ตอนที่ 683 แผนที่ Ink Stone_Fantasy
หลังจากรับคัมภีร์เต๋าไคหยวน ที่มีบันทึกเรื่องราวของนักพรตเต๋ามีชื่อเสียงกับเหล่าเทพเซียนมา เยี่ยเทียนวางไว้ข้าง ๆ จากนั้นจึงหยิบอีกเล่มหนึ่งจากกล่องออกมาดู
ผ่านไปเพียงครู่เดียว เยี่ยเทียนรู้สึกผิดหวัง เพราะเล่มนี้เขียนเนื้อหาเกี่ยวการรักษาโรคด้วยยาแบบเต๋า ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาเลยสักนิด
“เยี่ยเทียน เล่มนี้คือบันทึกเทือกเขากับวัดเต๋าทั่วไป”
“ของผมเป็นพิธีเจ บทเพลงสรรเสริญ ไม่มีวิธีฝึกวิชา”
ข้อมูลที่หนานไหวจิ่นกับจั่วเจียจวิ้นให้เยี่ยเทียน มีแต่ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกแย่ลงเรื่อย ๆ เดิมทีเขาคิดว่าหนังสือพวกนี้จะมีความหวังอยู่บ้าง แต่เมื่อไหร่ที่คาดหวังไว้มาก การผิดหวังก็มากตาม
“เยี่ยเทียนคัมภีร์เต๋าไคหยวนเล่มนี้เป็นตำราเล่มสุดท้ายแล้วนะ แม้จะไม่มีวิธีฝึกวิชา แต่มันมีมูลค่ามาก เธอต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี”
โก่วซินเจียเข้าใจความรู้สึกของเยี่ยเทียน เขาปลอบใจอีกว่า “ในป่าในเขาต่าง ๆ ของจีน อาจจะมียอดฝีมือหลบซ่อนอยู่ก็ได้ เธอยังหนุ่ม โอกาสมีอีกมาก ไม่ต้องเสียใจไปหรอก”
ถ้าสิ่งที่หนานไหวจิ่นพูดเป็นความจริง บนโลกนี้ก็คงมีผู้ฝึกจนถึงลำดับขั้นหลอมจิตสู่ความว่างแล้ว แต่เยี่ยเทียนจะหาพบหรือไม่ ก็คงต้องดูสิ่งที่เยี่ยเทียนสั่งสมแล้วล่ะ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมไม่เป็นอะไร หนังสือพวกนี้พี่เก็บไว้เถอะ”
เยี่ยเทียนส่ายหัว จู่ ๆ เขาก็หันไปเก็บตำราเต๋าที่บันทึกเรื่องเกี่ยวกับเทพเซียนเล่มนั้นไว้ และพูดว่า “เล่มนี้ผมขอเก็บไว้ดูเอง เทพเซียนต่าง ๆ ในสมัยโบราณ อาจจะไม่ได้เป็นแค่ข่าวลือ”
“อื้ม เธอเก็บไว้เลย” โก่วซินเจียลุกขึ้นและพูดว่า “เยี่ยเทียน พวกเราไปกินข้าวกันก่อน ได้กลิ่นอาหารก็เริ่มหิวแล้วล่ะ”
เนื่องจากคฤหาสถ์ของเยี่ยเทียนไม่สะดวกให้คนภายนอกเข้าออก ฉะนั้นเรื่องอาหารในแต่ละมื้อจึงเป็นหน้าที่ของ ซ่งเวยหลันกับอวี๋ชิงหย่า
ยังดีที่คฤหาสถ์นี้ตกแต่งแบบสไตล์โมเดิร์น เยี่ยตงผิงจึงทำอาหารให้ทุกคนด้วยตัวเขาเอง ส่วนผู้หญิงอีกสองคนที่ไม่ค่อยทำงานบ้านเป็นจึงได้เป็นแค่ลูกมือ
อุตส่าห์ดีใจ คำว่าไม่เป็นอะไรของเยี่ยเทียนไม่เป็นความจริง เพราะหลังจากกินข้าวไปไม่กี่คำ เขาก็กลับห้องของตัวเองเลย
แม้ร่างกายของเขาเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ปราณชีวิตแท้ของเขาหายไปหมด แล้วยังไม่มีวิธีฝึกวิชาจิตแห่งหยาง ใจของ เยี่ยเทียนจึงรู้สึกว่างเปล่า เหมือนบางอย่างหายไป
“เยี่ยเทียน เป็นอะไร ? ไม่พบสิ่งที่ต้องการเหรอ ? ”
อวี๋ชิงหย่าเห็นเยี่ยเทียนั่งอยู่ตรงระเบียง กำลังพลิกหนังสือเก่า ๆดู เธอเดินไปด้านหลังของเยี่ยเทียน และนวดบริเวณหัวเบา ๆ
