บทที่ 506.2 สองเดือนสอง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เรือนผีของเมืองสุยเจี้ย

ผู้เฒ่านั่งอยู่บนหลังคาเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง เสียงของลิงน้อยที่ไม่ว่าจะปลอบอย่างไรก็ไม่ยอมสงบตัวนั้นทำให้เขาหงุดหงิดใจเล็กน้อยจึงขว้างมันออกไปอย่างแรง

ไอ้พวกลูกกระต่ายผู้ฝึกตนท้องถิ่นในเมืองที่ขอบเขตต่ำและต่ำยิ่งกว่าเหล่านั้นต่างก็รู้แล้วว่าท่าไม่ดี บ้างก็เริ่มวิ่ง บ้างก็เริ่มบิน พากันเผ่นหนีออกไปจากเมืองสุยเจี้ยแล้ว

สมบัติประหลาดชิ้นนั้น เดิมทีพวกเขาก็ไม่กล้าคิดอยากครอบครองอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสำนักที่พึ่งพานครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้ง ซึ่งถูกพวกเขาสองฝ่ายลากให้มาช่วยเพิ่มบารมีอำนาจของตนก็เท่านั้น อีกทั้งหากต้องต่อสู้กันจริงๆ ก็จะสามารถเป็นกองกำลังที่ช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย

ผู้เฒ่าเองก็หงุดหงิดมากเหมือนกัน เหตุการณ์ดำเนินมาถึงขั้นนี้ นับว่ายุ่งยากอย่างมาก

เซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นเป็นพวกสมองไม่สมประกอบจริงๆ ด้วย ช่างสมกับที่เป็นหนึ่งในสี่ผีตอแยยากของบนภูเขาอย่างแท้จริง ลงจากเขามาหาประสบการณ์มักทำแต่เรื่องที่ตัวเองพอใจเสมอ!

ทัณฑ์สวรรค์เหนือหัวที่เกิดจากผลกรรมตามติดนี้ เจ้าคิดจะขวางก็ขวางได้อยู่หรือ? ถึงเวลานั้นหากเจ้าเห็นท่าไม่ดี ขวางได้ครึ่งทางแล้วเผ่นหนี แม้เจ้าจะรอดชีวิตไปได้ แต่ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ยังต้องมีกลิ่นคาวคลุ้งที่ไม่จำเป็นติดตัวไปอยู่ดีไม่ใช่หรือ?

ผู้เฒ่าพลันเอ่ยขึ้นว่า “นางผู้หญิงแพศยา ตอนนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี อย่ามายุ่งกับข้า”

บนชายคาที่ตวัดโค้งงอนแห่งหนึ่งมีสตรีโตเต็มวัยแต่งกายเรียบง่าย หน้าตาธรรมดา แต่สตรีชาวบ้านที่ไหนจะสามารถยืนอยู่บนพื้นที่คับแคบอย่างชายคาได้อย่างมั่นคง

สตรีปิดปากหัวเราะเสียงหวาน “เจ้าพูดกับฮองเฮาเช่นนี้หรือ? ใจกล้ายิ่งนัก”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างอัดอั้น “ทำให้งานใหญ่ที่วางแผนมานานของนายท่านพังแบบนี้ เจ้าและข้าตายร้อยรอบก็ยังไม่อาจชดใช้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่ทุกอย่างที่ทำมาดันล้มเหลวในตอนท้าย นายท่านมีแต่จะยิ่งโกรธเกรี้ยว”

สตรีโบกมือกล่าว “แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดอยู่ดีๆ สมบัติประหลาดชิ้นนั้นถึงได้สงบลง ปล่อยให้ทัณฑ์สวรรค์ลดทอนคุณภาพก่อนกำเนิดของมัน แล้วก็ไม่ได้ฉวยโอกาสนี้หนีไป แต่หากทัณฑ์สวรรค์เยื้องกรายลงมา มันก็ยังต้องถูกบีบให้เปิดเผยตัวอยู่ดี นครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งต่างก็ถอยไปอยู่ไกลๆ อย่างรู้อะไรควรไม่ควรแล้ว หากไม่ได้ไปหลบภัยที่วังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋นก็ไปหลบหายนะที่ภูเขาเฮยโย่ว ถึงเวลานั้นเจ้าและข้าก็จะสามารถชิงความได้เปรียบก่อนใคร แบบนั้นจะไม่ยิ่งดีหรอกหรือ?”

