“มาแล้ว” ผู้แกร่งกล้าสองคนที่รับผิดชอบรักษาการณ์อยู่บนกำแพง มองเห็นกองกำลังผู้บำเพ็ญปรากฏตัวขึ้นจากกลางอากาศไกลออกไปแล้วก็อดที่จะมีท่าทีตื่นตระหนกมิได้
“เป็นกองกำลังของพวกนักพรตโยวหยาและจ้าวหิมะเหิน”
ผู้แกร่งกล้าสองคนนี้หัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นมาเล็กน้อย
ความจริงแล้วก็คือความโกลาหลของทั้งเมืองเมฆาแดงในตอนนี้ ขึ้นไปถึงเจ้าเมืองทั้งสาม ลงไปจนถึงบรรดาผู้บำเพ็ญที่มีพลังรบเพียงแค่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายที่อ่อนแอเป็นที่สุดเหล่านั้น ครึ่งวันให้หลังมานี้ ต่างก็กำลังเล่าลือกันถึงชื่อนี้…‘จ้าวหิมะเหิน’
ฝีไม้ลายมือของจ้าวหิมะเหินนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของเมืองเมฆาแดง! ไม่สิ จะพูดให้ถูกต้องก็คือไม่เคยมีมาก่อนในทั้ง ‘โลกทิพย์’ ด้วยพลังของตัวคนเดียว ก็สามารถทำให้พลังยุทธ์ของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์หนึ่งพันสองร้อยตนลดต่ำลงอย่างมหาศาล ลดทอนไปถึงพลังรบระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ กันจนหมดสิ้น! ฝีไม้ลายมือเช่นนี้ช่างเหนือจินตนาการนัก
เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวหิมะเหินผู้นี้ ‘ข้อได้เปรียบทางด้านจำนวน’ ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ถูกขจัดทิ้งไปในชั่วพริบตา!
“จ้าวหิมะเหิน พวกเราตรงไปที่ตำหนักเมฆาแดงกันเถิด”
“ตอนนี้ผู้ที่อยากพบจ้าวท่านในเมืองมีอยู่มากมายเหลือเกิน รีบตรงไปที่ตำหนักเมฆาแดงเลยดีกว่า รีบแบ่งซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเหล่านั้นกันให้เร็วหน่อย!”
กองกำลังส่งเสียงผิวปากไปยังกำแพงเมืองเมฆาแดง
บรรดาผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ ตงป๋อเสวี่ยอิงกลายเป็นผู้นำของทั้งกองกำลังอย่างไร้ข้อกังขาไปเสียแล้ว! แม้กระทั่งนักพรตโยวหยาและเสียฝานก็ยังยอมรับอย่างทอดถอนใจ…
ความจริงก็คืออยู่กับตงป๋อเสวี่ยอิง ‘อาหาร’ ที่ได้รับก็มากมายเหลือเกินอย่างสบายๆ แล้ว
“ช้าก่อน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดสายตาไปมอง ก็เห็นผู้แกร่งกล้าที่รับผิดชอบรักษาการณ์สองคนบนกำแพงเมืองนั้น เอ่ยขึ้นในทันที จากนั้นก็พุ่งตัวเข้าไปในทันทีแล้วร่อนตรงลงบนกำแพงเมืองแห่งนั้น
เขาร่อนลงมา ทันใดนั้นบรรดาผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งก็ร่อนตามลงมาบนกำแพงเมือง
“จ้าวหิมะเหิน” ผู้แกร่งกล้าที่รับผิดชอบรักษาการณ์สองท่านนั้นเข้ามาพูดด้วยความเกรงใจและถ่อมตัวเป็นอย่างยิ่ง
“พี่จวินกาน พี่ฟูซ่าน เหตุใดจึงห่างเหินนักเล่า เรียกหาข้าว่าน้องหิมะเหินสักคำหนึ่งก็ใช้ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ตอนนั้นที่ข้ามายังเมืองเมฆาแดงเป็นครั้งแรก เผชิญกับการล้อมโจมตีของเทพมรณะเงาทะมึนฝูงใหญ่ ก็เป็นเพราะทั้งสองท่าน จึงได้มีพวกเทพอสรพิษอินทรีไปช่วยเหลือข้า”
ผู้แกร่งกล้าสองคนนี้ก็คือจวินกานและฟูซ่านนั่นเอง
จวินกานและฟูซ่านสองคนเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ แต่ละคนก็เผยรอยยิ้มออกมาในทันใด ต่างก็ภาคภูมิใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาเข้าใจกระจ่างดียิ่งถึงสถานะอันสูงส่งของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ เกรงว่าคงจะไม่ด้อยไปกว่าเจ้าเมืองทั้งสามเลยแม้แต่น้อย!
