ตอนที่ 2251 ออกเดินทางไปยังเผ่าวิญญาณ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“ดูเหมือนว่าหลิงอ๋องท่านนี้ช่างดูลึกลับเสียจริง! พี่มั่วพอจะรู้หรือไม่ว่าบรรพชนสือซินนั้นทำข้อตกลงอะไรกันเอาไว้ ถึงขั้นที่ว่ากล้าจะเอายันต์ซานชิงเหลยเซียวสมบัติลับชิ้นนี้มาแลกทั้งหมด” หานลี่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยถามถึงเรื่องที่เป็นกังวลที่สุด

“น่าละอายใจเสียจริง! เรื่องอื่นชายชราล้วนแต่รู้ทั้งสิ้น มีเพียงแค่ข้อความในข้อตกลงนี้เท่านั้นที่ข้าไม่รู้จริงๆ เพียงรู้มาคร่าวๆ ว่า หลิงอ๋องต้องการให้บรรพชนสือซินทำเรื่องอะไรบางอย่าง อันตรายเป็นอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ใช้ยันต์ซานชิงเหลยเซียวนี้มาเป็นรางวัล” มั่วเจี่ยนหลีตอบออกมาหลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

“ทำเรื่องบางเรื่อง?” หานลี่และเอ๋าเซียวต่างก็พากันแสดงท่าทางประหลาดใจออกมา

“คงจะไม่ผิดนัก แต่ว่าสำหรับรายละเอียดนั้นกลับไม่ชัดเจนจริงๆ ที่จริงแล้วหากว่าไม่ใช่ชายชราครั้งนั้นบาดเจ็บในแดนมารจนสูญเสียพลังลมปราณไปเล็กน้อย บวกกับมีใครบางคนพบกับหลิงอ๋องแล้วเลินเล่อจนเกินไป เกรงว่าวันนั้นเมื่อกลับมาจากแดนมารแล้ว ข้าจะกลับไปเผ่าวิญญาณอีกครั้ง” มั่วเจี่ยนหลีเอ่ยยิ้มบิดๆ เบี้ยวๆ ออกมา

“พี่มั่ว ทำไมท่านถึงไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับข้ามาก่อน หากว่าพวกเราสองคนร่วมมือกันแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธีเอายันต์ซานชิงเหลยเซียวนี้มาจากหลิงอ๋องได้” บรรพชนเอ๋าเซียวเอ่ยออกมาพร้อมกับขมวดคิ้ว

“บอกเรื่องนี้กับนักพรตเอ๋ามีประโยชน์อันใดกัน เจ้าเองก็สูญเสียพลังลมปราณไปไม่น้อยในแดนมาร อีกทั้งไม่นานก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับฝ่าด่านเคราะห์ หากเป็นเพราะว่าเรื่องนี้บาดเจ็บขึ้นมาอีก เกรงว่าต่อให้ได้รับยันต์นี้มาแล้ว ก็ได้ไม่คุ้มเสีย แต่ทว่าหากเปลี่ยนเป็นนักพรตหานแล้ว ก็ต่างกันแล้ว หากว่าข้าไม่ได้มองพลาดไปแล้ว กลิ่นอายของนักพรตหานเหมือนจะหยั่งลึกมากกว่าตอนก่อนที่เข้าสู่แดนมารเสียอีก หากว่าสามารถไปกับชายชราได้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสอยู่หลายส่วนที่จะได้ยันต์ซานชิงเหลยเซียวมาได้” หลังจากที่ท่าทางของมั่วเจี่ยนหลีเปลี่ยนไปมาแล้ว ในที่สุดก็เอ่ยแผนการของตนเองออกมา

“อะไรนะ พี่มั่วตั้งใจที่จะไปเผ่าวิญญาณกับนักพรตหานหรือ!” ใบหน้าของบรรพชนเอ๋าเซี่ยวค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ไม่ผิด ในใจข้ามีความหมายเช่นนี้ ประการแรก นักพรตหานกับข้าร่วมมือกันแล้ว คาดว่าหลิงอ๋องผู้นั้นต่อให้อย่างไรแล้วก็คงจะไม่พบพวกเราทั้งสองเผ่า และก็คงไม่กล้าที่จะคิดมาดร้าย เกินกว่าครึ่งมักจะทำข้อตกลงกับข้าโดยตรง ประการที่สอง ต่อให้ข้าไม่ได้ไปเผ่าวิญญาณในตอนนี้ ภายหน้าเกรงว่าอย่างไรเสียก็ต้องไป โดยเฉพาะด่านเคราะห์ของข้าเองก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ฝ่าด่านเคราะห์ในคราวหน้าของชายชราเองก็ไม่ค่อยเชื่อมั่นนัก ยันต์ซานชิงเหลยเซียวนี้ ข้าเองก็ต้องการมันเช่นกัน อีกทั้งยันต์ซานชิงเหลยเซียวนี้สำหรับนักพรตหานแล้ว ก็มีประโยชน์อย่างยิ่งเช่นกัน ไม่แน่ว่าด่านเคราะห์ในคราวหน้า อาจจะช่วยคุ้มครองชีวิตเอาไว้ได้” มั่วเจี่ยนหลีเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ โดยไม่ได้ปิดบังความต้องการของตน

