ตอนที่ 1055 ล้างบาง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1055 ล้างบาง

อีแร้งตัวหนึ่งโผทะยานท่ามกลางท้องนภาสีคราม

มันบินสูงมากยิ่งนัก ทว่ากลับมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่บนพื้นธรณีได้อย่างชัดเจน

ราวกับมันได้กลิ่นคาวเลือดลอยโชยไปถึงท้องนภา มันจึงบินวนอยู่อย่างนั้น เพียงมินานก็มีอีแร้งกลุ่มใหญ่ปรากฏขึ้นมาบดบังท้องนภาจนมืดมิด

สายตาของพวกมันจดจ้องไปยังอาหารอันโอชะบนพื้น แต่ก็มิมีตัวใดที่กล้าบินโฉบลงมา

พวกมันกำลังรอคอย เพราะพวกมันทราบว่ากำลังจะมีอาหารมื้อใหญ่ในมิช้านี้

เยลู่ฮัวยืนอยู่บนรถม้าข้างแม่น้ำเย๋ซุ่ยพลางยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมามองสนามรบที่อยู่ห่างออกไปด้วยสายตาเป็นกังวล

ข้างกายของเขาคือท่านราชครูกั้วยวี่ชาน หนังตาของกั้วยวี่ชานกระตุกอยู่ตลอดเวลา กระตุกจนใจของเขาเริ่มสับสน

สิ่งที่ฝ่ายของตนได้ลงทุนไปกับสนามรบครานี้คือกองทหารม้าเกราะแดง 300,000 นายที่รวมตัวกันอย่างลวก ๆ มีเยลู่ซาเป็นผู้นำทัพกลาง ฝั่งซ้ายถูกแทนที่ด้วยกองทัพทหารของเยลู่ฝู ส่วนฝั่งขวาเป็นกองทัพของเยลู่หวาย

เสียงกลองและแตรดังกังวานทั่วทั้งท้องนภา ทหารม้าเกราะแดง 300,000 นายมองดูแล้วราวกับผ้าไหมสีแดงผืนใหญ่กำลังรุดไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว

ธงแห่งชัยชนะกำลังออกล่า ดาบและปืนถูกชูสลอน เสียงเกือกม้าราวกับเสียงฟ้าร้องยามกระแทกกับพื้นธรณี ราวกับผืนปฐพีที่ใหญ่ไพศาลนี้กำลังสั่นสะเทือน

มิต้องสงสัยเลยว่านี่คือกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดนอกจากกองทัพอสนีบาตของราชวงศ์เหลียว นี่คือสงครามที่มีทางน้ำอยู่เบื้องหลัง ทหารทุกนายต่างก็เข้าใจกันดีว่าหากพ่ายแพ้ในศึกครานี้ ก็จะมิมีหนทางรอดไปได้อีกแล้ว

สภาพแวดล้อมเยี่ยงนี้กลับกระตุ้นความดุดันของเหล่าทหารขึ้นมา ในสายตาของกั้วยวี่ชาน กองทัพเยี่ยงนี้เดิมทีควรจะเป็นกองทัพที่ไร้พ่าย

ทว่าเมื่อเขามองไปยังฝ่ายตรงข้าม

คลื่นสีเงินกำลังโหมกระหน่ำเข้ามา พวกเขามิมีเสียงกลองรบและมิมีเสียงแตรสัญญาณใด ๆ ราวกับพวกเขากำลังเดินทัพท่ามกลางความเงียบสงบ

ด้วยความเร็วของพวกเขาจึงทำให้เข้าใกล้ทหารเกราะแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าในชั่วพริบตาเดียว ระยะห่างเดิม 800 จั้งระหว่างทั้งสองกองทัพลดเหลือเพียง 200 จั้งเท่านั้น

ทันใดนั้นราวกับใจของกั้วยวี่ชานย้ายมาอยู่ที่ลำคอ แสงสว่างจ้าจนเกือบจะทำให้เขาตาบอด กองทัพของศัตรูชักดาบออกมาแล้ว !