สตรีกล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด “เจ้าและข้าร่วมงานกันมาตั้งกี่ปีแล้ว ขอให้ข้าได้ทำใจกล้าถามประโยคที่เห็นแก่ตัวสักหน่อย เหตุใดนายท่านถึงไม่ยินดีลงมือด้วยตัวเอง? ด้วยตบะที่เลิศล้ำค้ำฟ้าของนายท่าน หลังจากที่วีรกรรมครั้งนั้นผ่านไป แม้ว่าจะเสียหายอย่างหนักจนจำต้องปิดด่าน แต่นี่ก็ตั้งกี่ร้อยปีแล้ว ไม่ว่าอย่างไรตบะก็ควรจะกลับไปสู่จุดสูงสุดเหมือนเดิมได้แล้ว หากนายท่านมาเยือน ก็ไม่ใช่ว่าสามารถกวักมือเรียกหาสมบัติประหลาดชิ้นนั้นได้เลยหรือ? ใครกล้าขัดขวาง เจ้าพวกเศษสวะอย่างฟ่านเหวยหรานหรือไร?”

ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “เจ้าจะไปเข้าใจกับผายลมอะไร สมบัติที่เกิดจากคุณความชอบเช่นนี้ อาศัยแค่ว่าใครตบะสูงก็แย่งชิงมาได้อย่างนั้นหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่นายท่านไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวและผู้ฝึกตนสำนักการทหาร ยิ่งตบะของนายท่านสูงเท่าไร เข้ามาในอาณาเขตของที่แห่งนี้ก็ยิ่งตกเป็นเป้าโจมตีเท่านั้น ทัณฑ์สวรรค์มันมีตา ต่อให้แบกรับได้ไหว แต่ตบะมากมายขนาดนั้นที่ต้องเสียไป เจ้าจะเป็นคนชดใช้ให้หรือ? ต่อให้เอาสมบัติในคลังสมบัติที่น้อยนิดเท่าก้นหมาของแคว้นอิ๋นผิงมานับรวมกัน ก็จะชดใช้ได้ไหวหรือ? ตลกนัก!”

สตรีไม่ถือสาคำพูดเหน็บแนมของผู้เฒ่า นางหันหน้าไปจ้องทางศาลเทพอภิบาลเมือง ขมวดคิ้วกล่าว “ดูจากสถานการณ์ อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็จำเป็นต้องออกไปจากเมืองสุยเจี้ยชั่วคราว หากอยู่ใกล้ไป เจ้าและข้าที่หมวกสูงกว่าใครก็ยังต้องเป็นคนต้านไว้อยู่ดีไม่ใช่หรือ? จะยอมเป็นที่ระบายของทัณฑ์สวรรค์นี่หรือไง? หากอยู่ไกลเกินไป รอให้ทัณฑ์สวรรค์ผ่านไปแล้ว สมบัติหนักชิ้นนั้นต้องรีบปรากฏตัวแล้วหนีไปจากสถานที่สกปรกแห่งนี้อย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นนครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งไม่มีทางลงมือล่าช้าแน่ พวกเราสองคนรับมือกันเย่หานและฟ่านเหวยหรานได้ไม่มีปัญหา แต่รอบกายพวกเขามีเศษสวะมากมายขนาดนั้นห้อมล้อม เมื่อมีจำนวนมาก ระวังเถอะว่าแม้แต่มดก็ยังกัดช้างให้ตายได้”