บรรพชนเอ๋าเซี่ยวใบหน้าเปลี่ยนไปมาไม่แน่นอน และไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา

หานลี่เองก็จมอยู่ในความคิดขึ้นมา

“ผู้อาวุโสมั่ว! หากว่ายันต์ซานชิงเหลยเซียวนี้ล้ำค่าเช่นนี้ เกรงว่าเรื่องที่หลิงอ๋องให้ทำนั้นจะต้องอันตรายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และอาจจะทำให้ถึงขั้นแตกดับไปก็เป็นได้” อิ๋นเย่ว์เมื่อฟังมาจนถึงตอนนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาสองสามประโยค

“ทำข้อตกลงกับหลิงอ๋องนั้น แน่นอนว่าย่อมมีอันตราย แต่ว่าข้าที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเมื่อก้าวออกไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ง่ายดาย แน่นอนว่า หากว่าอันตรายมากจนเกินไป นักพรตหานไม่มีความเสี่ยงจากด่านเคราะห์แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรับปากอะไรกับหลิงอ๋อง ชายชราเพียงแค่ต้องการให้นักพรตหานเดินทางไปด้วยกันก็เพียงพอแล้ว” มั่วเจี่ยนหลีดูเหมือนว่ามีการไตร่ตรองถึงเรื่องนี้มาแต่เนิ่นๆ แล้ว จึงเอ่ยออกมาโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก

อิ๋นเย่ว์เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว ก็มองไปยังหานลี่ แล้วก็มองไปทางบรรพชนเอ๋าเซี่ยว สีหน้าเปลี่ยนไปมาอย่างซับซ้อน ชั่วขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรออกมาดี

“หากว่าได้รับยันต์ซานชิงเหลยเซียวใบหนึ่ง โอกาสการรอดจากการฝ่าด่านเคราะห์ของนักพรตเอ๋าเซี่ยวจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่” หานลี่เอ่ยถามช้าๆ

“มากเท่าไหร่นั้นไม่อาจเอ่ยได้ แต่ว่าหนึ่งส่วนครึ่งนั้นมีแน่นอน” มั่วเจี่ยนหลีเอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึม

บรรพชนเอ๋าเซียวเงียบเสียงไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา แสดงออกมาว่าเห็นด้วยกับวิธีการนี้

“หนึ่งส่วนครึ่ง โอกาสนี้ไม่น้อยจริงๆ นักพรตเอ๋าเซี่ยว ท่านหากว่าจะยืดเวลาการเกิดด่านเคราะห์ครั้งต่อไปอีก คิดว่าจะยืดไปได้นานสักเท่าไหร่?” หานลี่หันไปเอ่ยถามบรรพชนเอ๋าเซียวอีกครั้ง

“มากสุดได้แค่อีกสิบปี หากว่าให้นานกว่านี้ไปอีกแล้วละก็ ชายชราก็ไม่มีวิธีที่จะควบคุมมันเอาไว้ได้อีกแล้ว” ใบหน้าของบรรพชนเอ๋าเซี่ยวกระตุกสั่นไหวออกมา ถึงได้เอ่ยตอบออกมาได้

“เวลาสิบปี หากว่าเอ่ยเช่นนี้แล้ว ก็ยังพอจะมีเวลาเตรียมพร้อมอยู่บ้าง” ดวงตาของหานลี่กะพริบล็กน้อย ราวกับว่าในใจนั้นได้ตัดสินใจลงไปแล้ว