“เฮ้อ ได้รับความโชคดี แต่ชีวิตของฉันมันจบแล้ว…”
เยี่ยเทียนถอนหายใจและพูดว่า “ดูเหมือนเมื่อ 20 ปีก่อนฟ้าจะใจดีกับฉันมากเกินไป ตอนนี้กลับต้องมานั่งรับความโชคร้าย การเกิดมาบนโลก จะหลุดพ้นจากไตรภูมิและห้าองค์ประกอบได้จริงมั้ย ! ”
เยี่ยเทียนเริ่มฝึกวิชากับหลี่ซั่นหยวนตั้งแต่ห้าขวบ สิบสองขวบก็ได้รับการสืบทอดวิชาจากบรรพจารย์ สิบกว่าปีที่ผ่านมาราบรื่นโดยตลอด แม้แต่ตอนที่ช่วยอาจารย์ต่อชะตาชีวิต ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายอะไร
แต่การไปอเมริกาครั้งนี้กลับเกือบตาย ผลสุดท้ายคือจุดตันเถียนถูกทำลาย
แม้สภาพจิตใจดีขึ้นมากจนก่อตัวเป็นจิตดั้งเดิม แต่หากไม่มีวิธีฝึกที่สอดคล้องกัน เยี่ยเทียนก็ทำอะไรไม่ได้ มีความรู้สึกเหมือนหนูแก่กัดไข่ไก่…ทำอะไรไม่ได้
การพักฟื้นที่ผ่านมา เยี่ยเทียนรู้สึกว่าจิตดั้งเดิมมีประโยชน์อยู่หนึ่งอย่าง มันสามารถหล่อเลี้ยงร่างกายได้ แต่ไม่สามารถปล่อยออกมาจัดการศัตรูได้อย่างปราณชีวิตแท้
หรือพูดอีกอย่างก็คือ แม้อาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนจะถูกรักษาจนหาย แต่เขาก็ไม่สามารถฟื้นฟูกำลังของเมื่อก่อนได้อีก ก็แค่มีจิตดั้งเดิม สมรรถภาพทางร่างกายที่ดีกว่าคนทั่วไปเท่านั้น
มันทำให้เยี่ยเทียนกังวลถึงอันตราย เพราะเขามีศัตรูอยู่ไม่น้อย
ตั้งแต่ตระกูลคิตะมิยะ นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ และคนในองค์กรมวยใต้ดินเหล่านั้น ไม่แน่อาจมีคนลอบฆ่าเขาก็เป็นได้ บนโลกนี้มีคนอยากให้เยี่ยเทียนตายไม่น้อยเลยทีเดียว
“เยี่ยเทียน ขอแค่นายใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ มันดีกว่าทุกสิ่งนะ ! ”
อวี๋ชิงหย่าเดินมาข้างหน้าเยี่ยเทียน เธอย่อตัวลง และซบลงที่อ้อมอกของเยี่ยเทียน ตอนนี้ความรู้สึกของเธอค่อนข้างซับซ้อน ในขณะที่อยากเห็นสามีเป็นแค่คนธรรมดา แต่ก็ยังเป็นห่วงเยี่ยเทียนมาก ชีวิตแบบนี้ไม่สุขสบายเอาซะเลย
เยี่ยเทียนที่ได้ยินก็หัวเราะขึ้น เขาใช้นิ้วเชยคางของอวี๋ชิงหย่าขึ้นและพูดว่า “เด็กโง่ ไม่มีความสามารถ แล้วจะปกป้องเธอกับลูกชายในอนาคตของเราได้ยังไงล่ะ ? ”
“บ้า นี่มันกลางวันแสก ๆ เลยนะ ” อวี๋ชิงหย่าเห็นความอยากของเยี่ยเทียนจากสายตา เธอตื่นเต้นขึ้นมาทันที แต่ร่างกายของเธอก็ตอบสนองออกไปบางอย่าง
“บ้าก็บ้า เมียจ๋า ฉันอยากจะตายอยู่แล้ว ! ”
มือใหญ่ของเยี่ยเทียนล้วงเขาไปตรงคอเสื้อของอวี๋ชิงหย่า เสียงอ่อนนุ่มดังขึ้นใกล้ ๆ อ้อมกอด ร่างกายของอวี๋ชิงหย่าอ่อนระทวยทันที เธอหน้าแดงระเรื่อ
เยี่ยเทียนลุกขึ้นและอุ้มเธอขึ้นไป จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องนอนพร้อมปิดผ้าม่านเอาไว้