รูม่านตาของกั้วยวี่ชานหดลง เขาหรี่ตาลงทันใด มองเห็นดาบของฝ่ายตรงข้ามผ่านกล้องส่องทางไกล !

นี่มิใช่ดาบที่สามารถพบเจอได้ทั่วไป

มองดูแล้วตรงและสั้นยิ่งกว่าดาบทางฝ่ายตนมากนัก !

ยาว 1 ชุ่น ทรงตรงเป็นทื่อๆ ไม่มีสัดส่วนโค้งมนเหมือนดาบทั่วไป นี่น่าจะเป็นเรื่องที่น่าปีติยินดี ทว่ามิรู้เหมือนกันว่าเหตุใด หนังตาของกั้วยวี่ชานถึงกระตุกขึ้นมาอีกครา กระตุกจนเขาแอบหวั่นไหว

เขาหันกลับไปเหลือบมองด้านหลัง เป็นแม่น้ำเย๋ซุ่ยกว้างกว่าสิบจั้ง

เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาอีกครา มิทราบว่าเมื่อใดเช่นกันที่มีเมฆสีดำก้อนใหญ่ลอยอยู่เหนือท้องนภา

ภายใต้ก้อนเมฆสีดำมีฝูงแร้งบินโฉบไปมานับมิถ้วน

ในขณะที่ทั้งสองกองทัพกำลังประจันหน้ากัน เสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นมาท่ามกลางเมฆดำนี้ ฝูงอีแร้งแตกกระเจิงบินหนีออกไปตัวละทิศละทาง เขาเห็นสายฟ้าแลบผ่านชั้นเมฆลงมา ราวกับมังกรสีเงินที่กำลังเลื้อยอย่างบ้าคลั่ง

“สังหาร… ! ”

“สังหาร… ! ”

เสียงกู่ร้องดังสนั่นพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง บนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่เวิ้งว้าง คลื่นสีเงินขนาดใหญ่โถมเข้าหาผ้าไหมสีแดงอย่างบ้าคลั่ง !

“จำต้องหยุดไว้ให้ได้ ! ”

ทันทีที่กั้วยวี่ชานยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมามอง เขาก็ได้เห็นศีรษะจำนวนนับมิถ้วนกระเด็นขึ้นสูง เห็นโลหิตที่พุ่งกระเซ็นออกมาจากร่างที่ยังนั่งอยู่บนหลังม้า

โลหิตสาดกระเซ็นกระทบเข้ากับเกราะสีเงินของฝ่ายตรงข้าม มองดูแล้วราวกับดอกไม้ที่สวยสดงดงาม

……

……

“ฝนจะตกแล้ว”

ณ รัฐจื่อฉี ฟู่เสี่ยวกวนมีเจี่ยหนานซิงคอยติดตาม เขาได้พาเยี่ยนเป่ยซีและฉินปิ่งจงเดินไปบนพรมดอกไม้สีม่วง

“ใช่ ! ฝนจะตกแล้ว พวกเรากลับกันก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เจี่ยหนานซิงค่อนข้างเสียดาย ฝ่าบาทเอ่ยว่านี่คือดอกลาเวนเดอร์ที่พระองค์ทรงปลูกด้วยตนเอง ในภายหลังด้วยความพยายามของจางเสี่ยวเหมย ดอกลาเวนเดอร์ก็ได้บานสะพรั่งไปทั่วทั้งรัฐจื่อฉี

มองดูแล้วเบิกบานใจมากยิ่งนัก !