“ด้วยพลังยุทธ์ของน้องหิมะเหิน ต่อให้มิได้ช่วยเหลือ คิดว่าก็ต้องสามารถต้านทานเทพมรณะเงาทะมึนฝูงนั้นเอาไว้ได้อย่างสบายๆ อยู่แล้วล่ะ” ฟูซ่านอมยิ้มพูด
จวินกานก็ยิ้มยิงฟัน “พวกเราต่างก็ได้ยินมาแล้วว่าน้องหิมะเหินทำให้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์หนึ่งพันสองร้อยตนพลังยุทธ์ลดต่ำลงอย่างมหาศาลได้อย่างง่ายดาย ฝีมือเช่นนี้ พวกเราได้ฟังแล้วต่างก็พากันปากอ้าตาค้างเลยทีเดียว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม
แต่ละคนในกองกำลังต่างก็มีวัตถุส่งสาร เคล็ดวิชาที่ตนสำแดงนั้นช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน! ผู้บำเพ็ญในกองกำลังก็ย่อมต้องส่งข่าวกลับมาอยู่แล้ว และแพร่หลายไปทั่วทั้งเมืองเมฆาแดงอย่างรวดเร็ว
“ข้าไปก่อนล่ะ ยังต้องไปที่ตำหนักเมฆาแดงก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “รอให้ถึงวันที่ทั้งสองท่านรักษาการณ์สิ้นสุดลงแล้ว จะต้องไปหาข้าที่คูหาด้วยนะ”
“แน่นอน แน่นอน”
จวินกานและฟูซ่านเอ่ยรับคำ
พวกเขาเต็มใจรับหน้าที่ ‘เฝ้ายาม’ อันน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ก็เพื่อแลกเปลี่ยนกับอาหาร นี่ก็เพราะว่าสำหรับพวกเขาแล้วการออกล่านั้นมีความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง! ถ้าหากสามารถสนิทสนมกับตงป๋อเสวี่ยอิงได้สักหน่อย ในกองกำลังของตงป๋อเสวี่ยอิง มีพวกเขาอีกสองคนติดสอยห้อยตามไปก็เป็นเรื่องสบายๆ ผู้ใดก็รู้ว่ากองกำลังที่ ‘จ้าวหิมะเหิน’ จัดตั้งขึ้นนั้น ผลตอบแทนจากการออกล่าช่างชวนให้คนตื่นตกใจเพียงใด!
ผลตอบแทนครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้ส่วนแบ่งกันไปคนละเล็กละน้อย ก็ยังมากมายจนชวนให้คนตื่นตกใจอยู่ดี
“ไปกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเหินทะยานข้ามผ่านท้องฟ้าไปในทันใด
จากนั้นบรรดาผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ แต่ละคนก็เหินตามไป บินตรงไปยังตำหนักเมฆาแดง พวกเขาจำนวนมากต่างก็เผยสีหน้าคาดหวังรอคอย
ออกล่าทุกครั้ง ‘การปันส่วนอาหารของตำหนักเมฆาแดง’ ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยมากที่สุด! แต่คราวนี้ก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยเป็นพิเศษ เพราะว่าสิ่งที่พวกเขาล่ามาได้ในครั้งนี้มีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์ทั้งสิ้นถึงแปดสิบสองตนเลยทีเดียว
……
เมื่อกองกำลังของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงนี้กลับมาถึง ผู้บำเพ็ญแต่ละคนทั่วทั้งเมืองเมฆาแดงต่างก็ได้รับข่าวคราวอย่างต่อเนื่อง
ภายในโถงตำหนักใต้ดินของคูหารองเจ้าเมือง ‘อูเสี่ยว’
“คร่อก…”
“ฟี้…”
สิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์ร่างยาวถึงสามพันเมตรร่างหนึ่งเอนกายอยู่ภายในโถงตำหนัก กำลังหลับสนิท ตลอดร่างของมันเป็นสีเงินยวง แผ่รัศมีสีขาวจางๆ ผิวหนังตลอดร่างทุกอณูรูขุมขนต่างก็เป็นทางเดินห้วงอากาศอันลึกล้ำสายหนึ่ง มีเครื่องกลจำนวนนับไม่ถ้วนบินออกมาห้อมล้อมอยู่บริเวณรอบๆ ทั้งยังมีเครื่องกลจำนวนนับไม่ถ้วนบินเข้าสู่ร่างกายของเขาผ่านทางรูขุมขนอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
ผมเส้นหนึ่งของเขาขยายใหญ่ขึ้นล้านล้านเท่า อันที่จริงแล้วภายในเส้นผมเส้นหนึ่งก็แฝงไว้ด้วยจักรวาลขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ภายในจักรวาลยังมีเรื่อรบอยู่เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน เครื่องกลจำนวนนับไม่ถ้วนในจักรวาลกำลังต่อสู้กัน
“หืม”
ทันใดนั้นลมหายใจเขาก็สะดุดลง เครื่องกลจำนวนนับไม่ถ้วนที่เดิมทีห้อมล้อมอยู่รอบๆ ก็บินเข้าไปในร่างกายผ่านทางรูขุมขนบนผิวหนังในทันที
เขาลุกขึ้นนั่งพลางขยี้ศีรษะ
“กลับมาแล้วหรือ” อูเสี่ยวพูดเบาๆ
ทั่วทั้งเมืองเมฆาแดง หรือแม้กระทั่งทั่วทั้งโลกทิพย์แห่งนี้ ที่มาที่ไปของอูเสี่ยวนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด
ท่านบรรพชนของเขา…ก็คือหนึ่งในเจ้าดินแดนหลายท่านที่น่าหวั่นเกรงที่สุดในบรรดาผู้แกร่งกล้าคละถิ่น ที่หนีออกจากกรงขัง! ส่วนเขา อูเสี่ยว ก็คือผู้ที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทายาทรุ่นหลังของท่านบรรพชนท่านนั้น ทั้งยังใกล้เคียงกับการ ‘หนีออกจากกรงขัง สำเร็จเป็นคละถิ่น’ มากที่สุดอีกด้วย!
ทายาทรุ่นหลังที่สืบสายโลหิตของท่านเจ้าดินแดน อยากจะสำเร็จเป็นคละถิ่น ก็ยังยากลำบากหาใดเปรียบเช่นเดียวกัน
