ตอนที่ 1035 มอบตัวเองเป็นของขวัญ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ในตอนนั้นจิ่วเยี่ยได้เอาปิ่นวิญญาณจื่อเฟิ้งของนางไป ท่านอาเล็กโกรธมาก ของสิ่งนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่

สุดท้ายจิ่วเยี่ยก็กล่าวปฏิเสธ “เว้นเสียจากของสิ่งนี้ ซีต้องการสิ่งใดข้าให้ได้ทุกอย่าง”

มู่เฉียนซีกล่าวถาม “ตกลงปิ่นวิญญาณจื่อเฟิ้งมีประโยชน์อันใดกันแน่?”

“เมื่อถึงเวลาซีก็จะรู้เอง”

“ไม่คืนให้จริง ๆ เหรอ?” มู่เฉียนซีขมวดคิ้วพลางกล่าว

“อืม!”

“ช่างเถอะ ข้าไม่อยากจะฝืนใจเจ้า!”

ถึงแม้ว่าปิ่นปักผมนั้นจะมีนัยความสำคัญไม่ธรรมดา แต่จิ่วเยี่ยคงไม่ใช้ของสิ่งนั้นมาทำร้ายนางเป็นแน่

จิ่วเยี่ยเอาปิ่นปักผมสีม่วงเข้มอันหนึ่งออกมา คุณภาพวัสดุของปิ่นอันนี้เหมือนกับปิ่นวิญญาณจื่อเฟิ้งมาก

ทว่า บนปิ่นไม่ได้สลักด้วยลวดลายดอกลำโพง แต่เป็นปีกของหงส์ที่สวยงามราวกับมีชีวิต

“ให้เจ้า!” ปิ่นอันนี้ดูละเอียดประณีตและงดงาม ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีก็ล้วนแต่เหมาะทั้งสิ้น

มู่เฉียนซีกล่าว “นี่เป็นของขวัญวันเกิดที่เจ้าให้ข้าเหรอ?”

“นี่เป็นสิ่งที่ข้าชดเชยให้เจ้า” จิ่วเยี่ยตอบ

เขามองมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “นับตั้งแต่ซีเริ่มบรรลุนิติภาวะ ในทุก ๆ ปี ของขวัญที่ข้าจะมอบให้แก่ซีก็คือตัวข้า ข้าคิดว่านี่ดีที่สุดแล้ว”

มุมปากของมู่เฉียนซีกระตุกขึ้นเล็กน้อย เจ้าหมอนี่หยุดหลงตัวเองสักทีจะได้หรือไม่!

“ของขวัญวันเกิดที่ดีมากเช่นนี้ข้ารับไว้ไม่ได้ ข้าปฏิเสธ ปฏิเสธ”

จิ่วเยี่ยอุ้มมู่เฉียนซีขึ้นและกล่าวอย่างใช้อำนาจบาตรใหญ่ว่า “ของขวัญที่ข้ามอบให้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถปฏิเสธได้”

เมื่อเข้ามาถึงในห้อง มู่เฉียนซีก็แทบจะบ้าคลั่งขึ้น

“หวงจิ่วเยี่ย กลางคืนเป็นเวลาของข้า และตอนนี้ก็กลางคืนแล้ว”

“ครบหนึ่งวันแล้ว และวันเกิดซีก็ผ่านมาแล้วด้วย ฉะนั้น…”

มู่เฉียนซีกระวนกระวายใจขึ้น “เจ้า นี่เจ้าตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ อือ…”

ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือนางต้องทุกข์ทรมานอีกทั้งคืน จากนั้นมู่เฉียนซีก็นอนซบอกจิ่วเยี่ยและหลับไป

หลังจากที่มู่เฉียนซีหลับไป จิ่วเยี่ยก็ลืมตาขึ้นมา

ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกคู่นั้นในตอนนี้พลันเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินดุจดั่งมหาสมุทรลึก เปลวไฟลุกโชนอยู่ภายในดวงตาคู่นั้น คำสาปได้หลุดออกจากการยับยั้งแล้ว

เมื่อมองดูสตรีที่อยู่ตรงหน้า เขาก็อยากจะครอบครองนางอย่างสมบูรณ์ อยากจะกลืนกินนางไม่ให้เหลือแม้แต่กระดูก

มู่เฉียนซีหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ไม่ได้มีการป้องกันแม้แต่น้อย แต่สุ่ยจิงอิ๋งกลับเตรียมป้องกันอยู่เสมอสำหรับหวงจิ่วเยี่ยผู้ที่อันตรายมากผู้นี้

เขาก้มหน้าลงจูบหน้าผากมู่เฉียนซีเบา ๆ ครั้งหนึ่ง

เขากล่าวเสียงขรึมว่า “สุ่ยจิงอิ๋ง เจ้าอดใจรอที่จะลงมือกับข้าไม่ได้แล้วสินะ เช่นนั้นก็ลงมือเถอะ!”