“นักพรตหาน ความหมายของเจ้าก็คือ…” มั่วเจี่ยนหลีอดไม่ได้ที่จะถามออกมา

“ในเมื่อรู้ว่ามีวิธีที่จะช่วยเหลือนักพรตเอ๋าเซี่ยวแล้ว อีกทั้งเรื่องนี้ ยังมีประโยชน์ต่อนักพรตมั่วและข้าเป็นอย่างมากแล้ว หานม่อแน่นอนว่าจะไม่ยอมปล่อยมันไปแน่ พี่มั่ว รับเอาไว้!” หานลี่เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม จู่ๆ แขนเสื้อก็สั่นไหวขึ้นมา ลำแสงสีขาวลอยพุ่งตรงไปยังมั่วเจี่ยนหลี มั่วเจี่ยนหลีก็ยกมือขึ้นคว้ามันเอาไว้โดยที่ไม่รู้ตัว นำลำแสงสีขาวจับเอาไว้กลางฝ่ามือ เมื่อนิ้วมือทั้งห้าแยกออกจากกัน เผยขวดเล็กสีขาวนวลออกมา อีกทั้งยังมีกลิ่นยาจางๆ ลอยออกมา

“นี่คือ…” มั่วเจี่ยนหลีสองตาหรี่ลง แสดงความประหลาดใจออกมา

“นี่คือยาลูกกลอนยี่หร่า ส่งผลดีต่อผู้ที่สูญเสียพลังลมปราณ พี่มั่วเพียงแต่ใช้ยาลูกกลอนนี้ จากนั้นก็กักตนบำเพ็ญเพียรอีกสักหนึ่งปีคิดว่าคงจะฟื้นตัวจากที่เสียหายไปได้จนเกือบเท่าเดิมแล้ว ถึงเวลานั้นเมื่อไปพบกับ

หลิงอ๋องท่านนั้นแล้ว คาดว่าคงจะมีความมั่นใจมากขึ้นอยู่หลายส่วน” หานลี่เอ่ยออกมาเบาๆ

“ยาลูกกลอนนี้ถึงกับมีผลวิเศษเช่นนี้เชียว ถ้าเช่นนั้นชายชราก็ขอไม่เกรงใจแล้ว” มั่วเจี่ยนหลีเมื่อได้ยินประโยคนี้เข้า แน่นอนว่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ในตอนที่เปิดขวดยาออกมาแล้วใช้จิตสัมผัสตรวจสอบแล้ว ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มแล้วจึงรับมันไว้

จากอาการบาดเจ็บเดิมของเขา หากว่าใช้ยาตามธรรมดาแล้ว เวลาฟื้นฟูคงจะใช้มากกว่านี้มากหลายเท่าตัวนัก

บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเมื่อเห็นฉากนี้เข้า สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

หานลี่หันกลับไปแล้วเอ่ยกับบรรพชนเผ่ามารท่านนี้ออกมาว่า

นักพรตเอ๋า หากว่าข้าไม่ได้มองผิดไป ท่านนอกจากว่าลมปราณจะเสียหายไปมากกว่านักพรตมั่วแล้ว ข้าเกรงว่าจิตวิญญาณของท่านก็มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง”

“เจ้าดูออกแล้วอย่างนั้นหรือ! ข้าในตอนที่ถูกผนึกอยู่นั้น เคยถูกสัตว์ประหลาดร้ายกาจใช้เคล็ดวิชาจิตสัมผัสลักลอบโจมตีมาก่อน จิตวิญญาณมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น หากว่าต้องการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่แล้วละก็ เกรงว่าคงต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก อีกทั้งสามารถทำมันก่อนด่านเคราะห์ได้หรือไม่ ชายชราเองก็ไม่ได้มีความมั่นใจนัก หากว่าไม่มีวิธีที่จะซ่อมแซมจิตวิญญาณให้เป็นดั่งเดิมได้แล้ว ข้าเกรงว่าแม้แต่โอกาสเพียงแค่ครึ่งส่วนที่จะผ่านด่านเคราะห์ได้นั้นก็ไม่มีเสียแล้ว” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเงียบไปครู่หนึ่ง จึงถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมา

“ท่านปู่ ท่านพูดจริงอย่างนั้นหรือ?” อิ๋นเย่ว์ใบหน้ากลับไปซีดเซียวอีกครั้ง

“มาถึงขั้นนี้แล้ว ข้ายังจำต้องปิดบังมันอีกอย่างนั้นหรือ?” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเอ่ยออกมาอย่างทำอะไรไม่ได้แล้ว

“พี่หาน ท่านยังมี…” อิ๋นเย่ว์เมื่อได้ยินคำพูดนั้นเข้า ในใจก็เป็นกังวลขึ้นมา รีบร้อนหันไปทางหานลี่อย่างต้องการจะเอ่ยอะไรออกมา

“วางใจได้ ข้าในเมื่อถามออกมาเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องมียาที่สามารถรักษาอาการจิตวิญญาณเสียหายเช่นนี้ได้” หานลี่โบกมือแก่อิ๋นเย่ว์แล้วเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มจางๆ มือข้างหนึ่งพลิกกลับมา ขวดยาหลากสีนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่บนฝ่ามือ แล้วโยนออกไปให้บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเช่นกัน

