านจงใจที่จะไม่บอกน้องเล็กก่อนใช่หรือไม่” เมื่ออิ๋นเย่ว์ได้ยินคำพูดนี้เข้า จึงได้สงบขึ้นมา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังหานลี่ แสดงออกถึงเสน่ห์อันน่าอัศจรรย์นั้นออกมา

สายตาของหานลี่เหลือบมองมายังใบหน้าที่มีเสน่ห์ของอิ๋นเย่ว์ ถึงแม้ว่าจิตใจของเขาจะได้รับการบำเพ็ญเพียรมาจนถึงขั้นที่ว่าไม่สั่นไหวต่อสิ่งภายนอกแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา เพียงแค่ครู่เดียวเขาก็ละสายตาไป

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะบอกเรื่องนี้ออกมาก่อน และต่อให้มนุษย์จะเป็นภัยกับสิ่งนี้ แต่ว่าที่ร้ายแรงที่สุดก็คือไร้ตัวตนไร้สี ในเมื่อถูกพบเข้าแล้ว แน่นอนว่าไม่มีอะไรให้หวาดกลัวอีกต่อไป เพียงแค่ใช้จิตสัมผัสคอยปกป้องร่างกาย และต่อให้เป็นเพียงผู้แปลธาตุ ก็สามารถแยกสิ่งนี้ออกจากกันได้โดยง่าย”

“ที่แท้ก็สามารถรับมือได้ง่ายถึงเพียงนี้ ถ้าเยี่ยงนั้นอิ๋นเย่ว์ก็วางใจแล้ว” อิ๋นเย่ว์เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ก็เอ่ยออกมาอย่างยินดี รีบเร่งนำเอาจิตสัมผัสออกมา

“ของสิ่งนี้ร้ายกาจมาก เมื่อเดินออกไปจากเขาวงกตนี้แล้วก็คงจะถึงยังที่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์ชีหลิงแอบซ่อนสมบัติเอาไว้ ข้างหลังนั้นถึงจะมีที่ซ่อนสมบัติเอาไว้อยู่อีกสองแห่ง ถึงแม้ว่าจะมีของบางอย่างอยู่ในนั้น แต่ก็

สามารถหลอกได้เพียงแค่เผ่ามารธรรมดาพวกนั้น ที่ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ จากสายตาของข้า” หลังจากที่นัยน์ตาของอิ๋นเย่ว์กลอกกลับไปกลับมาอยู่สองสามครั้ง จากนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม

“หากว่าเป็นเพียงบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาของแดนมาร หนทางเดียวที่เหลืออยู่เกรงว่าคงจะมีแต่วิธีนี้แล้ว แต่ว่านามของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์แห่งชีหลิงนั้น แทบจะเปรียบเป็นบรรพชนในแรกเริ่มของแดนมาร นอกจากเขาวงกตนี้แล้ว คงจะมีผู้สืบทอดที่ร้ายกาจยิ่งกว่าถึงจะถูก” เมื่อหานลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงได้เอ่ยตอบออกมาเช่นนี้

“ผู้สืบทอดที่ร้ายกาจยิ่งกว่า ถ้าเช่นนั้นมันคืออะไร หรือกว่าครึ่งนั้นเป็นเขตต้องห้ามทรงพลังอะไรทำนองนั้น” อิ๋นเย่ว์เม้มปากแน่นแล้วเอ่ยออกมายิ้มๆ

“ก็อาจจะเป็นไปได้” หานลี่มีท่าทีที่ไม่ได้ปฏิเสธออกไป

และในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ต่างก็พากันลงมือสังหารสัตว์อสูรจนแตกดับไปในคราวเดียว

และในตอนนี้ ด้านหน้าที่เดิมเป็นป่าหนาทึบ จนในที่สุดก็พบแสงสว่างอยู่ปลายทาง ตรงขอบของป่านั้นปรากฏประตูสีแดงสดสูงหลายสิบจั้ง ด้านบนถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายมารดำ และดูเหมือนว่าจะหนักมากจนหาที่เปรียบได้