อวี๋ชิงหย่ารู้ว่าอาการของเยี่ยเทียนยังไม่ดีทั้งหมด เธอทิ้งความเคอะเขิน และเปลี่ยนรสชาติบางอย่างซึ่งเยี่ยเทียนไม่เคยลิ้มลอง เสียงหายใจเข้าออกเบา ๆ ดังขึ้นไม่หยุด ช่วงเวลาดี ๆ ผ่านไปแล้ว เสียงในห้องก็เงียบลง
“เอวนี่มัน ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ ”
มองดูภรรยาที่หลับตาแอบนอน เยี่ยเทียนทุบเข้าที่เอวทีนึง เขากลัวกระดูกสันหลังคด ก็เลยไม่กล้าใช้แรงมาก
ช่วงเวลาที่ผ่านมา อวี๋ชิงหย่าอยู่กับความหวาดกลัว สภาพจิตใจค่อนข้างเหนื่อย แต่หลังจากได้สัมผัสลมหายใจของสามี เธอหลับลงอย่างช้า ๆ
แต่เยี่ยเทียนกลัวสวนทางกับอวี๋ชิงหย่า เขาแค่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย ส่วนด้านจิตใจนั้นแข็งแกร่งมาก หลังจากใช้เวลากับภรรยาเสร็จเขาไม่มีความรู้สึกอยากนอนเลย
เยี่ยเทียนเห็นภรรยาหลับปุ๋ย เขาจึงลงจากเตียงอย่างเงียบ ๆ หยิบผ้าเช็ดตัวพาดเอาไว้และเดินไปที่ระเบียง จากนั้นหยิบคัมภีร์เต๋าไคหยวนขึ้นมา
“อาณาเขตเฮยชื๋ออยู่ทิศเหนือของมัน เป็นกลุ่มคนดำ กินหญ้ากินงู มีงูสีแดงแดงหนึ่งตัว สีเขียวหนึ่งตัวล้อมรอบมันไว้ บ้างก็ว่าอยู่ทิศเหนือของซู่ไห้ เป็นคนหัวสีดำ กินหญ้ากินงู เป็นงูสีแดง ”
อ่านบันทึกในตำรา เยี่ยเทียนอดขำไม่ได้ นี่มันเขียนบรรยายเหมือนกับตำนานภูผาและมหาสมุทรเลย เยี่ยเทียนแยกไม่ออกแล้วว่านี่คือตำราเต๋าหรือตำนานภูผาและมหาสมุทร
แต่หน้าสุดท้ายของหนังสือมีเรื่องที่เยี่ยเทียนไม่เคยได้ยิน และที่สำคัญมันมีรูปประกอบ เขาอ่านมันช้า ๆ ไม่นาน ก็เปิดถึงหน้าสุดท้าย
“หืม ปลอกหนังนี้ทำไมมีรูปด้วย ? ”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะปิดหนังสือเล่มนี้ จู่ ๆ มันก็สั่น แล้วก็เห็นว่าหน้าสุดท้ายของตำราเล่มนี้ มีภาพบางอย่าง
“อ้าว หายไปไหนแล้วล่ะ ? ”
ตอนที่เยี่ยเทียนตั้งใจมอง ภาพที่เห็นด้วยตากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงกระดาษซีด ๆ แผ่นหนึ่ง
“น่าแปลก หนังสือเล่มนี้มีปราณวิเศษด้วย ? ”
เยี่ยเทียนปิดหนังสือด้วยความคิด จู่ ๆ เขาก็พบสิ่งที่น่าแปลกในหนังสือเล่มนี้ มันมีปราณวิเศษสั่นเป็นระยะ
“ไม่เคยได้ยินว่าหนังสือเป็นเครื่องรางได้ด้วย ? ”
ถ้าหากถามว่าใครมีเครื่องรางมากที่สุด เยี่ยเทียนต้องอยู่อันดับหนึ่งแน่นอน แต่เยี่ยเทียนก็ไม่เคยเห็นเครื่องรางที่เป็นหนังสือมาก่อน
ลักษณะของเครื่องรางคือสามารถเก็บปราณวิเศษไว้ได้ แล้วปราณวิเศษนี้จะคอยหล่อเลี้ยงเครื่องรางชิ้นนั้นให้มีความสามารถบางอย่างที่มนุษย์คาดไม่ถึง
แต่กระดาษบาง ๆ แผ่นนี้ ไม่น่าจะเป็นเครื่องรางได้เลย แม้จะได้รับการปลุกเสกแล้ว แต่ไม่น่าจะทำได้ขนาดนี้
เยี่ยเทียนเดาไปต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่คิดไม่ออก เขาเปิดหนังสือเล่มนั้นไปหน้าสุดท้ายอีกครั้ง ถอตสติออกมาดูพื้นที่ว่างบนภาพนั้น
