ตอนที่ 1057 ความชอบธรรม

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1057 ความชอบธรรม

ณ หมู่บ้านฮวงหลิน

หมู่บ้านฮวงหลินเป็นหมู่บ้านที่มีเพียง 80 ครัวเรือนเท่านั้น

ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ มีเรือนที่มุงด้วยใบจากกระจายออกไป 80 หลังคาเรือน

ทางด้านตะวันออกของหมู่บ้านหลิวอีเกินกำลังนั่งอยู่บนธรณีประตูบ้าน ในปากคาบกระบอกยาสูบเอาไว้ ดวงตาหรี่มองเม็ดฝนที่ตกลงมาอย่างบ้าคลั่งพลางส่ายหน้าแล้วพึมพำขึ้นมาว่า “ฝนตกครานี้ ต้นกล้าในนาข้าวคงเสียหายเป็นแน่ เฮ้อ…หากฝนหยุดตก ข้าคงต้องไปเก็บต้นกล้าที่ปลูกเอาไว้ขึ้นมา มิเช่นนั้นปีนี้คงมิมีอันใดให้เก็บเกี่ยวเป็นแน่”

แสงไฟภายในเรือนสลัว ๆ สตรีวัย 40 ปีผู้หนึ่งกำลังปะชุนเสื้อผ้า นางจ้องมองแผ่นหลังของหลิวอีเกินพลางเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ให้ข้าไปด้วยดีหรือไม่ ? โรคไข้ข้ออักเสบของเจ้ารับความชื้นเยี่ยงนี้มิไหวหรอก”

“มิเป็นไร ! รอดพ้นจากความตายในกองทัพเมื่อปีนั้นมาได้ อาการเจ็บปวดเล็กน้อยในตอนนี้เทียบมิได้หรอก…” ทันใดนั้นเขาก็สูบยาสูบเข้าไปและพ่นควันออกมา จากนั้นจึงหันหน้ากลับไปเอ่ยถามภรรยาว่า “ยอดรัก…แกะตัวเมียของเราตัวนั้นในสองวันนี้ใกล้จะคลอดลูกแล้วใช่หรือไม่ ? ”

“อือ”

หลิวอีเกินจ้องมองไปเบื้องหน้าที่แสนเวิ้งว้าง ปากยังคงคาบกระบอกยาสูบเอาไว้และนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน “หากลูกสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย… คงจะต้องไปสู่ขอกับบ้านหยูแล้ว หวังว่าครานี้พวกแกะจะสามารถออกลูกเพิ่มได้อีกสักสองสามตัว เฮ้อ…วันเวลาแห่งความบัดซบเมื่อใดจะจบสิ้นลงเสียที”

สองมือของเขาค้ำเข่าพลางดันตัวลุกขึ้นมา จากนั้นก็ตบเข้าที่เอว “ช่วงเวลาบัดซบเยี่ยงนี้จะดีขึ้นได้เมื่อใดกัน ! ”

“ได้ยินมาว่ากำลังรบกันอีกแล้วหรือ ? ”

หลิวอีเกินพยักหน้า “ทำศึกกับแคว้นซีเซี่ย ทว่าครานี้ค่อนข้างลำบาก”

ภรรยาของเขากัดเส้นด้ายจนขาด จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกครา “มีเรื่องลำบากอันใดกัน ทุกปีก็เป็นแบบนี้มิใช่หรือ ? คนที่ลำบากก็มิพ้นชาวบ้านอย่างเรา ๆ ”

“ครานี้ได้ยินมาว่าประเทศซีเซี่ยเข้าร่วมกับแคว้นต้าเซี่ย ผู้ที่มาคือกองทัพของประเทศต้าเซี่ย”

ฝ่ายภรรยาชะงักงันขึ้นมาทันใด จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา “ประเทศต้าเซี่ยตั้งอยู่ที่ใดกัน ? แข็งแกร่งกว่าแคว้นซีเซี่ยอีกหรือ ? เยี่ยงนั้นหลิวต้าเถียนที่อยู่แนวหน้าจะเป็นอันตรายหรือไม่ ? ”