จิตสัมผัสของหานลี่กวาดผ่านเข้าไปในประตูแดงสดขนาดใหญ่ แสงสีฟ้าวาบผ่านเข้ามาในรูม่านตา แล้วเขาก็เอ่ยบางสิ่งที่ไม่คาดคิดออกมา

“หั่วหยวนจิง ประตูบานนี้ถึงกลับสร้างมาจากวัสดุละเอียดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ชีหลิงท่านนี้ สถานะสูงส่งกว่าที่ข้าคิดไว้ในตอนต้นเสียอีก” หานลี่เอ่ยออกมาเช่นนี้ และจู่ๆ นิ้วมือก็ชี้ไปยังด้านในประตูสีแดงสด

“ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะดังออกมา เปลวไปสีเงินพุ่งตรงออกมาจากปลายนิ้ว และหายวับเข้าไปในประตูบานใหญ่ในชั่วพริบตาเดียว

ประตูบานใหญ่ยักษ์ที่แต่เดิมเงียบสงบไม่มีเสียงใดดังออกมา จู่ๆ ก็มีเสียง “ปัง” เปลวไฟสีแดงนับไม่ถ้วนพุ่งตรงออกมา เพียงแค่พริบตาเดียวประตูบานนั้นก็กลายเป็นประตูเปลวเพลิงขนาดใหญ่ไปในทันที

แต่ว่าประตูที่ปิดแน่นอยู่นั้น ก็ค่อยๆ ส่งเสียงอู้อี้แล้วเปิดออกมาช้าๆ

ลมหายใจร้อนลุ่มสายหนึ่งออกมาจากด้านหลังของประตู อิ๋นเย่ว์ที่ยืนห่างออกไปมากกว่าสิบจั้งเมื่อสัมผัสได้ถึง สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ผิวกายวาบร้อนขึ้นมาทันที กายบอบบางรีบร้อนถอยไปด้านหลังอยู่หลายก้าว ถึงได้หลีกหนีจากความร้อนนี้ไปได้

ด้านหลังของประตูบานใหญ่ยักษ์นี้ เหมือนดั่งว่าเป็นโลกของทะเลเพลิงสีแดงก่ำ

เปลวไฟนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เปลวไฟธรรมดา อุณหภูมิของความร้อนสูงมาก ถึงกับทำให้อิ๋นเย่ว์ที่อยู่ในขั้นของการบำเพ็ญเพียรนั้น ถึงกับไม่กล้าที่จะให้ร่างกายเข้าใกล้มัน และจำต้องใช้เคล็ดวิชาลำแสงวิญญาณเพื่อต้านทานและปกป้องร่างกายเอาไว้

หานลี่เมื่อพบเข้ากับเหตุการณ์เช่นนี้เข้า คิ้วก็ค่อยๆ ย่นขึ้นมา แต่ว่ากายกลับยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด

และด้วยเพราะว่าเดิมนั้นเขาบำเพ็ญวิชาเพลิงสวรรค์กลืนวิญญาณมาก่อน ดังนั้นเปลวไปนี้ย่อมมิอาจทำร้ายเขาได้แม้แต่น้อย

แต่ว่าในทะเลเพลิงตรงหน้านั้นกลับมีคลื่นต้องห้ามบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นมา และคงจะไม่ง่ายเหมือนกับตาเห็นเสียแล้ว

และหลังจากที่ความคิดของหานลี่เปลี่ยนไปมาอยู่สองสามครั้ง จึงไม่ลังเลที่จะใช้มือข้างหนึ่งทำท่าทางออกไป ในขณะเดียวกันก็อ้าปากแล้วพ่นออกมา

เสียง “ฟู่” ดังออกมา ลูกไปสีเงินก็พุ่งออกมา และหลังจากที่มีลมพัดออกไป ทันใดนั้นก็กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินขนาดหลายสิบจั้งออกมา

วิหคเพลิงตัวนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสีเงิน ปีกทั้งสองกางออก เงยหัวขึ้นแล้วร้องเสียงชัดใสออกมา แล้วจึงพุ่งกระโจนเข้าไปในทะเลเพลิงนั้น

เหตุการณ์แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นมา!

