ตอนที่ 686 เข้าป่า

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 686 เข้าป่า
โจวเซี่ยวเทียนขับรถนิ่งมาก เยี่ยเทียนก็ไม่ได้รีบ พอตกดึก พวกเขาจึงค้างคืนที่อันหุย และไปถึงอู่ฮั่นอีกทีในวันที่สอง

จากอู่ฮั่นไปถึงทางเข้าหมู่บ้านมู่อวี๋ เสินหนงเจี้ยนยังเหลือระยะทางอีก 4-5 ร้อยกิโล คืนที่สาม รถของเยี่ยเทียนเพิ่งขับมาถึงหมู่บ้าน

หมู่บ้านมู่อวี๋อยู่ทางใต้ของ เสินหนงเจี้ยน รอบ ๆ มีจุดท่องเที่ยวมากมาย งดงามดุจภาพวาด ถือว่าเป็นแหล่งเศรษฐกิจของที่นี่และเป็นศูนย์กลางการต้อนรับนักท่องเที่ยว ประตูที่เปิดให้คนนอกคือประตูทิศใต้

“อาจารย์ครับ ที่นี่คนเยอะนะครับ เป็นนักท่องเที่ยวทั้งนั้นเลยใช่มั้ยครับ ? ”

โจวเซี่ยวเทียนขับรถไปจอดไว้ที่ด้านหน้าโรงแรมโครงสร้างไม้แห่งหนึ่ง บริเวณลานกว้าง มีรถจอดอยู่เจ็ดแปดคันเป็นป้ายทะเบียนอู่ฮั่นทั้งหมด น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่พักที่นี่

“น่าจะใช่ เซี่ยวเทียน ไปจัดการจองห้อง วันนี้เราพักที่นี่กัน”

เยี่ยเทียนพยักหน้าพร้อมผิวปากกับเหมาโถวเดิมทีเหมาโถวนอนหลับอยู่ที่นั่งแถวหลังมันกระโดดขึ้นหัวไหล่เยี่ยเทียนอย่างรวดเร็ว และหมุนตัวอยู่รอบคอของเยี่ยเทียน เหมือนผ้าพันคอขนเฟอร์ราคาแพง

เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนที่เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว สถานที่ที่ใกล้ป่าแบบนี้ ทำให้คนรู้สึกว่าลมแห่งฤดูใบไม้ผลินั้นเยือกเย็นยิ่งนัก เยี่ยเทียนแต่งตัวแบบนี้ ก็ไม่แปลก

โรงแรมนี้คล้ายการท่องเที่ยวชนบทในปักกิ่ง ตอนกลางคืนจะมีการแสดงรอบกองไฟจนถึงเที่ยงคืนกว่า จากนั้น บริเวณรอบ ๆ ถึงจะเงียบสงบ

“คนสมัยก่อนเคยพูดไว้ พื้นหญ้านั้นมีชีวิต ดูแล้ว ก็มีเหตุผลเหมือนกัน”

แม้ในร่างกายจะไม่มีปราณชีวิตแท้แล้ว แต่การนั่งสมาธิเป็นการฝึกสติสัมปชัญญะ หลังจากบริเวณรอบ ๆ เงียบสงบ เยี่ยเทียนนั่งขัดสมาธิบนเตียงและเริ่มสัมผัสปราณวิเศษของฟ้าดินที่อยู่รอบตัว

ปราณวิเศษของที่นี่ข้นน้อยกว่าค่ายกลรวมปราณที่ฮ่องกง แต่ปราณวิเศษจาง ๆ นี้กลับมีชีวิตชีวาและทรงพลังให้ความรู้สึกสดชื่นมาก

“ปราณวิเศษในป่า บริสุทธิ์กว่าบนทะเลจริง ๆ แม้ทะเลไม่มีสิ้นสุด แต่ขาดความมีชีวิตชีวานั่นเอง!”

หลังจากสัมผัสปราณวิเศษอย่างละเอียด เยี่ยเทียนได้ข้อสรุปความแตกต่าง หากพูดถึงคุณภาพ พลังปราณชีวิตดั้งเดิมของฟ้าดินที่อยู่รอบ ๆ บริเวณชนะเห็น ๆ แต่หากพูดถึงปริมาณ ค่ายกลรวมปราณของเยี่ยเทียนมีมากกว่า

“เจ้าตัวแสบ เก่งมากจริง ๆ ! ”

จู่ ๆ พลังปราณชีวิตดั้งเดิมรอบตัวเยี่ยเทียนเกิดความวุ่นวาย พอหันกลับไปมอง พบว่าเหมาโถวหมอบอยู่ตรงหน้าต่าง กำลังดูดพลังที่ลอยอยู่กลางอากาศเข้าสู่ร่างของตัวเอง