แสงสีฟ้าได้ห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ สุ่ยจิงอิ๋งกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “จิ่วเยี่ย เจ้าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าได้จินตนาการเอาไว้มาก ลำบากเจ้าแล้ว”

จิ่วเยี่ยกล่าว “หากสามารถอยู่ข้างกายซีได้ ข้าก็ไม่รู้จักคำว่าลำบาก”

ครั้นแล้วร่างชุดดำอันเพรียวบางก็ได้อันตรธานหายไปจากมู่เฉียนซี

มู่เฉียนซีที่กำลังหลับฝันอยู่ในตอนนี้ นางได้ยื่นมืออกไปคว้ากับบางอย่าง ทว่า ก็ไม่สามารถคว้าเอาไว้ได้ นางที่นอนหลับอยู่ก็ได้ขมวดคิ้วขึ้น

เช้าวันต่อมา แสงตะวันได้สาดส่องมากระทบกับร่างของนาง มู่เฉียนซีลืมตาขึ้นมาอย่างพร่ามัว และพบว่าภายในห้องมีเพียงแค่นางอยู่แต่เพียงผู้เดียว

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเมื่อคืนนั้นไม่ได้ผิดพลาดแต่อย่างใด จิ่วเยี่ยกลับไปแล้วจริง ๆ

เขาจำเป็นต้องรีบหาที่อยู่ที่เผ่ามังกรให้เจอโดยเร็วที่สุด ที่เขามาในครั้งนี้ก็เพื่อมาเฉลิมฉลองวันเกิดให้กับนาง ตอนนี้วันเกิดนางก็ได้ผ่านไปแล้ว เขาจึงได้กลับไป

ร่างของนางนั้นอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเป็นที่สุด มู่เฉียนนึกถึงพฤติกรรมการกระทำชั่ว ๆ ของเขาขึ้น และได้พึมพำกับตัวเองว่า “กลับไปเร็วได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี!”

จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้หลับไปอีกครั้ง

เย่เฉินกับเซียวโม่รีบเดินทางกลับมาตลอดทั้งคืน เดิมทีอยากจะมารายงานสถานการณ์กับมู่เฉียนซี แต่เมื่อรู้ว่ามู่เฉียนซีกำลังพักผ่อนอยู่ ก็ไม่กล้าที่จะรบกวนนาง

“เจ้าเด็กเหลือขอ!” สาเหตุที่มู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาก็เพราะถูกเสียงอันโกรธเกรี้ยวเสียงหนึ่งตะโกนรบกวน

พลังอำนาจของมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเจ็ดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งเมืองเย่เซี่ย เซียวโม่แทบอยากจะร่ำไห้แล้ว

“ซวยแล้ว ท่านพ่อของข้ามา!”

มีแขกมาเช่นนี้ แน่นอนว่ามู่เฉียนซีก็หลับต่อไม่ลง

ท่านพ่อของเซียวโม่เป็นหัวหน้าตำหนักเซียวอวิ๋น สวมชุดคลุมยาวสีแดงดุจดั่งเปลวไฟ ไว้หนวดเคราดำ ดูมีเสน่ห์และเป็นผู้ใหญ่มาก

ทันทีที่ท่านพ่อของเซียวโม่เห็นเย่เฉินและมู่เฉียนซีเขาก็กล่าวว่า “เจ้าเด็กเหลือขอลูกของข้าได้สร้างความวุ่นวายให้พวกเจ้าไม่น้อย อีกอย่าง…”

“นี่เป็นสิ่งของแทนคำขอบคุณ เป็นสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เจ้าอย่าได้รังเกียจเลย!”

สมุนไพรวิญญาณระดับปฐพี จะมีผู้ใดรังเกียจได้เล่า

หัวหน้าตำหนักเซียวอวิ๋นช่างใจกว้างยิ่งนัก

ท่านพ่อเซียวกล่าว “เจ้าเด็กเหลือขอ รีบกล่าวลาสหายของเจ้าแล้วกลับไปกับข้าได้แล้ว”

เซียวโม่ดึงชายเสื้อของท่านพ่อตนเองพลางกล่าวว่า “ท่านพ่อ กว่าข้าจะได้สองคนนี้มาเป็นสหายมันไม่ง่ายเลยนะขอรับ ท่านพ่อให้ข้าอยู่ต่ออีกสักหน่อยเถอะขอรับ!”

ท่านพ่อเซียวกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้ายังมีหน้าอยู่ข้างนอกอีกหรือ เจ้าฝึกหลอมอาวุธมาเป็นเวลาสามปีแล้วแต่ฝีมือยังไม่ก้าวหน้าสักที เจ้ายังมีหน้าเที่ยวเล่นอีกอย่างนั้นเหรอ!”

เย่เฉินกล่าว “ต่อไปข้าจะต้องพัฒนาทุ่งรกร้างแห่งนี้ ยังมีภารกิจที่ต้องจัดการอีกมากมาย เจ้าอาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายได้ เจ้ากลับไปกับท่านพ่อเจ้าเถอะ มีเวลาว่างก็ค่อยมาเที่ยว”

มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าก็วางแผนว่าจะไปฝึกฝนประสบการณ์ข้างนอกเพียงลำพัง ฉะนั้น ข้าว่าเจ้ากลับบ้านไปเถอะ!”