“มีภาพจริงด้วย ! ” เยี่ยเทียนตื่นเต้นดีใจ ตอนที่สติของเขาสัมผัสหน้าสุดท้ายของหนังสือ มีภาพ ๆ หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา
“หืม ? หายไปไหน ? ”
ตอนที่เยี่ยเทียนเห็นภาพนั้นได้อย่างชัดเจน มีการสั่นเกิดขึ้น ทำให้ภาพนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยมีภาพใด ๆ
แต่เยี่ยเทียนยังไม่ทันประมวลภาพนั้นให้ดี จู่ ๆ ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นในสมองของเขา และภาพนั้นก็คือภาพเดียวกันกับในหนังสือเลย
“ทำได้ยังไง ? นำภาพในความคิดวางลงบนกระดาษแผ่นนี้ได้ยังไง ? ”
เยี่ยเทียนเหมือนเข้าใจบางอย่าง ภาพนี้เกิดจากความคิดของคนอื่น เมื่อมีคนใช้ความคิดพิสูจน์ มันจะหายไปทันที และไปปรากฏอยู่ในความคิดของอีกคน
วิธีการบันทึกแบบนี้ เป็นวิธีที่เยี่ยเทียนแทบจะไม่เคยได้ยินมาก่อน ต้องมีวิธีแบบไหนกัน ถึงจะฝังมันไว้ในหนังสือและให้คนรุ่นหลังเห็น ?
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เรื่องเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าแล้ว จะไม่เชื่อก็คงไม่ได้ เนื้อหาในนั้นทำให้เยี่ยเทียนยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่
“นี่น่าจะเป็นแผนที่มั้ง ? ”
เมื่อลองตรวจภาพในสมองอย่างละเอียด เยี่ยเทียนพบว่า น่าจะเป็นรูปแผนที่เทือกเขา แต่มีจุดหนึ่ง มีอักขระโบราณเขียนอยู่สองตัว
นอกจากตัวหนังสือเจี๊ยกู่เหวินโบราณที่อ่านไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นอักขระโบราณเล็กใหญ่ เยี่ยเทียนอ่านได้เกือบหมด แต่สองตัวนี้ เขาไม่เข้าใจความหมายของมัน
หากตีความตามตัวหนังสือ ร้างก็คือรกร้าง หมายถึงสถานที่ ๆ เคยมีคนอาศัยแต่ร้างไปแล้วในปัจจุบัน
ตลาดก็คือตลาดนั่นเอง แต่หากนำมารวมกัน เยี่ยเทียนยิ่งงงไปใหญ่ หรือที่รกร้างแห่งนี้จะมีตลาดจริง ๆ
“หรือลองถามศิษย์พี่ใหญ่ดู ? ”
พอคิดได้ เยี่ยเทียนก็ลบความคิดออกไปทันที เรื่องนี้ค่อนข้างไม่น่าเชื่อถือ ถ้าศิษย์พี่ใหญ่ไม่เชื่อ ก็ขายหน้าเปล่า ๆ
“ลองดูก่อนดีกว่าว่าแผนที่ใบนี้เป็นประเทศจีนหรือเปล่า ? ” เยี่ยเทียนคิดไปครู่นึง เขากลับไปใส่เสื้อผ้าและลงไปที่ห้องของถังเหวินหย่วน
“เยี่ยเทียน เป็นยังไงบ้าง หนังสือพวกนั้นใช้ได้บ้างมั้ย ? ” เห็นเยี่ยเทียนเดินเข้ามา ถังเหวินหย่วนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขาอยู่ที่นี่เดือนกว่า น้อยมากที่เยี่ยเทียนจะเข้ามาห้องของตัวเอง
“ไม่ค่อยเท่าไหร่ เหล่าถัง ผมมาหาเพราะมีเรื่องอื่น” เยี่ยเทียนส่ายหัว และพูดต่อว่า “สั่งให้คนส่งแผนที่เทือกเขาของประเทศจีนมาให้หน่อยได้มั้ย ? ”
…………………………………………..