“จี จี…”

เหมาโถวลืมตาเห็นเยี่ยเทียนมองมา จึงส่งเสียงร้อง แล้วก็กลับสู่สภาพเดิม

“เจ้าตัวแสบนี่ ถ้าฝึกแบบนี้ไปเรื่อย ๆ คงไม่กลายร่างเป็นคนหรอกมั้ง ? ”

ความคิดแบบนี้ผุดขึ้นมาในหัวแป๊ปหนึ่งแล้วหายไป ความสามารถของมังกรดำในภูเขาฉางไป๋ซานเยี่ยมกว่าเหมาโถวหลายร้อยเท่า แต่ก็ยังมีหนังหุ้มไว้ไม่ใช่เหรอ

เยี่ยเทียนส่ายหัว เข้าสู่ห้วงแห่งความลึกของจิตอีกครั้ง เขาไม่ได้สังเกตว่า ความเร็วการสูดปราณวิเศษที่นี่ เหมือนจะดีกว่าค่ายกลรวมปราณ

เยี่ยเทียนไม่ได้นอนทั้งคืน หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เยี่ยเทียนจ่ายค่าที่พักเป็นจำนวน 10 วัน และฝากรถไว้ที่โรงแรม เขาเห็นลูกศิษย์แบกกระเป๋าใบใหญ่เกือบเท่าตัวจึงพูดว่า “เซี่ยวเทียน ให้ฉันช่วยนายแบกหน่อยเถอะ”

“ไม่เป็นไรครับอาจารย์ แค่นี้เอง ไม่หนักหรอก” โจวเซี่ยวเทียนปฏิเสธ ตั้งแต่เข้าสู่ระดับพลังแฝง ความวุ่นวายภายในร่างกายถูกขจัดออกไปไม่น้อย ความแข็งแรงทางร่างกายของโจวเซี่ยวเทียนดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก

“ช่วงนี้ยังมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวอีก ? ”

ทุกคนที่มาล้วนแต่จะไปเที่ยวในหมู่บ้าน นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะที่นี่ เป็นอาณาเขตแห่งเทพกสิกรที่สร้างขึ้นตามภูเขา ทำให้หมู่บ้านมู่อวี๋กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่ง

ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์เดินเร็วมาก ผ่านไปแค่ 10 นาที พวกเขาก็มาถึง เสินหนงเจี้ย ที่แห่งนี้เป็นลานกว้างขนาดใหญ่ บรรจุคนได้มากถึงพันคน

“ไม่ใช่สิ นี่เป็นค่ายกลฮวงจุ้ย”

สีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนไปทันทีหลังจากที่มาถึงลานกว้างแห่งนี้ ตรงกลางของลานกว้างมีรูปวงกลมใหญ่ แสดงถึงฟ้า สี่เหลี่ยมจัตุรัสในวงกลม แสดงถึงพื้นดิน รูปในสี่เหลี่ยมจัตุรัส เป็นธาตุทั้งห้า ได้แก่ ไม้ ไฟ ดิน ทองและน้ำ

ด้านหน้าสุดของลานกว้างมีเสาประดับโบราณสูง 10 เมตรสองเสา บนเสาสลักลวดลายศีรษะวัว

ด้านหลังเสาโบราณมีรูปสลักนูนขนาดใหญ่สองภาพ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเทพกสิกรระหว่างเสาโบราณกับรูปสลักนูน ไม่มีแท่นบูชา ข้อบังคับของแท่นบูชาถูกกำหนดให้เป็นไปตามแบบของจักรพรรดิโบราณ เครื่องสังเวยทำด้วยทองสัมฤทธิ์วางอยู่ตรงกลาง กระถางธูป โต๊ะบูชา ระฆังทอง แท่นบูชากลองวางเรียงอยู่แถวหน้าอย่างเคร่งครัด

บางทีคนภายนอกอาจจะคิดว่านี่คือการบูชาเทพกสิกรของคนรุ่นหลัง แต่ในสายตาของเยี่ยเทียนนี่คือค่ายกลห้าธาตุพลังจักรวาล

หยินกับหยางของฟ้าดินแปรเปลี่ยนโดยผ่านค่ายกลห้าธาตุพลังจักรวาล ปราณวิเศษเข้มข้นจะรวมเข้ามาที่หอสักการะข้างหน้า

“อาจารย์ ปราณวิเศษตรงนี้ไม่ได้แย่กว่าปราณวิเศษของคฤหาสน์ที่ฮ่องกงเลยนะ”

แม้พลังของโจวเซี่ยวเทียนยังไม่เก่งมาก แต่สามารถดูดพลังปราณวิเศษมาฝึกวิชาแล้ว เขารู้สึกถึงความแตกต่างทันทีที่มาถึง