สายโลหิตอันน่าหวาดหวั่น ความพยายามของตนเอง พลังยุทธ์ของอูเสี่ยวย่อมต้องแข็งแกร่งเป็นที่สุดอย่างแน่นอนอยู่แล้ว! ถ้าหากบอกว่าเสียฝานเป็นผู้ที่มีร่างกาย ‘หนัก’ ที่สุดในเมืองเมฆาแดง เช่นนั้นอูเสี่ยวก็คือผู้ที่มีร่างกายแกร่งที่สุดในเมืองเมฆาแดง ทั้งยังมีพละกำลังอันแข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย! อีกทั้งยังเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาการตรวจตราเป็นที่สุด ลำพังแค่พลังสายโลหิตเพียงอย่างเดียว อาศัยสายโลหิตอันน่าหวั่นเกรง พลังยุทธ์ของเขาก็สามารถเทียบเคียงได้กับ ‘บรรพชนงูเก้าเศียร’ และ ‘ใบเมฆาวายุ’ ท่านเจ้าเมืองอีกสองท่านได้แล้ว
“เล็กลงๆๆ” อูเสี่ยวเอ่ยเสียงเบา
ร่างกายก็เริ่มต้นหดเล็กลงอย่างฉับพลัน คล้ายกับทั่วทุกบริเวณต่างก็กำลังฝืนกดดัน พื้นผิวของผิวหนังก็เกิดระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นนานาชนิดขึ้นมา ร่างกายของอูเสี่ยวก็คล้ายกับเทหวัตถุขนาดใหญ่อันน่าหวั่นกลัวชิ้นหนึ่ง! การหดเล็กลงสำหรับเขาแล้วก็สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายขึ้นมาได้มากมาย
“เฮ้อ คนอื่นๆ ทุกคนภายในเมืองเมฆาแดงต่างก็สามารถรักษาความสูงปกติธรรมดาเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย แต่ข้ากลับต้องกดอัดตนเอง” อูเสี่ยวจนใจ สายโลหิตของเขาพิเศษเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายหลังจากการบำเพ็ญก็ใหญ่โตหาใดเปรียบ ความใหญ่โตของร่างกายท่านบรรพชนเขานั้นเมื่อเทียบกับ ‘โลกกำเนิด’ แห่งหนึ่งแล้วก็เล็กกว่าอยู่เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่าเขาจะยังห่างไกลจากท่านบรรพชน หากไม่กดอัดที่โลกภายนอก ก็ยังคงใหญ่โตมโหฬารเป็นอย่างยิ่ง
เผชิญกับการกดอัดที่โลกทิพย์แห่งนี้ ความสูงของร่างกายเขาก็รักษาไว้ที่สามพันเมตร นี่คือความสูงร่างกายปกติ ถ้าหากกดอัดอีกก็จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายขึ้นมามากมาย
แต่ก็ช่วยไม่ได้
คูหาภายในเมืองเมฆาแดงล้วนเป็นมาตรฐานเดียว ความสูงของห้องโถงจำนวนมากก็สูงเพียงแค่พันกว่าเมตรเท่านั้น หากเข้าไม่ย่อส่วนความสูงร่างกายก็จะไม่สามารถเข้าไปในห้องโถงคูหาได้เลย!
นอกจากนี้ ยามที่สนทนากับผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ก็ย่อมไม่สามารถรักษาความสูงสามพันเมตรของร่างตนเอาไว้สนทนากับผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ ที่มีความสูงร่างกายปกติได้ตลอดอยู่แล้วกระมัง
“คนที่ชื่อจ้าวหิมะเหินผู้นั้น แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีเคล็ดวิชาอันน่าหวั่นเกรงเช่นนี้ ต้องไปดูสักหน่อยแล้วสิ” อูเสี่ยวออกไปจากโถงตำหนักใต้ดิน
……
กลิ่นหอมแผ่ซ่าน บนพื้นหญ้ามีชายหนุ่มศีรษะล้านรูปโฉมหล่อเหลาผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ชายหนุ่มศีรษะล้านผู้นี้รอยยิ้มอ่อนโยน นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความเมตตากรุณาอย่างยิ่ง
เขาก็คือ ‘บรรพชนงูเก้าเศียร’
หนึ่งในสามของผู้ที่มีพลังยุทธ์กล้าแกร่งที่สุดในเมืองเมฆาแดง อูเสี่ยวนั้นมีความเป็นมาอันยิ่งใหญ่นัก! ทว่าบรรพชนงูเก้าเศียรกลับพัฒนาขึ้นมาทีละก้าวๆ จากโลกที่อ่อนแอที่สุดอย่างไร้ข้อกังขา เขาประสบกับความทุกข์ยากลำบากลำบนมานับไม่ถ้วน จนมาถึงระดับเหนือจินตนาการบนวิถี ‘ทิพย์’ สายนี้ ต้องรู้ไว้ว่า เส้นทางการบำเพ็ญอื่นๆ โดยทั่วไปล้วนอ่อนแอกว่า ‘ผู้ตระหนักวิถี’ ทั้งสิ้น!