ในทุกๆ ที่ที่วิหคเพลิงผ่านเข้าไป เปลวไฟสีแดงจู่ๆ ก็แยกออกจากกัน เกิดเป็นถนนกว้างนับจั้งออกมา

“อิ๋นเย่ว์ หากยังไม่ไปตอนนี้ แล้วจะรอถึงเมื่อไหร่กัน!” หานลี่ส่งเสียงเรียกออกมา และเมื่อกายของเขาเคลื่อนไหว ก็ปรากฏขึ้นบนทางแปลกประหลาดนั้น

เมื่ออิ๋นเย่ว์พบเข้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวาน แล้วเคลื่อนกายบอบบางตามเข้าไป

เช่นนั้นแล้ว ทั้งสองคนตามติดอยู่ด้านหลังของวิหคเพลิง เดินผ่านเข้าไปยังทะเลเพลิง

ภายใต้ทะเลเพลิงที่ เต็มไปด้วยผลึกสีแดงปกคลุมไปทั่วพื้นดิน

ทุกๆ ชิ้นส่องแสงแดงก่ำแวววาวออกมา ด้านในมีเปลวไปสีแดงเข้มพ่นออกมา

หานลี่และอิ๋นเย่ว์ลอยตัวขึ้นสูงจากพื้นดินบินตามอยู่ด้านหลังของวิหคเพลิงสีเงิน เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวพวกเขาก็เข้ามาถึงใจกลางของทะเลเพลิง

เสียงดังปังดังขึ้น!

ผลึกด้านล่างของวิหคเพลิงสีเงินจู่ๆ ก็ระเบิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน สัตว์ปากกว้างมือหนาถือดาบขนาดใหญ่แวววาวออกมาจากด้านล่าง เพียงแค่ฉายประกายออกมาครั้งเดียวก็ผ่าเอาวิหคเพลิงออกเป็นสองส่วน

หากว่าเป็นสัตว์วิญญาณธรรมดาที่ได้รับบาดเจ็บจากสิ่งนี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ตายไปในที่เกิดเหตุ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับบาดเจ็บสาหัส

แต่ว่าเจ้าวิหคเพลิงตัวนี้ เกิดมาจากพลังเพลิงวิญญาณของหานลี่หล่อเลี้ยงขึ้นมา เดิมก็ไม่ได้มีร่างกายแต่อย่างใด และหลังจากที่ถูกโจมตีแล้วนั้น กายทั้งสองส่วนเพียงแค่บิดเบี้ยวไปอย่างกะทันหันเท่านั้น จากนั้นก็เชื่อมต่อเข้าด้วยกันเหมือนกับในตอนต้น

และยิ่งกว่านั้น วิหคเพลิงสีเงินโผบินขึ้นไปในทันที ปีกทั้งสองข้างกระพือลงอย่างแรงในเวลาเดียวกัน

“พรึ่บ พรึ่บ” ดังขึ้นมา!

ทุ่งสีเงินกลายเป็นแสงสีเงินหนาแน่นพุ่งตรงลงไป เพียงพริบตาเดียวก็ปกคลุมดาบแวววาวนั้นไว้จนหมด

“ตูม” เสียงดังลั่นสนั่นระเบิดออกมา

ผิวพื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเงิน ผลึกนับไม่ถ้วนถูกแสงสีเงินแทงทะลุผ่านลงไป แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กระจัดกระจายกันไป

เจ้าสัตว์แขนสีแดงนั้นก็กลายเป็นรูพรุนในทันที และดูเหมือนว่าจะกลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่อาจรักษารูปลักษณ์เดิมเอาไว้ได้อีก