หลิวอีเกินนิ่งเงียบไปชั่วขณะ “ได้ยินมาว่าประเทศต้าเซี่ยแข็งแกร่งมากยิ่งนัก ข้าได้บอกกับลูกชายแล้ว การเป็นทหารหากอยากรอดออกมาจากสนามรบก็ต้องมองการณ์ไกลเผื่อเอาไว้บ้าง”

ภรรยาวางอาภรณ์ในมือลง จากนั้นก็ปรี่เข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นก็อันตรายมากยิ่งนักน่ะสิ ? ”

“การทำสงครามย่อมมีอันตรายอยู่แล้ว”

“เช่นนั้น เช่นนั้น… หาก…”

หลิวอีเกินเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเป็นเวลาเนิ่นนาน ทว่ามิได้เอ่ยอันใดต่ออีก เริ่มต้นเมื่อปีที่แล้ว ราชวงศ์เหลียวเกณฑ์ทหารเพิ่มจำนวนมาก บุตรชายที่เป็นชายฉกรรจ์ก็ถูกจับไปเป็นทหารเช่นกัน ในเรื่องนี้เขามิสามารถต่อต้านหรือขัดขืนได้

เขาเคยเป็นทหารของราชวงศ์เหลียวมาก่อน เขาได้รับบาดเจ็บที่ขาในระหว่างที่รบกับประเทศซีเซี่ยจึงถูกสั่งให้ออกจากกองทัพและได้กลับมายังที่นี่

เขาคิดว่าอาจจะได้รับเงินบำนาญสักก้อน ทว่าสุดท้ายหลังจากผ่านมาหลายปี กลับมิเหลืออันใดเลย

บางเวลาเขาก็มักจะคิดอยู่เสมอว่า แคว้นที่เป็นเยี่ยงนี้มีค่าพอให้ชาวเมืองสละชีพแล้วจริง ๆ หรือ ?

ทางราชสำนักมิเห็นหัวราษฎร แล้วเหตุใดราษฎรต้องขายชีวิตให้พวกเขาด้วยกัน ?

นี่คือความคิดอันตรายที่ฝ่าฝืนจรรยาบรรณ เขามิกล้าบอกกับผู้ใด แม้แต่บุตรชายของเขาที่ถูกพาตัวไป ทว่าเขาก็ยังยึดมั่นความคิดนี้ไว้ในใจของตนเอง หากราชวงศ์เหลียวล่มสลายเพราะประเทศต้าเซี่ยจริง ๆ สำหรับพวกเขาที่มิมีอันจะกิน ก็คงคิดว่านี่มิใช่เรื่องที่เลวร้ายอันใด

“ที่ข้าเอ่ยถามเจ้าเล่า ! ”

“อ่า…” หลิวอีเกินก้มหน้าลงสูบยาสูบอีกครา เหมือนว่ายาเส้นในกระบอกจะไหม้จนหมดแล้ว เขาจึงย่อตัวลงไปเคาะกับธรณีประตู “หากตายแล้ว คาดว่าคงจะหาศพกลับมาให้มิได้… เช่นนั้นก็ทำสุสานที่มีแต่เสื้อผ้าให้เขาก็แล้วกัน”

ภรรยาของเขาอ้าปากกว้างด้วยความตื่นตกใจ “แล้วพวกเราที่แก่ตัวแล้วจะทำเยี่ยงไร ? ”

เลี้ยงลูกเพื่อให้เขาตอบแทนเลี้ยงดูยามแก่ชรา พวกเขามีบุตรชายเพียงคนเดียว หากตกตายในสนามรบขึ้นมา… “อย่าคิดมากเลย บางทีเขาอาจจะมีชีวิตรอดกลับมาก็เป็นได้”

ในยามที่หลิวอีเกินกำลังจะหันกลับเข้าไปในเรือน เขามองเห็นอันใดบางอย่างท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา

เขาพบเจอผู้คนจำนวนมาก !

คนเหล่านั้นกำลังตรงมายังเรือนของเขา !