ผู้เฒ่าหัวเราะ ชี้ไปยังลิงน้อยที่ปีนกลับมาบนหลังคาและคอยหันไปแยกเขี้ยวใส่ทางศาลเทพอภิบาลเมืองอย่างต่อเนื่องตัวนั้น แล้วเอ่ยว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ สตรีอย่างเจ้าวันๆ เอาแต่คบค้าสมาคมกับพวกลูกมังกรหลานมังกรอย่างฮ่องเต้อัครเสนาบดีอะไรนั่น ยิ่งนานวันสายตาก็ยิ่งแย่ มองไม่ออกกระมัง นี่คือวานรกลืนสมบัติที่นายท่านทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมา คือทายาทรุ่นหลังของเผ่าพันธ์ยุคบรรพกาล รู้หรือไม่ว่าต้องจ่ายเงินเทพเซียนไปเท่าไร หากข้าพูดออกมาก็กลัวว่าจะทำให้เจ้าตกใจตาย มีมันอยู่ก็สามารถกลืนสมบัติลงท้อง ดังนั้นเรื่องราวจึงไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่เจ้าคิด แต่หากตัวเจ้าเองความสามารถอ่อนด้อย โดนเย่หานหรือฟ่านเหวยหรานโรมรันตามติดจนไม่อาจสลัดตัวออกมาได้ ก็บอกไว้ก่อนเลยว่า ข้าแค่จะพาเจ้าลิงน้อยจากไปเท่านั้น จิ้งจอกเหม็นสาบอย่างเจ้าจะสามารถเสวยสุขอยู่ในโลกมนุษย์ต่อไปได้หรือไม่ จะสามารถใช้ปราณมังกรของแคว้นมาแกะกลึงหนังจิ้งจอกได้หรือไม่ เจ้าก็ลองไปเดิมพันด้วยชีวิตตัวเองเอาเองเถอะ”

นางจิ้งจอกเหม็นสาบตนนี้เป็นฮองเฮามากี่รอบแล้ว?

ผู้เฒ่านินทาอยู่ในใจ

สตรีผู้นั้นทอดถอนใจ แหงนหน้ามองเมฆทะมึนที่ค่อยๆ ลดระดับลงมา สายตามีความกังวลปรากฏ “ศัตรูคู่อาฆาตคนนั้นของนายท่านคงไม่ได้แอบขัดขาอยู่ลับๆ หรอกกระมัง? คิดว่ามีผู้ฝึกตนโอสถทองอย่างเย่หานและฟ่านเหวยหรานแค่สองคนจริงๆ หรือไร?”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ในเมื่อปีนั้นทั้งสองฝ่ายแบ่งแยกความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจนแล้ว ดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ก็ไม่น่าจะมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก คนที่อยู่ในระดับสูงอย่างนายท่าน กลับกลายเป็นว่าจะให้ความสำคัญกับคำสัญญามากกว่ากบใต้บ่ออย่างพวกเรา ก่อนที่ข้าจะออกเดินทาง นายท่านก็เคยบอกว่า โอสถทองที่เหมือนกระดาษเปียกสองคนนี้ หากเจ้าและข้าเอาชนะไม่ได้ก็อย่าได้กลับไป หาที่เหมาะๆ แล้วเอาหัวพุ่งชนให้ตายก็พอแล้ว”

สตรีพยักหน้ารับ จากนั้นดวงตาที่งดงามเย้ายวนแต่กำเนิดคู่นั้นของนางก็ฉายประกายเร่าร้อนออกมาเสี้ยวหนึ่ง “นั่นคือกระบี่ที่ดีจริงๆ! ต้องเป็นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน! ต่อให้เป็นพวกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่อยู่ด้านนอก ได้เห็นแล้วก็ต้องหวั่นไหวเหมือนกัน!”

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “คนตาบอดข้างทางยังมองออก ยังต้องให้เจ้าบอกอีกหรือ? ทำไม หวั่นไหวแล้ว? งั้นก็ไปแย่งมาซะสิ”

สตรีหันหน้ามาตวัดค้อนใส่อย่างทรงเสน่ห์ “ตาแก่เจ้าพูดจาเหลวไหล หากคิดจะแย่งชิงจริงๆ นั่นก็ต้องรอให้ไอ้หมอนี่ไม่เหลือกำลังมากพอ ให้ถูกทัณฑ์สวรรค์ผ่าร่อแร่ใกล้ตายก่อนถึงจะได้”

ผู้เฒ่าจุ๊ปากพูด “ไม่ได้เจอกันนาน พอจะมีความสามารถเพิ่มขึ้นมาบ้างแล้ว สตรีคนหนึ่งสามารถอาศัยความหน้าด้าน อาศัยดวงตาคู่หนึ่งล่อลวงจิตใจของคน ก็ถือว่าเจ้ามีความสามารถ หลังจบเรื่อง พวกเรามาเสพสมกันสักรอบดีไหม? คนรักหากต้องแยกจาก ยามกลับมาเจอกันอีกครั้งนั้นหวานชื่นยิ่งกว่าคู่แต่งงานใหม่ พวกเราพี่ชายน้องสาวไม่ได้เจอหน้ากันกี่ร้อยปีแล้ว?”