“ใช่ ค่ายนี้ตั้งโดยเซียนคนนึง ไป ไปดูกัน ! ”

เยี่ยเทียนพยักหน้าตอบ ความยากของการตั้งค่ายแห่งนี้ไม่น้อยไปกว่าค่ายรวมปราณที่ฮ่องกง เพียงแต่ว่าเยี่ยเทียนมองค่ายกลนี้แล้วไม่เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ทำ

เยี่ยเทียนนับจำนวนขั้นบันได พบว่าตั้งแต่วิหารแห่งดินสู่หอฟ้าเทียนถานจะต้องก้าวทั้งหมด 243 ขั้น แบ่งเป็นห้าระดับ ระดับที่หนึ่ง เก้าขั้น เรียกว่า “หมิงจิ่ว” ที่เหลืออีกสี่ระดับได้แก่ 72 63 54และ45ขั้น ล้วนเป็นจำนวนทวีคูณของเก้า เรียกว่า “อั้นจิ่ว”

ในสายตาของคนทั่วไป การออกแบบให้เป็น “เก้าห้าสูงสุด” หมายถึงตำแหน่งสูงสุดของเทพกสิกร แต่เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่บนนั้น กลับรู้สึกถึงการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้ามากกว่า

เมื่อมาถึงหน้ารูปปั้นเทพกสิกรแห่งหอฟ้าเทียนถาน แหงนมองรูปปั้นเทพกสิกร มีหัวเป็นวัว ตัวเป็นคน ตาปิดเล็กน้อย เรียบง่ายและทรงพลัง ราวกับกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับจักรวาล รูปปั้นนี้ไม่มีฐาน มันลอยขึ้นจากพื้น ศีรษะชิดฟ้า ร่างกายสวมด้วยเมฆหลากสี

“ค่ายกลห้าธาตุพลังจักรวาลไม่ได้ใช้บูชาเทพกสิกร แล้วใช้ทำอะไร ? ”

ครุ่นคิดไปมา เยี่ยเทียนแสดงสีหน้าไม่เข้าใจออกมา เพราะปราณวิเศษที่ส่งมาจากวิหารแห่งดิน ไม่ได้ใช้ที่หอฟ้าเทียนถาน แต่มันจะทะลุและทะยานขึ้นสู่ทางเดินบนภูเขา

อากาศในเดือนสิบเอ็ดเย็นยะเยือกกระจายไปทั่ว นักท่องเที่ยวส่วนมากมาถึงวิหารแห่งดินจะไม่เดินขึ้นไปอีก หอสักการะเทียนถานในตอนนี้มีแค่เยี่ยเทียนกับลูกศิษย์

“อาจารย์ ไปกันเถอะ ! ” โจวเซี่ยวเทียนเห็นอาจารย์ยืนนิ่งอยู่หน้าเทพกสิกร เขาจึงพูดออกมา ลมบนเขาแห่งนี้ค่อนข้างแรง เขากลัวว่าเยี่ยเทียนที่กำลังรักษาตัวอยู่จะทนไม่ไหว

“อืม เซี่ยวเทียน ทางขึ้นเขาสูงชัน ระวังตัวด้วยนะ” เยี่ยเทียนพยักหน้า ในเมื่อคิดไม่ออกงั้นก็ไม่คิด บางทีถ้าไปถึง “ตลาด” ความสงสัยทั้งหมดอาจคลี่คลาย

หอสักการะเทียนถานสร้างอยู่ด้านหน้าภูเขา ในภูเขามีขั้นบันใดที่ทอดไปถึงเชิงเขา ปราณวิเศษที่ควบแน่นอยู่ตีนเขาไม่กระจาย หากมองจากระยะไกล จะเหมือนก้อนเมฆสีขาว ทำให้เส้นทางเส้นนี้เหมือนถนนที่ทอดไปสู่สวรรค์

“หืม ? หายไปไหน ? ”

หลังจากเดินอยู่ในภูเขาเกือบ 500 เมตร เยี่ยเทียนข้ามไปอีกฝั่งของภูเขาแล้ว และเขาพบว่าปราณวิเศษตรงหน้าเบาบางราวกับหายไปเกือบหมด

“อาจารย์ครับ ของดีในนี้ไม่น้อยเลยนะครับ ! ” การรับรู้ของโจวเซี่ยวเทียนไม่เก่งเท่าเยี่ยเทียน ตอนนี้เขากำลังสนใจทิวทัศน์บนนี้

“เป็นสถานที่ที่ดีจริง ๆ !”

