บทที่ 682 กังจือกับหลินซิ่ว

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 682 กังจือกับหลินซิ่ว

หลินชิงเหอไม่รู้ว่าลูกชายตัวเองไปรู้จักพรหมลิขิตของตัวเองเข้า แถมยังทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ด้วย นี่ถ้ารู้คงโมโหจนกระอักเลือดแน่นอน

เจ้าสามไปถึงที่นั่นแล้วโทรกลับมาที่บ้าน บอกว่าเดี๋ยวนี้พี่ใหญ่เขาไม่ต้องออกไปทำภารกิจแล้ว แต่ละวันนอกจากฝึกแล้วยังเหลือเวลาอยู่กับพี่สะใภ้ใหญ่ของเขาอีกมาก สภาพโดยรวมของพี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่เลว

หลินชิงเหอได้ยินแล้วก็สบายใจ และบอกให้เขากลับมา เพราะต้องลงใต้ไปดูใบชาแล้ว จึงค่อนข้างยุ่ง

เจ้าสามค้างที่นั่นสองวันและกลับบ้าน และคิดอยู่ว่าจะได้เจอเด็กสาวที่ชื่อจงฉิงไหม หล่อนคุยเก่งมากเลยล่ะ แถมยังมีนิสัยอ่อนโยนด้วย

ตอนแรกที่เพิ่งรู้จักกันนึกว่าหล่อนจะเป็นคนห้าว ๆ แต่ภายหลังรู้สึกจริง ๆ ว่าหล่อนเป็นเด็กสาวที่อ่อนโยนมาก

ตอนเจ้าสามกลับถึงปักกิ่ง เขาก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้แม่เขาฟัง ยังไงเสียแม่เขาได้บอกไว้แล้วว่าห้ามแต่งงานกับผู้หญิงแซ่จง นิสัยแม่เขาช่างเผด็จการเหลือเกิน เขาไม่กล้าขัดใจหรอก

แถมเขายังเพิ่งรู้จักเด็กสาวคนนั้น คงไม่ไปท้าทายแม่เขาเพื่อหล่อนหรอก

ร้านขายชาขายดีมาก ร้านไวน์ก็รายได้มั่นคง แต่เนื่องจากมีคนเฝ้าร้าน เจ้าสามก็ไม่จำเป็นต้องไปคุมร้านไวน์ หลินชิงเหอจึงส่งเขาลงใต้

เธอให้หม่าเฉิงหมินไปกับเขา บัดนี้หม่าเฉิงหมินยังอาศัยอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์ แต่ปีนี้มีการเปิดขายคอนโดมิเนียม ทำให้เขาเองก็นึกอยากได้เหมือนกัน

แต่มันแพงเกินไป ซื้อไม่ไหวจริง ๆ หลินชิงเหอก็บอกแล้วว่าถ้าเงินของเขาไม่พอเธอก็ให้เขายืมได้

ตั้งแต่หม่าเฉิงหมินทำงานให้เธอ เขาก็ทำด้วยความสุจริตมาตลอด และจัดการทุกอย่างได้เป็นอย่างดี หลินชิงเหอย่อมยินดีจะช่วยเหลือพนักงานเก่าแก่

ยังไงเสียด้วยการพัฒนาของสังคมตอนนี้ อะพาร์ตเมนต์ออกจะเป็นสภาพแวดล้อมที่แย่ไปหน่อย

ถ้ามีเงิน ใคร ๆ ก็อยากอยู่ที่ดีกว่านี้

ร้านเกี๊ยวที่คุณป้าหม่าเปิดกับลูกสะใภ้ของนางก็ขายดีใช้ได้ แน่นอนว่าได้เงินมาก้อนหนึ่งเหมือนกัน

ตลอดเวลาที่ผ่านมาหม่าเฉิงหมินไม่เคยคิดจะเปลี่ยนอาชีพ ต่อให้เงินเดือนของเขาน้อยกว่าเงินที่แม่เขาและภรรยาเขาหาได้จากร้านเกี๊ยวมาก แต่เขาก็ชอบงานนี้

วันนั้นหลินชิงเหอกลับมาก็ได้ยินอาอี๋จ้าวบอกว่าที่บ้านโทรมา น้องสะใภ้สามหลินใช้โทรศัพท์ของพี่สะใภ้สามโจวโทรมา