สตรีดีดปลายเท้าเบาๆ พลางหัวเราะเสียงหวานปานกระดิ่งเงินที่สั่นไหว ตัวคนจากไปแล้ว ทว่าเสียงยังคงดังก้องอยู่ “ตาเฒ่า หากยังไม่ไปก็จะสายแล้วนะ พวกเราออกไปจากเมืองสุยเจี้ยก่อนค่อยว่ากัน ทำงานใหญ่ครั้งนี้ของนายท่านสำเร็จ บ่าวก็พร้อมยอมให้ท่านเด็ดดม”

ผู้เฒ่าเอื้อมมือไปคว้าลิงน้อยตัวนั้นมาวางไว้บนไหล่ แล้วทะยานออกจากเมืองไปพร้อมกับสตรี

แน่นอนว่าทั้งสองฝ่ายย่อมกดขอบเขตเอาไว้ ไม่อย่างนั้นหากไปสะดุดตาเย่หานหรือฟ่านเหวยหรานเข้าก็อาจจะเกิดปัญหาแทรกซ้อน พวกคนประเภทนี้ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่เก่งแต่ในโปงผ้าห่มของตัวเอง แต่ถึงอย่างไรพื้นที่แห่งนี้ก็กว้างขวาง ในอาณาเขตของหลายสิบแคว้น ทุกๆ ร้อยปีถึงจะมีพวกคนที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำโผล่มาสักคนสองคน จึงไม่อาจดูแคลนได้ อย่าเห็นว่าทุกครั้งที่เขาและสตรีโตเต็มวัยกล่าวถึงพวกเย่หานและฟ่านเหวยหรานแล้วในคำพูดจะเต็มไปด้วยน้ำเสียงดูแคลน แต่หากต้องเข่นฆ่ากับผู้ฝึกตนเหล่านั้นขึ้นมาจริงๆ อะไรที่ควรระวังก็ไม่ควรให้ขาดไปแม้แต่น้อย

คนทั้งสองทยอยกันบินข้ามหัวกำแพงเมืองสุยเจี้ยออกไป

บนหัวกำแพงเมืองยังมีผู้ฝึกลมปราณที่ไม่กลัวตายยืนอยู่อีกไม่น้อย คงจะเพราะรู้สึกว่าแค่อยู่ห่างจากเมืองสุยเจี้ย อันตรายก็น้อยลงแล้ว เวลานี้แต่ละคนจึงกำลังแสร้งทำเป็นพูดคุยให้คำชี้แนะกันด้วยท่าทางผ่อนคลาย

หนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกตนหนุ่มที่ถูกทางสำนักจัดตัวมาไว้ใกล้กับศาลเทพอภิบาล ให้ทำหน้าที่เป็นเถ้าแก่ของร้านขายธูป ปิดบังชื่อแซ่มานานหลายปี ตอนนี้กว่าจะกลับคืนสู่สถานะเดิมได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงสบถด่าอย่างใส่อารมณ์เป็นพิเศษ บอกว่าคนหนุ่มที่มองดูเหมือนผู้ฝึกกระบี่คนนั้น หากน้ำไม่เข้าสมองก็คงเคยถูกลาเตะหัวมาก่อน พอไปถึงศาลเทพอภิบาลเมือง แค่มองก็รู้ว่าเป็นพวกคนแปลกหน้า ไม่รู้เรื่องอะไรชัดเจนสักอย่าง ไม่พูดพล่ามทำเพลงก็ฟันเสมียนผีกองหยินหยาง พอเข้าศาลเทพอภิบาลเมืองไปได้ก็ชอบอวดอ้างบารมี ชักกระบี่ใส่ท่านเทพอภิบาลเมืองโดยตรง น่าเสียดายที่หลังจากนั้นศาลเทพอภิบาลเมืองปิดประตูใหญ่ ทำให้มองไม่เห็นภาพบรรยากาศด้านในอีก

ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ก็ยิ้มกล่าวว่า เห็นได้ชัดว่าไอ้หมอนี่รู้สึกว่าตัวเองไม่อาจได้สมบัติประหลาดชิ้นนั้นมาครอง ก็เลยจะทำให้ทุกคนหมดโอกาสไปด้วย จิตใจช่างชั่วร้าย น่ารังเกียจ น่าสังหาร! รอจนทัณฑ์สวรรค์ยุติลง หากผู้ฝึกกระบี่คนนั้นโชคดีไม่ตาย วันหน้าจะต้องสั่งสอนเขาให้ดีๆ สักหน่อย

ผู้เฒ่าที่บนไหล่มีลิงน้อยนั่งอยู่พลิ้วกายออกไปนอกหัวกำแพง รู้สึกว่าน่าสนใจจริงๆ ไอ้พวกโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้ ยิ่งมีมากเท่าไรก็ยิ่งดี

และพวกคนคร่ำครึอย่างบัณฑิตเจ้าเมืองผู้นั้นก็ควรจะมีมากสักหน่อย ถึงจะสามารถเลี้ยงฝ่ายแรกให้มีชีวิตรอดได้

ไม่อย่างนั้นหากบนโลกใบนี้มีแต่คนฉลาด ตนกับสตรีจิ้งจอกที่มั่วโลกีย์อยู่ในวังหลวงของแคว้นอิ๋นผิงผู้นั้น และพวกผู้ฝึกตนบนเส้นทางเดียวกับพวกเขา จะยังสามารถช่วงชิงความได้เปรียบน้อยใหญ่ทั้งหมดในใต้หล้ามาได้อย่างไร?

……

ในศาลเทพอภิบาลเมือง

หลังจากที่ชูอีพาเศษชิ้นส่วนร่างทองที่ขึ้นสนิมชิ้นนั้นมุดหนีไปใต้ดินแล้ว เพียงไม่นานก็เผยกายโผล่ขึ้นมาบนพื้นดินอีกครั้ง แสงสีขาวบินวนรอบผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ เสมียนผีจากหลายหน่วย เทพท่องทิวาราตรีและแม่ทัพถือตรวนไปหนึ่งรอบ สังหารพวกเขาไปเกินครึ่ง

สุดท้ายเหลือไว้แค่ผู้พิพากษาบุ๋นและแม่ทัพถือตรวนที่เพิ่งดำรงตำแหน่งได้ไม่นาน รวมไปถึงเสมียนผีบางส่วนที่ระดับขั้นไม่สูง

คราวนี้สืออู่ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จึงไม่ปรากฏตัว

เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ม้วนหอบเอาเศษชิ้นส่วนร่างทองที่บ้างก็เป็นแสงสีทองอ่อนจาง หรือไม่ก็สีเงินบริสุทธิ์มาไว้ในมือ แล้วเก็บใส่ไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

จากนั้นเฉินผิงอันก็แหงนหน้ามองทะเลเมฆสีดำทะมึนนั้นต่อ มันอยู่ห่างจากพื้นดินของเมืองสุยเจี้ยไม่ถึงสามร้อยจั้งแล้ว

คิดแล้วก็คีบเอายันต์ทำลายสิ่งกีดขวางสีทองที่ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนทะเลสาบชางอวิ๋นยังเผาไหม้ไม่หมดออกมา หลังจากนี้ค่อยทดลองใช้ยันต์แสงสว่างอวี้ชิงดู

การลงมือต้านทานทัณฑ์สวรรค์ครั้งแรกในคืนนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องอาศัยความสามารถของตัวเอง ส่วนหลังจากนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันอะไรส่งเดชเช่นนี้อีก

ชูอียังคงว่ายวนอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองไม่หยุด เสียงแหวกอากาศดังอื้ออึง

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองพวกเสมียนผีขุนนางผู้ช่วยของศาลเทพอภิบาลเมืองที่ไม่กล้ากระดุกกระดิกเหล่านั้น มองแค่แวบเดียวเขาก็ถอนสายตากลับ

ซื่อสัตย์ภักดี เวทนาปวงประชา ช่วยสวรรค์จัดการกิจธุระ กำจัดความชั่วร้ายขจัดอันตราย?