และในตอนนี้เอง ผลึกที่อยู่บนพื้นดินใกล้ๆ อีกด้านหนึ่งก็เกิดเสียงดังสนั่นออกมาเหมือนกัน กำปั้นใหญ่ยักษ์สีแดงอีกข้างหนึ่งก็พุ่งออกมา กระแทกลงไปอย่างแรงบนร่างของวิหคเพลิงสีเงิน อักษรรูนสีแดงนับไม่ถ้วนปะทุออกมาจนทำให้วิหคเพลิงกระจัดกระจายออกเป็นเปลวไฟสีเงินนับไม่ถ้วน เพียงแค่ชั่วระยะเวลาเดียวนั้นไม่อาจกลับคืนสู่ร่างเดิมได้

หานลี่เมื่อเห็นสถานการณ์นี้เข้า กายก็หยุดชะงักเคลื่อนไหวไปข้างหน้า ดวงตาค่อยๆ หรี่ลงโดยไม่รู้ตัว

ใบหน้าของอิ๋นเย่ว์ปรากฏความประหลาดใจออกมา

เปลวเพลิงในทะเลเพลิงลุกโชนขึ้น ผลึกบนพื้นดินเองก็สั่นไหวขึ้นมาอย่างแรง หุ่นเชิดมนุษย์สูงกว่าสิบจั้งโผล่ออกมา

หุ่นเชิดนี้สวมชุดเกราะสีแดง ซ่อนร่างกายเอาไว้จากลมฝน แขนข้างที่หักอยู่นั้นถือดาบผลึกยักษ์ใหญ่เอาไว้ เปลวไฟสีแดงพันแน่นอยู่บนกาย ตรงกลางระหว่างคิ้วบนใบหน้าไร้อารมณ์นั้นสลักผลึกสีแดงเอาไว้

“หุ่นเชิดผลึกมาร!” หานลี่เมื่อมองไปยังหุ่นเชิดใหญ่ยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจนแล้ว ก็ส่งเสียงออกมาอย่างประหลาดใจ

รูปลักษณ์ภายนอกของหุ่นเชิดนั้นแตกต่างจากหุ่นเชิดผลึกมารตัวอื่นที่เขาเคยพบมาก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน แต่พลังเฉพาะตัวที่เปล่งออกมานั้น เป็นของหุ่นเชิดผลึกมารอย่างไม่ต้องสงสัย และเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่หุ่นเชิดธรรมดา

“หุ่นเชิดผลึกมาร!” อิ๋นเย่ว์เลิกคิ้วขึ้น มองไปยังหานลี่ด้วยความประหลาดใจ

“นี้เป็นหุ่นเชิดที่มีเอกลักษณ์ของแดนมาร ข้าในปีนั้นตอนที่เข้าสู่แดนมารเคยศึกษามาบ้าง แต่ว่าหุ่นเชิดที่อยู่ตรงหน้านี้อยู่ในขั้นหลอมรวมจนเกือบถึงขั้นสุดท้ายของอาณาจักรต้าเฉิง ห่างไกลจากหุ่นเชิดผลึกมารที่ข้าเคยพบมาก่อน” หานลี่กล่าวอธิบายออกมาอย่างรวดเร็วสองสามคำ

และในช่วงเวลานี้นั้น เจ้าหุ่นเชิดขนาดยักษ์ตัวนั้นได้ปีนขึ้นมาจากพื้นดินจนสมบูรณ์แล้ว หลังจากที่ดวงตาปรากฏเป็นแสงเย็นวาบขึ้นมา ดาบขนาดยักษ์ในมือก็กลายเป็นแสงเย็นวาบแล้วฟาดลงบนหานลี่