หลินชิงเหอจึงโทรหาสะใภ้สามโจว ซึ่งหล่อนก็บอกว่า “ฟังจากที่น้องสะใภ้เธอพูดแล้ว หล่อนน่าจะอยากให้หลินซิ่วไปช่วยงานเธอ แล้วไปหาเขยที่ปักกิ่งน่ะ”

หลินชิงเหอหัวเราะ “เรื่องนั้นก็ต้องดูที่วาสนากันสิ”

สะใภ้สามโจวเอ่ย “ชิงเหอ เธอว่าแนะนำหลินซิ่วให้กังจือดีไหม ตอนนี้กังจือก็เป็นคนปักกิ่งแล้วนะ”

หลินชิงเหอผงะ ตอนแรกเธออยากแนะนำอาเตียลูกสาวอาอี๋จ้าวให้กังจือ แต่ปีนี้อาเตียมีแฟนแล้ว เพิ่งมีเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง

หลินชิงเหอจึงไม่เคยพูดเรื่องนี้ ถึงยังไงตอนนี้กังจือก็ไม่คิดอะไรด้านนี้เลยจริง ๆ

“เธอเองก็เห็นกังจือมาตั้งแต่เด็ก หลินซิ่วก็เป็นคนที่ฉันเห็นมาตั้งแต่เด็ก เรียนก็สูง คนก็ดี ปีนี้ก็จบแล้ว น้องสะใภ้เธอคิดไว้ว่าหลังจบก็ให้ไปเป็นนักบัญชีอะไรทำนองนั้นให้เธอ แต่ฉันเองก็เป็นแม่ จะไม่เข้าใจที่น้องสะใภ้เธอคาดการณ์ได้ยังไง แต่ตอนนี้กังจือเป็นคนปักกิ่งแล้วนะ” สะใภ้สามโจวกล่าว

หลินชิงเหอทำหน้าไม่ถูก เธอไม่เคยคิดจะจับคู่ให้หลานสาวและหลานชายตัวเองเลย แต่ที่พูดมาก็ถูก กังจือเป็นคนที่เธอเห็นมาแต่เด็ก ถ้าถามถึงเป้าหมายอันยิ่งใหญ่นั้นไม่มีหรอก แต่เป็นคนสุจริตเหมือนกับหู่จือพี่ชายเขา

เพื่อให้ตัวเองสามารถซื้อบ้านและลงหลักปักฐานที่นี่ได้ เขาต้องสู้ชีวิตขนาดไหน ยอมหาเช้ากินค่ำ คิดจะเก็บเงินสักก้อนภายใน 3 ปี แล้วซื้อคอนโดมิเนียมที่เป็นของเขาเพื่อลงหลักปักฐาน!

การมีบ้านมีร้านที่นี่ ต่อให้อนาคตจะแย่ แต่ฟาร์มแถบชานเมืองของเธอที่กำลังสร้างอยู่ก็ต้องการคนแล้ว ไม่มีกังวลว่าจะไม่มีอะไรให้ทำ

หลินชิงเหอจึงคิดว่าเรื่องนี้ไม่เลวจริง ๆ

“แต่กังจือยังไม่คิดเรื่องพวกนี้เลย พี่สะใภ้สามอย่าเพิ่งบอกใครนะ” หลินชิงเหอกล่าว

“กังจือไม่เด็กแล้วนะ ทำไมยังไม่คิดจะแต่งงานอีกหรอ” พี่สะใภ้สามโจวเอ่ย

หล่อนคิดเรื่องนี้ได้ก็เพราะคิดว่าเด็กสาวอย่างหลินซิ่วจะให้คนนอกได้ไปได้อย่างไร? ให้แต่งงานกับหลานอย่างกังจือจะไม่ดีกว่าหรือ?