ความสนใจของเยี่ยเทียนเปลี่ยนเป็นภูเขาแทน หลังจากลูกศิษย์กล่าวแบบนั้น กลางเขาตรงนั้น มีลิงฝูงหนึ่งกำลังกระโดดไปมาอยู่บนต้นไม้ ระหว่างหน้าผาหินยังสามารถมองเห็นร่องรอยของสมุนไพรบางชนิดได้ลาง ๆ

ส่วนตีนเขาตรงนี้ ทิวทัศน์สวยมากเช่นกัน ที่นี่ล้อมรอบไปด้วยภูเขา ต้นไม้เขียวชอุ่ม น้ำตกไหลลงมาจากหน้าผา น้ำในทะเลสาบใสจนเห็นด้านล่าง และหินในทะเลทราบมีหินรูปทรงต่าง ๆ นานา

เสียดายตรงนี้ใกล้หมู่บ้านมู่อวี๋มากเกินไป ทำให้หลายจุดบนเขาแห่งนี้แสดงร่องรอยการจัดวางโดยฝีมือมนุษย์ ซึ่งเป็นได้แค่ภาพที่ไม่ประสบความสำเร็จในสายตาของเยี่ยทียน

หลังจากพักอยู่ที่เชิงเขาสักพัก เยี่ยเทียนและลูกศิษย์ก็ปีนขึ้นไปบนภูเขาตามทางแคบ มีบ้านชั้นเดียวอยู่ตรงทางลาดชันด้านหลังภูเขา

“อาจารย์ นั่นมันจุดท่องเที่ยวชนบท”

เที่ยงวันแล้ว โจวเซี่ยวเทียนมองป้ายตรงนั้นและพูดว่า “พวกเรากินข้าวเย็นค่อยเข้าป่ากันมั้ยครับ ? ”

“อืม เซี่ยวเทียน หลังจากเข้าป่าแล้ว อาจไม่สบายเท่าไหร่นะ นายเตรียมใจไว้ให้ดีล่ะ”

เยี่ยเทียนเห็นด้วย หากเป็นไปตามแผนที่ในหัวของเขา ระยะห่างของตลาดยังห่างอยู่ร้อยกว่ากิโลเมตร หากใช้แค่สองขาเดินไป คงต้องใช้เวลาหลายวันทีเดียว

“สองท่านนี้ จะเข้าป่าทั้ง ๆ ที่อากาศเป็นแบบนี้เหรอ ? อีกไม่กี่วันหิมะจะตกแล้วนะ ! ” ผู้ชายคนหนึ่งกำลังเด็ดผักป่าอยู่ในบ้าน พอเห็นเยี่ยเทียนกับลูกศิษย์เดินเข้ามาก็รีบต้อนรับ

“ได้ข่าวว่าเส้นทางในอาณาเขตแห่งเทพกสิกร คดเคี้ยวน่าอัศจรรย์มาก พวกเราเดินไปไม่ไกล ดูเสร็จก็ออกมาเลย”

เยี่ยเทียนทักทายจับมือกับคน ๆ นั้น หยิบบุหรี่ออกจากกระเป๋าและยื่นออกไป “พี่ชายพักที่นี่ เวลาออกไปข้างนอกคงไม่สะดวกใช่มั้ยครับ ? เครื่องปรุงต่าง ๆ นานาต้องซื้อจากข้างนอกหรือ ? ”

“ไม่เท่าไหร่ ซื้อครั้งหนึ่งใช้ได้เกือบครึ่งปี ฉันปลูกผักเอง ด้านล่างเลี้ยงหมูด้วย”

ชายคนนั้นยื่นมือรับบุหรี่ของเยี่ยเทียนมาดม ไม่ได้จุดแต่ทัดไว้ที่หูและพูดต่อ “อยู่จนชินแล้ว เวลาอยู่ตีนดอยรู้สึกไม่สบายยังไงไม่รู้ นี่ก็เพิ่งกลับมา”

ที่จริงรอบนอกของอาณาเขตแห่งเทพกสิกร มีหมู่บ้านล้อมรอบมากมาย แต่ชาวบ้านย้ายออกจากภูเขาไปเกือบหมด มีบ้างเล็กน้อยที่ยังอาศัยอยู่ที่นี่ ก็เหมือนกับชายคนนี้ที่ซ่อมแซมบ้านเล็กน้อย และทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชนบท

“แม่ มีแขกมา ทำกับข้าวหน่อย หุงข้าวด้วย ! ”

ชายคนนั้นหันไปตะโกน ผู้หญิงอายุราว 40 กว่าเดินออกมาจากห้องและยิ้มให้กับเยี่ยเทียนกับลูกศิษย์ หญิงคนนั้นเก็บผักป่าที่พื้นขึ้นมาและเข้าไปในห้อง

“พี่ชาย ได้ข่าวว่าในป่าแห่งนี้มีคนป่า ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงมั้ยครับ ? ” เยี่ยเทียนแสดงความสงสัยออกมาและถามชายคนนั้นออกไป