“ชื่นชมดอกไม้ท่ามกลางสายฝนก็จะได้บรรยากาศอีกแบบ…” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยจบก็หันหน้าไปกำชับกับท่าป๋าคัง “ให้คนนำกระโจมมากางที่นี่เถิด… ต้องมีขนาดใหญ่ ให้นำเตาถ่านและเนื้อวัวเนื้อแกะที่จัดการเรียบร้อยแล้วมาส่งที่นี่ด้วย วันนี้พวกเราจะชมดอกไม้และทานเนื้อวัวเนื้อแกะกันที่นี่ ตกค่ำก็พักที่นี่เสียเลย”

“ส่วนเสนาบดีท่านอื่น ๆ พวกท่านกลับไปเมืองยวี่ซิ่วเถิด ข้ามาเดินเล่นที่นี่ มิมีอันใดให้พวกเจ้าต้องคอยดูอยู่ข้าง ๆ ”

“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ท่าป๋าคังพาเสนาบดีท่านอื่น ๆ ควบม้าจากไป ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดื่มด่ำกับดอกไม้สีม่วงเบื้องหน้านี้ “พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่าดอกไม้จำนวนมากนี้สามารถทำน้ำหอมออกมาได้จำนวนเท่าใด ? ”

“ข้าเองก็มิทราบ ทว่ายอดขายน้ำหอมในหนึ่งปีของรัฐจื่อฉีเท่ากับสิบกว่าล้านตำลึง กำไรของสิ่งนี้สูงมากยิ่งนัก ทว่าต้นทุนที่ใช้เพียงแค่ 5 ล้านตำลึงเท่านั้น”

เยี่ยนเป่ยซีสูดลมหายใจเข้าลึก อดีตราชวงศ์หยู แคว้นที่มีพื้นที่ใหญ่โตรายได้ต่อปีเพียงแค่ 20 ล้านตำลึงเท่านั้น ทว่ากำไรจากน้ำหอมของรัฐจื่อฉีกลับได้ถึงครึ่งหนึ่งของรายได้ต่อปีของอดีตราชวงศ์หยู !

ชาวสวนดอกไม้จะมีรายได้มากเท่าใดกัน ?

พ่อค้าสามารถทำเงินไปได้เท่าใด ?

แล้วประเทศได้รับภาษีมาเท่าใด ?

เห็นได้ชัดว่านี่คือตัวเลขที่น่าตกตะลึงมากยิ่งนัก นี่มันเกินความคาดหมายของเยี่ยนเป่ยซีไปมากโข

“นี่ถือว่ายังมิมาก ข้าจะบอกอันใดให้ว่า…เพียงเส้นทางสายไหมถูกเปิดใช้งานจริง ๆ และสามารถขายสิ่งนี้ไปยังต่างแดนได้ กำไรของมันจะสูงขึ้นอีกสามเท่าตัว”

ดวงตาของเยี่ยนเป่ยซีเป็นประกายแวววับขึ้นมา “จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าอย่างหนักแน่น “จริง ! ”

ดังนั้นนี่คือเหตุผลที่ฝ่าบาทต้องการยึดราชวงศ์เหลียวเยี่ยงนั้นหรือ ?

หากล้มราชวงศ์เหลียวได้เร็วขึ้นอีกสักหนึ่งวัน เส้นทางสายไหมก็จะถูกเปิดใช้งานเร็วขึ้นอีกหนึ่งวันมิใช่หรือ ?

“ฝ่าบาท บัดนี้กองทัพรุดไปถึงที่ใดแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะอย่างขมขื่น “ยังมิมีรายงานส่งมา ข้าเองก็มิทราบเช่นกัน”

……

นี่คือช่วงเวลาที่บุปผานานาพันธุ์จะเบ่งบานบนทุ่งหญ้า

ดอกไม้ที่บอบบางเหล่านั้นได้แหลกสลายด้วยฝีเท้าของม้า

ท่าป๋าเฟิงยืนอยู่บนรถม้ากลางกองทัพ เขาเองก็ใช้กล้องส่องทางไกลสำรวจสนามรบเช่นกัน

เขาเห็นโลหิตสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ กลิ่นคาวโลหิตลอยคละคลุ้ง ทหารม้าของเขากำลังใช้ดาบตรงที่ตีขึ้นพิเศษปลิดชีพของศัตรูอย่างบ้าคลั่ง

เขาอยากจะสงบสติอารมณ์ ทว่าความตื่นเต้นที่ปรากฏบนใบหน้านั้นไร้หนทางที่จะปิดบังได้

เขาถึงขั้นกุมดาบของตนเองเอาไว้แน่น !

เขาคืออดีตจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ บัดนี้เขาได้เป็นผู้นำกองทัพ เขารู้สึกได้ถึงเลือดในร่างของตนเองกำลังเดือดพล่าน เขาชอบรสสัมผัสเยี่ยงนี้ ชอบที่จะใช้เลือดของศัตรูมารินรดดอกไม้เหล่านั้นให้สวยงามมากยิ่งขึ้น

ทหารม้าของเขาพุ่งเข้าไปหาศัตรูอย่างมิเกรงกลัว จากนั้นก็มีเสียงโหยหวนดังขึ้นมาในทุกที่ที่ทหารม้าของเขาผ่าน ซากศพทับซ้อนกันจนน่ากลัว ราวกับคลื่นสีเงินขนาดใหญ่กำลังชะล้างผ้าไหมสีเลือด ผ้าไหมสีแดงที่ไร้จุดสิ้นสุดบนทุ่งหญ้ากำลังซีดจาง และกำลังจะหายไปในมิช้า

“ครืน… ! ”

เสียงฟ้าร้องดังขึ้นมาอีกคราใจกลางเมฆดำขนาดใหญ่ ฝนเม็ดใหญ่กำลังตกลงมา

ราวกับสวรรค์ก็ต้องการชะล้างผ้าไหมสีแดงผืนนี้เช่นกัน

รอยยิ้มบาง ๆ ของท่าป๋าเฟิงผุดขึ้นมา สภาพจิตใจของเขาในตอนนี้ดีมากยิ่งนัก

ทว่าเยลู่ซาในยามนี้กลับมิได้รู้สึกดีเลยแม้แต่น้อย

“ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ทหารทุกนายจงต้านเอาไว้ ! ”

“ฝั่งซ้าย… เหตุใดถึงเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ที่ฝั่งซ้ายได้เล่า ? ”

“ฝั่งขวา…รีบไปบอกท่านแม่ทัพเยลู่หวาย เขากำลังทำบ้าอันใดอยู่กัน ! ”

ทหารจงวิ่งออกไปทั้งสองฟาก จากนั้นก็วิ่งกลับมาด้วยความว่องไวอีกครา

“ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านแม่ทัพเยลู่หวาย… ตายแล้วขอรับ ! ”

“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ ? รีบไปทูลองค์ชายรองเร็วเข้า ฝั่งขวาจะพ่ายมิได้เป็นอันขาด ! ”

ราวกับจิตใจของเยลู่ซาถูกหยาดฝนอันหนาวเหน็บรินรด ร่างของเขาในตอนนี้สัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บที่สะท้านไปถึงขั้วกระดูก

ดาบและปืนทำอันใดฝ่ายตรงข้ามมิได้เลย !

เกราะกระดองเต่าของพวกเขามีเพียงมิกี่จุดเท่านั้นที่จะสามารถคร่าชีวิตได้ !

การปะทะในตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ทว่า…ผ้าไหมสีแดงเบื้องหน้ากำลังสั้นลงเรื่อย ๆ เกรงว่าหากรอให้ผ่านไปอีกครึ่งก้านธูป ลูกศรของข้าศึกคงพุ่งมาถึงตรงนี้เป็นแน่ !

เยลู่ฮัวยังคงเฝ้ามองสนามรบ

สนามรบที่อยู่ท่ามกลางสายฝนเริ่มพร่ามัวเต็มที บัดนี้เขามองภาพเบื้องหน้าได้มิชัดอีกแล้ว