เขาเดินกะเผลกพลางดันภรรยาให้วิ่งเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็คว้าหอกที่ขึ้นสนิมแล้วออกมาจากผนัง

เขายืนอยู่หน้าประตูเรือน กุมหอกยาวเอาไว้แน่น จากนั้นก็มองออกไปด้านนอกด้วยท่าทีตื่นตระหนก

สองพี่น้องหยูติ้งชานและหยูติ้งเหอนำพาทหาร 300 นายเดินเข้ามา หลิวอีเกินจ้องมองเกราะฝ่ายของผู้มาเยือนอย่างเต็มตา เขามั่นใจว่านี่มิใช่กองทัพของราชวงศ์เหลียว

เขายกหอกยาวขึ้นมา ทว่ากลับเห็นหยูติ้งชานถอดเกราะออกและยิ้มบาง ๆ ให้กับเขา

หยูติ้งชานยืนอยู่ใต้ชายคา เขายื่นมือขึ้นลูบน้ำฝนบนใบหน้า แล้วเอ่ยขำ ๆ ว่า “ท่านลุง…อย่าตื่นตระหนกไปเลย พวกเรามิใช่คนเลว เพียงมาขออาศัยชายคาของท่านเพื่อหลบฝนก็เท่านั้น”

เหมือนว่าใต้ชายคานี้จะมิมีพื้นที่เพียงพอสำหรับ 300 คน หลิวอีเกินจึงเห็นทหารที่เหลือเดินไปยังเรือนอื่น

“พวกเจ้า…พวกเจ้าคือผู้ใดกัน ? ”

“ท่านลุง… พวกเราคือทหารของประเทศต้าเซี่ย พวกท่านรู้จักประเทศต้าเซี่ยหรือไม่ ? ”

หลิวอีเกินใจกระตุกวูบขึ้นมาทันพลัน กองทัพประเทศต้าเซี่ยบุกมาถึงที่นี่แล้วเยี่ยงนั้นหรือ แสดงว่าแนวหน้าพ่ายแพ้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

หรือว่าบุตรชายของข้า หลิวต้าเถียนจะตายแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

“กองทัพของประเทศต้าเซี่ยเยี่ยงนั้นหรือ ? กองทัพของราชวงศ์เหลียวแพ้แล้วหรือ ? ” หลิวอีเกินยังคงกำหอกเอาไว้แน่น พลางเอ่ยถามด้วยท่าทีตื่นตระหนก

“ย่อมพ่ายแพ้เป็นแน่ พวกเราคือกองพลทหารม้า อยู่ที่นี่เพื่อรอเยลู่ฮัวหรือก็คือองค์รัชทายาทของพวกเจ้านั่นแหละ รอให้เขาผ่านมายังสถานที่แห่งนี้ จากนั้นข้าจะทำการจับเป็นเขาในทันที”

ฝ่ายภรรยาตื่นกลัวจนหน้าซีดเผือดไปแต่เนิ่น ๆ แล้ว นางกำชายเสื้อเอาไว้แน่น จ้องมองศัตรูที่สวมเกราะแวววาวที่ยืนอยู่ภายใต้ชายคาบ้านของนางด้วยแววตาหวาดกลัว ในสายตาของฝ่ายภรรยา พวกเขาคือผู้รุกราน เช่นนั้นย่อมเป็นศัตรูอย่างแน่นอน

เพียงแค่…เดิมทีนางคิดว่าข้าศึกเหล่านี้จะสังหารพวกนางอย่างมิปรานี เพื่อที่จะได้หลบในเรือนนี้ได้สบายขึ้นมิใช่หรือ ?

ทว่าพวกเขากลับยืนอยู่ด้านนอก ทั้งยังมิมีผู้ใดชักดาบออกมาแม้แต่คนเดียว

พวกเขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงันราวกับรูปปั้น

“ประเทศต้าเซี่ย… หากประเทศต้าเซี่ยจับทหารของราชวงศ์เหลียวเป็นเชลยศึกแล้ว จะสังหารทั้งหมดหรือไม่ ? ”

หลิวอีเกินเอ่ยถามด้วยความหวัง

เพราะอย่างน้อยในยามที่ทำศึกกับประเทศซีเซี่ย เชลยศึกของทั้งสองฝ่ายต่างก็ยากที่จะหนีพ้นจากความตาย