ผู้ตระหนักวิถี การจะสำเร็จพื้นฐานของกฎเกณฑ์ได้นั้น แม้กระทั่งร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ต่างก็เป็นตนเองที่ตระหนักรู้และคิดค้นออกมา กับทางสายอื่นๆ โดยทั่วไปแล้วต่างก็สามารต่อสู้ข้ามชั้นได้ทั้งสิ้น
ส่วนอูเสี่ยวเป็นข้อยกเว้น ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว
แต่‘ บรรพชนงูเก้าเศียร’ บนเส้นทางวิถีทิพย์นี้ ถึงกับสามารถเอาชนะ ‘ผู้ตระหนักวิถีร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น’ ธรรมดาทั่วไปได้!,ผู้ตระหนักวิถีไม่เพียงแต่จะไม่สามารถก้าวกระโดดได้เท่านั้น แต่ยังไม่สามารถเอาชนะบรรพชนงูเก้าเศียรได้ด้วย
พลังยุทธ์ของบรรพชนงูเก้าเศียร… เทียบเคียงได้กับใบเมฆาวายุ ใบเมฆาวายุนั้นคือผู้ตระหนักวิถีที่น่าหวาดหวั่นผู้บำเพ็ญวิถีสองสายไปถึงระดับครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น! แต่บรรพชนงูเก้าเศียรสามารถเทียบเคียงกับใบเมฆาวายุได้ ก็จะเห็นได้ว่าบรรพชนงูเก้าเศียรผู้ป่ายปีนจากโลกธรรมดาๆ ทีละก้าวๆ มาจนถึงระดับนี้ได้ผู้นี้ช่างล้ำเลิศน่าอัศจรรย์เพียงใด
ความล้ำเลิศน่าอัศจรรย์ของเขาถึงขนาดที่ดึงดูดสายตาของผู้แกร่งกล้าคละถิ่นจำนวนหนึ่ง!
“บน ‘ทางเดินคละถิ่นอลหม่าน’ ก่อนหน้านี้ อย่างน้อยทางเดินที่ข้าเดินผ่านเส้นนั้น ข้าก็ไร้ซึ่งศัตรูแล้ว แต่มาถึงยังโลกแห่งความอยู่รอดในตำนานแห่งนี้! อูเสี่ยวยังสามารถพูดได้ว่ามีผู้แกร่งกล้าคละถิ่นช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง แต่ใบเมฆาวายุกับข้าต่างก็ป่ายปีนจากโลกธรรมดาๆ ขึ้นมาทีละก้าวๆ
เช่นเดียวกัน พลังยุทธ์ก็มิได้ด้อยไปกว่าข้าเลยแม้แต่น้อย” นัยน์ตาอันอบอุ่นอ่อนโยนทั้งสองของบรรพชนงูเก้าเศียรนั้นมีแววคาดหวัง “ตอนนี้จ้าวหิมะเหินที่ปรากฏตัวขึ้นมาผู้นั้น อย่างน้อยในการต่อกรกับการล้อมโจมตีของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นจำนวนมาก เขาก็เหนือกว่าข้าเสียแล้ว เขามีเคล็ดวิชาอันใดกัน เป็นเขตพลังบางอย่างหรือว่าเป็นเคล็ดวิชาวิญญาณกันเล่า”
ขณะนี้บรรพชนงูเก้าเศียรมีความอัศจรรย์ใจในตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอย่างยิ่งโดยแท้จริง
แล้วเขาก็ลุกขึ้น ออกมาจากโถงตำหนักใต้ดินเช่นเดียวกัน
……
“ได้ยินมาว่าเขาก็เป็นผู้ตระหนักวิถีเช่นกันหรือ” ‘ใบเมฆาวายุ’ ที่เป็นเพียงคนเดียวทั่วทั้งโลกทิพย์ที่วิถีสองสายไปถึงระดับครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ก็ส่งข้อความออกไปหาตงป๋อเสวี่ยอิงผ่านวัตถุส่งสาร
…………………………