ชูอีที่เดิมทีคิดว่าจะปล่อยพวกขุนนางผีโลกมืดที่เหลือพลันพุ่งมาถึง แสงกระบี่สีขาวแทงทะลุขุนนางผีหลายตนของหน่วยลงทัณฑ์และหน่วยอายุขัย ร่างของพวกนั้นต่างก็แหลกสลายคาที่

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หันหน้ากลับไปไม่มองพวกขุนนางผีที่กินควันธูปร่วมกับท่านเทพอภิบาลเมืองเหล่านั้นอีก “ยังไม่ไปอีกหรือ? คิดจะต้านทานทัณฑ์สวรรค์ของศาลเทพอภิบาลเมืองพร้อมกับข้าหรือไร?”

พวกขุนนางผีที่เหลือพากันหนีหายกระเจิดกระเจิง หวังแค่ว่าจะอยู่ให้ห่างจากศาลเทพอภิบาลเมืองให้ได้มากที่สุด หากออกไปจากเมืองสุยเจี้ยได้ก็ยิ่งดี

ชายฉกรรจ์วัยกลางคนเคราดกคนหนึ่งกลับเดินเข้ามาในศาลเทพอภิบาลเมือง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หน้าประตู เขาถ่มน้ำลายลงพื้นแรงๆ หนึ่งครั้ง พอเข้ามาในตำหนักหน้าแล้วได้เห็นเซียนกระบี่หนุ่มที่กำลังรวบรวมสมาธิอยู่นั้น ชายฉกรรจ์ก็ลังเลไปเล็กน้อย ก่อนจะถามเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าคิดจะทำอะไร? ว่ากันตามส่วนรวม ในฐานะที่ข้าเป็นองค์เทพประจำท้องถิ่นของเมืองนี้ ไม่ควรจะเกลี้ยกล่อมให้เจ้าจากไป หากชาวบ้านของเมืองตายได้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่หากว่ากันตามส่วนตัวแล้ว ข้ายังคงหวังว่าเจ้าจะไม่เข้ามาเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ ไม่ใช่ว่าข้าดูแคลนฝีมือของยอดฝีมือเซียนกระบี่อย่างเจ้า แต่เป็นเพราะเรื่องอย่างทัณฑ์สสวรรค์นี้เป็นสิ่งที่ตามติดพัวพัน แยกแยะได้ไม่ชัดเจนมากที่สุด ไม่ใช่ว่าเจ้าต้านรับไว้แล้ว ก็จะกลายเป็นเรื่องมหามงคลไปเสียทั้งหมด ในเมื่อเจ้าเป็นถึงเซียนกระบี่ ยังไม่เข้าใจความวกวนอ้อมค้อมที่อยู่ในเรื่องนี้อีกหรือ? การฝึกตนไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดต้องทำเช่นนี้?”

เฉินผิงอันหมุนตัวกลับมาถาม “เจ้ามาจากศาลเทพอัคคี?”

ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “เป็นเพราะชาติก่อนข้าก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้ คนตายไปแล้ว ยังต้องกลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเทพอัคคีนี่อีก เวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมาไม่เคยมีวันใดที่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเลย”

เฉินผิงอันถาม “ปีนั้นตอนที่เจ้าเมืองยังเป็นเด็ก เป็นเจ้าที่คุ้มครองเขาส่งไปนอกเมืองสุยเจี้ยใช่ไหม?”

ชายฉกรรจ์แสยะปากยิ้ม “คำถามแบบนี้ หากเจ้าถามข้าตอนที่ท่านเทพอภิบาลเมืองยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้ฆ่าข้าให้ตายอีกครั้ง ข้าก็ไม่กล้ายอมรับอย่างแน่นอน”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “เจ้าไปเถอะ ไม่ต้องมาโน้มน้าวข้า ถึงอย่างไรหากทัณฑ์สวรรค์เยื้องกรายลงมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมืองสุยเจี้ยที่ไม่อาจย้ายรังได้อย่างเจ้า จะมีชีวิตรอดอยู่ก่อนข้าไปได้หรือไร?”

ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างสง่างาม “ไม่รีบร้อน เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของหนึ่งสถานที่ ถึงได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าอยู่ไม่สู้ตาย ร่อแร่ใกล้ตายไม่สู้ตายให้รู้แล้วรู้รอดกันไป ข้าจะหิ้วม้านั่งตัวเล็กไปนั่งอยู่บนหลังคาของศาลเทพอัคคี ก่อนตายจะเบิกตาให้กว้าง มองดูมาดองอาจของเซียนกระบี่ในตำนานให้เต็มตาสักหน่อย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ชายฉกรรจ์หมุนตัวเดินจากไป ตอนที่เดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ก็พลันหันกลับมาถามว่า “ข้าที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำพื้นที่ ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับไม่อาจทำเรื่องใดที่มีประโยชน์ได้ เซียนกระบี่อย่างเจ้าที่เห็นได้ชัดว่าเป็น…คนดีที่มีจิตใจซื่อตรง จะไม่กล่าวโทษ ไม่พานโกรธเอากับข้าบ้างเลยหรือ?”

เฉินผิงอันถามกลับ “ยังไม่ต้องพูดว่าข้าเป็นใคร มีตบะอะไร พูดถึงแค่โลกมนุษย์ใบนี้ หากมีเรี่ยวแรงและจิตใจที่จะมาโทษคนดีคนหนึ่งว่าทำได้ไม่ดีพอ ไม่คาดหวังให้คนเหล่านี้ลุกขึ้นมาสังหารคนเลว แล้วเหตุใดแค่จะด่าว่าเขาเป็นคนเลวสักคำยังตัดใจด่าไม่ลง?”

ชายฉกรรจ์หัวเราะฮ่าๆ อย่างชอบใจพลางก้าวยาวๆ เดินจากไป “แน่นอนว่าเป็นเพราะคนดี ผีดี เทพที่ดีล้วนรังแกได้ง่ายอย่างไรเล่า เซียนกระบี่ต่างถิ่นอย่างเจ้าถามคำถามเช่นนี้ก็ออกจะซื่อไปสักหน่อยแล้ว!”

ตอนที่เขาก้าวข้ามธรณีประตูก็ชูสองหมัดขึ้นสูงเหนือศีรษะแล้วโบกแรงๆ จากนั้นถึงได้ก้าวยาวๆ จากไป องค์เทพเคราดกท่านนี้ทิ้งไว้เพียงเสียงทุ้มหยาบที่ดังก้องไปทั่วม่านราตรี “แต่หากไม่ใช่คนโง่ก็คงไม่มีทางเข้ามายังศาลเทพอภิบาลเมืองที่เป็นดั่งรูหนูรูงูแห่งนี้แล้ว เซียนกระบี่ อย่าตายซะล่ะ! วิถีทางโลกชาติสุนัขนี้ คนดีที่พอจะมีความสามารถเหลือน้อยมากพอแล้ว! หากเจ้าทำอะไรโดยใช้อารมณ์แล้วต้องมาตายอยู่ในสถานที่เละเทะแห่งนี้จริงๆ ถึงเวลานั้นข้าคงต้องด่าเจ้าแรงๆ สักสองสามคำแล้ว!!”

เฉินผิงอันโยนยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางกระดาษสีทองไปยังทะเลเมฆดำทะมึนที่กดทับลงมาเหนือเมือง เพื่อลองหยั่งเชิงความตื้นลึกของทัณฑ์สวรรค์

ชั้นล่างสุดของทะเลเมฆถูกยันต์แผ่นนั้นระเบิดจนกลายเป็นรูสีทองขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีขนาดพอๆ กับศาลเทพอภิบาลเมือง

ทว่าทะเลเมฆที่กลิ้งซัดตลบก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเหลือบมองไป ทะเลเมฆหนาหนักอย่างถึงที่สุด ไม่มีวี่แววว่ายันต์จะสามารถลอดทะลุไปถึงชั้นบนสุดของทะเลเมฆได้เลย

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง

มือสองข้างค้ำยันกระบี่ แหงนหน้ามองท้องฟ้า

ภายในระยะหนึ่งร้อยจั้ง สามารถส่งกระบี่แรกออกไปได้

แต่ว่าหากพ้นระยะหนึ่งถึงสองร้อยจั้งมาแล้ว สามารถลองปล่อยหมัดออกไปก่อนได้

—–