หยูติ้งชานยกยิ้มขึ้นมาอีกครา จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า “ท่านลุงโปรดวางใจเถิด แต่ไหนแต่ไรพวกเราชาวต้าเซี่ยก็มิเคยสังหารเชลยศึกเลยสักคนเดียว นอกจากนี้…ข้าจะขอเอ่ยอย่างมิปิดบังพวกท่านว่า องค์จักรพรรดิของพวกเราต้องการยึดครองราชวงศ์เหลียว ภายภาคหน้าพวกท่านก็จะเป็นราษฎรของประเทศต้าเซี่ยเช่นกัน ดังนั้นจะสังหารไปเพื่อการใดเล่า”

“จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ในดวงตาของหลิวอีเกินเกิดประกายความหวังขึ้นมาทันใด

“ข้าจะโกหกท่านเนื่องด้วยเหตุอันใดเล่า ? องค์จักรพรรดิของประเทศต้าเซี่ยทรงพระปรีชาสามารถมากยิ่งนัก พระองค์ทรงทำให้แคว้นซีเซี่ยยอมจำนนต่อประเทศต้าเซี่ย โดยที่องค์จักรพรรดิของพวกเรามิได้สังหารคนจากแคว้นซีเซี่ยเลยแม้แต่คนเดียวรวมไปถึงเชื้อพระวงศ์ด้วยเช่นกัน”

“ทว่าวิสัยทัศน์ของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์เหลียวนั้นต่ำต้อยมากยิ่งนัก เขาต้องการทำศึก เยี่ยงนั้นก็มีแต่ต้องให้เขาได้เห็นความเก่งกาจของพวกเราชาวประเทศต้าเซี่ยให้เต็มตา”

“พวกท่านอย่าได้กลัวไปเลย กองทัพของประเทศต้าเซี่ยจะมิทำร้ายชาวบ้านแม้แต่คนเดียว ที่พวกเราจำต้องสังหารก็มีเพียงเหล่าขุนนางที่เคยรังแกพวกท่าน พวกเขาต่างหากที่ต้องหวาดกลัว”

“รอหลังจากที่พวกข้ายึดครองราชวงศ์เหลียวได้แล้ว ครอบครัวเฉกเช่นพวกท่าน ก็จะได้รับการสนับสนุนจากประเทศต้าเซี่ย ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกท่านจะดีขึ้นกว่าเดิม พวกท่านจะทราบเองในภายภาคหน้า”

หอกที่อยู่ในมือของหลิวอีเกินร่วงหล่นลงพื้นธรณี เขามิสามารถแยกแยะคำเอ่ยของชายหนุ่มเบื้องหน้านี้ได้ว่าเป็นจริงหรือเป็นเท็จกันแน่ บัดนี้เขาได้เข้าใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาแล้ว กองทัพนี้แตกต่างออกไป !

“ท่านแม่ทัพ เข้าไปนั่งด้านในก่อนดีหรือไม่ ? ”

“ไม่ล่ะ ! กองทัพของพวกเรามีกฎระเบียบอยู่ ห้ามรบกวนชาวบ้านเป็นอันขาด มิเช่นนั้น…พวกเราทหารกองร้อยเล็ก ๆ นี้คงได้จบสิ้นกันเป็นแน่”

ทันใดนั้นเองก็มีพลทหารม้านายหนึ่งเดินเข้ามา

“รายงาน…เยลู่ฮัวกับองครักษ์กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ มีจำนวนประมาณ 1,000 คน ! ”

“ดี ! ทั้งหมดออกเดินทาง อย่าทำศึกในหมู่บ้านเป็นอันขาด”

หยูติ้งชานยกมือขึ้นคำนับหลิวอีเกิน “ท่านลุง…ไว้พบกันใหม่ ! ”

ผ่านไปเพียงชั่วครู่ หมู่บ้านแห่งนี้ก็ได้กลับมาสงบสุขอีกครา

ภรรยาของเขายังคงกำชายเสื้อเอาไว้แน่น ดวงตาของหลิวอีเกินจ้องมองไปยังทิศทางที่กองทัพนั้นได้หายตัวไป ทันใดนั้นก็เอ่ยพึมพำขึ้นมาว่า “พวกเขา…แตกต่างออกไป”