นึกไม่ถึงว่าสหายทั้งสองคนของเขาจะไล่เขาเช่นนี้ เซียวโม่อยากร้องไห้ ช่างไร้ความเมตตาปรานีเกินไปแล้ว

เขามองมู่เฉียนซีพลางกล่าว “ฝึกประสบการณ์เหรอ! ข้าจะไปกับเจ้าด้วย!”

“ไปสองคน เป้าหมายใหญ่เกินไป ข้าชอบไปคนเดียวมากกว่า”

คาดว่าตอนนี้มู่หรูเหยียนคงจะหาโอกาสเอาชีวิตนางอยู่ตลอดเวลา เรื่องที่เซียวโม่กับนางรู้จักกันมู่หรูเหยียนก็รู้

หากเจ้าหมอนี่ไปด้วยเขาต้องพลอยซวยไปด้วยเป็นแน่

เซียวโม่ก็ไม่ก่อความวุ่นวายแล้ว เขาเองก็รู้สึกว่าฝีมือในการหลอมอาวุธของเขานั้นต้องพัฒนาขึ้นให้ดีกว่าเดิม

เขากล่าว “ท่านพ่อ ข้าจะกลับไปกับท่าน!”

ท่านพ่อเซียวกล่าวด้วยความดีอกดีใจว่า “เช่นนี้สิถูก!”

ในขณะที่หัวหน้าตำหนักเซียวอวิ๋นจะจากไป มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านหัวหน้าตำหนักเซียว ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะขอคำแนะนำจากท่าน”

หัวหน้าตำหนักเซียวยิ้มพลางกล่าว “สาวน้อย เรียกข้าว่าท่านลุงเซียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจเช่นนั้นก็ได้!”

มู่เฉียนซีกล่าวถาม “ไม่ทราบว่า ท่านลุงพอจะรู้เรื่องกระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณที่เป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์หรือไม่”

หัวหน้าตำหนักหนึ่งที่เป็นถึงกองกำลังระดับสองออกมาตามหาบุตรชายตนด้วยตนเองเช่นนี้ แสดงว่าเขาเอาใจใส่บุตรชายของตนเองมาก

ถึงแม้ว่าเพิ่งจะเจอหน้ากัน แต่พฤติกรรมของเขากับเซียวโม่นั้นไม่ได้ต่างกัน ทั้งสองล้วนแต่มีไมตรีจิตไม่ใช่คนที่มีแผนการใดอยู่ในใจ

ในฐานะที่ตำหนักเซียวอวิ๋นเป็นกองกำลังหลอมอาวุธอันดับหนึ่งของแดนตะวันออก พวกเขาคงจะเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์

หัวหน้าตำหนักเซียวได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจผงะไปครู่หนึ่ง “นึกไม่ถึงเลยว่าสาวน้อยอายุน้อยเช่นนี้อย่างเจ้าก็มีความสนใจในกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ด้วย แต่ว่า มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพในตำนานเช่นนั้น หากเจ้าต้องการจะครอบครองแล้วละก็ ด้วยพลังความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้คงยังไม่พอ”

“อีกอย่าง ตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา ตำหนักตงจี๋ได้ทุ่มเททรัพยากรไปมากมายเพื่อตามหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ในดินแดนสี่ทิศ พวกเขาปรารถนาที่จะคว้ากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาให้ได้ หากเจ้ามีความคิดสนใจกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้เบาะแสมา มันก็ทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายได้”

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “ขอบคุณท่านลุงเซียวที่เตือนข้า ในเมื่อท่านลุงเซียวกล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นก็คงจะไม่ได้เบาะแสอันใดแล้ว ข้าก็คงต้องล้มเลิกความคิด”

หัวหน้าตำหนักเซียว มองนางพลางกล่าว “หากเจ้าคิดเช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าพาเจ้าเด็กคนนี้กลับก่อนก็แล้วกัน หากมีเวลาก็มาเที่ยวที่ตำหนักเซียวอวิ๋นได้”

“ใช่! ต้องมาให้ได้นะ!” เซียวโม่กล่าวด้วยความตื่นเต้น

สุดท้ายเขาก็ถูกท่านพ่อของตนเองลากตัวไป และอันตรธานหายไป

เย่เฉินกล่าวถามว่า “นายท่าน ท่านหัวหน้าตำหนักไม่มีเบาะแสจริง ๆ หรือขอรับ?”

มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านลุงเซียวเป็นผู้ที่เก็บซ่อนอารมณ์และความรู้สึกไม่ได้จริง ๆ การแสดงออกของเขาแสดงให้เห็นว่าเขารู้เรื่องบางอย่างมา แม้แต่เจ้าก็ยังดูออก ข้าเองก็ดูออกเช่นกัน”

เย่เฉินกล่าว “แล้วเหตุใดนายท่านถึงไม่…”