อย่าได้มองแต่เพียงว่าเจ้าหุ่นเชิดตัวนี้มีขนาดใหญ่ยักษ์ แต่ลำแสงของดาบมันนั้นเป็นเหมือนกับฟ้าผ่าฟ้าร้อง เพียงแค่แสงกะพริบเดียว ก็โดนยังหัวของหานลี่เข้าให้แล้ว ความรู้สึกเหน็บหนาวจนน่าขนลุกจึงเกิดขึ้นมา

ความหนาวเหน็บที่พัดผ่านมาในทุกๆ ที่ ทำให้เลือดในกายแข็งขึ้นมาในทันที

“น้ำค้างแข็งแต่กำเนิด น่าสนใจเสียแล้ว มิน่าเล่าถึงได้ทำลายวิหคเพลิงวิญญาณของข้าได้!” หานลี่ใช้พลังจิตสัมผัสเข้ากับความหนาวเย็นนั้น ดวงตาเขาก็เปล่งประกายขึ้น แขนข้างหนึ่งยกออกไปข้างหน้าอย่างไม่ชัดเจน

เสียงอู้อี้ดังออกมา คลื่นอากาศแผ่กระจายออกมาจากทั่วทุกสารทิศ!

ทั่วทั้งทะเลเพลิงสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง

ดาบเล่มใหญ่ยักษ์นั้นถูกนิ้วมือหนึ่งต้านทานเอาไว้

หานลี่ปล่อยให้ประกายแสงหนาวเย็นบนดาบยักษ์นั้นสาดส่องลงมา แต่ท่าทางของเขายังคงเดิม แววตาจ้องมาความหนาวเหน็บนี้ราวกับว่าไม่นับเป็นอันใด

ไม่น่าแปลกใจเลย อาศัยความแข็งแกร่งของหานลี่ในตอนนี้ เพียงแค่ความหนาวเย็นนี้ไม่อาจทำร้ายเขาได้แม้แต่น้อยอยู่แล้ว

แต่ว่าความสามารถของเจ้าหุ่นเชิดยักษ์ใหญ่นั้น คงไม่ได้มีเพียงแค่เท่านี้เป็นแน่ และเมื่อพบว่าดาบผลึกนั้นถูกขัดขวางเอาไว้ แววตาก็ฉายแววเย็นชาวาวบออกมา จู่ๆ ปากใหญ่ก็อ้าออกมา ลำแสงสีขาวนวลพุ่งออกมา ขณะเดียวกันแขนอีกข้างหนึ่งก็เหวี่ยงไปมา และในทันใดนั้นก็มีมือสีแดงขนาดใหญ่โผล่ออกมาในอากาศ ล้อมรอบไปด้วยอักษรโบราณนับไม่ถ้วน แล้วพุ่งโจมตีไปยังหานลี่อย่างรุนแรง

และก่อนที่มือใหญ่นั้นจะทันได้ตกลงมาจริงๆ แสงสีแดงร้อนจัดก็พุ่งออกมาก่อน จากนั้นก็ตามมาด้วยกลิ่นไหม้ที่ลอยออกมา

แสงสีแดงนั้นราวกับว่าแม้แต่ความว่างเปล่าก็ต้องการจะเจาะทะลุแล้วละลายมันเสีย ดังนั้นจึงพอที่จะคาดคะเนได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่นั้นได้แล้ว

สีหน้าของหานลี่ดูมืดมนลง และทันใดนั้นแขนข้างหนึ่งก็โบกลงมาต่อหน้าของเขา และชั่วขณะนั้นก็ปรากฏแสงมืดครึ้มออกมา

ลำแสงสีขาวนวลที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้านั้นเพียงแค่วาบเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าถูกลำแสงมืดครึ้มสีเทาเคลื่อนย้ายออกไปอย่างไรอย่างนั้น

ในเวลาเดียวกันนี้ ฝ่ามือขาวราวกับหยกยื่นออกมาจากแขนเสื้อ โดยที่ไม่รีบไม่ร้อนที่จะพุ่งออกไปยังลำแสงสีแดงและมือสีแดงขนาดใหญ่นั้น ตบลงไปเบาๆ