หลินชิงเหอจึงเล่าเรื่องที่ตอนนี้กังจือดิ้นรนต่อสู้เพราะอยากซื้อบ้านให้หล่อนฟัง

สะใภ้สามโจวกลับไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “การซื้อบ้านไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น ๆ บ้านที่นู่นออกจะแพงขนาดนั้น ฉันได้ยินจากอู่นีแล้วนะว่าต้องหนึ่งแสนหยวนขึ้นไป ถ้าซื้อไม่ไหวแล้วจะไม่แต่งงานตลอดชีวิตเลยรึไง? คบกันไปก่อนก็ได้ อีกหน่อยออกไปเช่าบ้านด้วยกันก็ได้นี่ บ้านเธอกว้างใหญ่ขนาดนั้น ไปขออยู่ด้วยก่อนก็ยังได้”

หลินชิงเหอหัวเราะ “ให้พวกเขาสองคนดู ๆ กันเองแล้วกันค่ะ ถ้าต่อกันติด ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้เราช่วยอะไรหรอก ถ้าต่อไม่ติด เราก็ไม่ต้องเปลืองแรง”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เธอก็ฝากพี่สะใภ้สามโจวไปบอกน้องสะใภ้สามหลินว่าได้ รอให้หลินซิ่วจบแล้วอยากมาปักกิ่งก็มา เธอจะรับไว้

น้องสะใภ้สามหลินดีใจมาก น้องสามหลินกลับมาแล้วหล่อนจึงบอกเรื่องนี้กับเขา “ฉันบอกแล้วว่าพี่สามไม่ว่าหรอกค่ะ อาซิ่วไปนู่นต้องช่วยงานได้แน่”

“คุณคิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าคุณคิดอะไรอยู่” น้องสามหลินมองหล่อนอย่างเหนื่อยใจ

น้องสะใภ้สามหลินเอ่ย “แล้วไม่ได้เหรอ? ถ้ามีที่เหมาะสมกัน ให้พี่สามแนะนำให้อาซิ่วสักคนก็ดีออกไม่ใช่เหรอคะ?”

ถ้าลูกสาวคนโตเป็นคนอ่านหนังสือไม่ออกและทำตัวไม่ดี หล่อนคงไม่กล้าเอ่ยปากแน่นอน แต่ลูกสาวคนโตจบวิทยาลัยนะ ไม่ถือว่าแย่ ไปอยู่นู่นก็ไม่ทำน้าของหล่อนขายหน้าหรอก

ส่วนเรื่องหาเขยปักกิ่ง น้องสะใภสามหลินตั้งใจแบบนั้นแหละ

มีแม่คนไหนไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองได้แต่งกับคนดี ๆ บ้าง?

ด้านหลินชิงเหอก็เล่าเรื่องนี้ให้โจวชิงไป๋ฟัง โจวชิงไป๋ได้ยินแล้วหัวเราะ “พี่สะใภ้สามสายตาไม่เลว”

หลานสาวอย่างหลินซิ่วไม่ต้องพูดอะไรมาก ถ้าหลานชายเขาฝั่งนี้ได้แต่งด้วยต้องเป็นบุญแน่ ๆ

“ฉันให้อาซิ่วมาแล้วนะ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันว่าระหว่างหล่อนกับกังจือจะเป็นยังไง คุณให้กังจือย้ายกลับมา ไม่ต้องไปอยู่ที่บ้านตาเขาแล้ว บอกไปว่าจะได้ไม่ไปรบกวนคุณตา อยู่นี่เขาจะตื่นเช้าแค่ไหนก็ไม่รบกวน” หลินชิงเหอกล่าว

หลังจากนั้นก็เป็นฤดูร้อน ฤดูร้อนขายเสื้อผ้าง่ายที่สุด กังจือจึงไม่คิดจะขายซาลาเปาต่อแล้ว เขาจึงเชื่อฟังที่น้าเล็กพูดและกลับบ้าน

“กับข้าวบ้านคุณตาก็ดีนี่ ทำไมไปอยู่นู่นแป๊บเดียวผอมลงเยอะเลยล่ะ” หลินชิงเหอเอ่ย

“ยุ่งไปหน่อยน่ะครับ” กังจือบอกยิ้ม ๆ

หลินชิงเหอกล่าว “ถึงตอนนี้จะยังหนุ่มอยู่ แต่ก็ต้องดูแลสุขภาพด้วย คืนนี้ให้น้าตุ๋นกระเพาะปลาให้กิน เธอก็กินเยอะๆหน่อย”

“ครับ” กังจือยิ้มกว้าง

……………………………………………