“ขอบคุณพี่หานมาก ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านมีพลังมหาศาล จะต้องมีหนทางเป็นแน่” อิ๋นเย่ว์ยินดีขึ้นมา มองไปยังหานลี่แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง

ดวงตาของบรรพชนเอ๋าเซี่ยวเป็นประกายขึ้นมา ม้วนแขนเสื้อขึ้นมาแล้วรับขวดยาพวกนี้เอาไว้ และหลังจากที่ตรวจสอบแล้วเช่นกันก็ร้องขอบคุณออกมาสองสามครั้งด้วยความประหลาดใจ

“ฮาฮา ตอนนี้ดูเหมือนว่า พวกเราสองคนคงจะต้องรับบุญคุณจากเม็ดยาของนักพรตหานเสียแล้ว!” มั่วเจี่ยนหลีเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ก็ยินดีขึ้นมาอย่างมากกว่าปกติ

บรรพชนเอ๋าเซี่ยวเองก็หัวเราะออกมาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“สองท่านเกรงใจกันเกินไปแล้ว ปีนั้นที่หานม่อยังไม่บรรลุนั้น ก็ได้รับการดูแลจากนักพรตทั้งสอง นี้เป็นพียงแค่การตอบแทนน้ำใจเล็กๆ น้อยในปีนั้นเท่านั้น รออีกหนึ่งปีผ่านไป ลมปราณของพี่มั่วฟื้นฟูกลับมาแล้ว พวกเราสองคนก็จะออกเดินทางไปยังเผ่าวิญญาณ แล้วพยายามเอายันต์ซานชิงเหลยเซียวกลับมาสักหลายใบ ส่วนนักพรตเอ๋าเซี่ยว ก็อยู่ภายในเผ่าพักฟื้นร่างกายให้ดี เตรียมพร้อมสำหรับการฝ่าด่านเคราะห์ให้มาก พวกเราสองคนเมื่อได้ของมาแล้ว จะเร่งรีบกลับมายังเผ่าในทันที ไม่ทำให้เรื่องใหญ่อย่างการฝ่าด่านเคราะห์ของท่านนักพรตเสียหายแน่” หานลี่เอ่ยออกไปอย่างตรงไปตรงมา

“น้ำใจของทั้งสองท่าน หานม่อจะจดจำเอาไว้ในใจ แต่ว่าถ้าหากเรื่องมันไม่อาจเป็นไปได้แล้ว ทั้งสองท่านก็อย่าได้ฝืนใจจนเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พบเข้ากับเรื่องไม่คาดฝันเข้า ตอนนี้ทั้งสองเผ่าของพวกเรามีเพียงพวกเราสามคนเท่านั้นที่สำเร็จอยู่ในขั้นมหายาน ไม่ว่าผู้ใดเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา สำหรับเผ่าแล้วต่างก็เป็นความสูญเสียที่ยากจะทดแทนได้ ต่อให้ชายชราจะได้รับยันต์ซานชิงเหลยเซียวมาแล้ว ความหวังที่จะรอดพ้นได้จากด่านเคราะห์นั้นก็ไม่มากนัก ไม่คุ้มค่าที่จะไปเผชิญกับอันตรายถึงเพียงนี้” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวถอนหายใจออกมา ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นมา สองมือกำหมัดแน่นออกไปคำนับให้กับหานลี่และมั่วเจี่ยนหลี

หานลี่แน่นอนรีบลุกขึ้นมาแล้วคำนับกลับ

ส่วนมั่วเจี่ยนหลีนั้นนั่งนิ่งไม่ไหวติงถึงกับหาวออกมา แล้วเอ่ยเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มออกมา

“ฮ่า…ฮ่า ชายชราไม่ได้ทำเพื่อเจ้า หากว่าในมือของหลิงอ๋องไม่ได้มียันต์ลับนั้นเพียงแค่ใบเดียวแล้ว ข้าคงจะไม่มีทางไปหรอก”

“ด้วยความสัมพันธ์นับหมื่นปีของเจ้าและข้าแล้ว ประโยคนี้เอ่ยออกมาจากใจจริงหรือไม่ หานม่อยังจะมองไม่ออกอีกหรือ!” บรรพชนเอ๋าเซี่ยวกลับถอนหายใจออกมา ความรู้สึกขอบคุณในน้ำเสียงไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย

มั่วเจี่ยนหลีตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มออกมาโดยไม่เอ่ยอันใด

ตอนนี้มาคิดๆ ดูแล้ว ในตอนต้นที่นักพรตมั่วเอ่ยมาว่าอย่าให้ข้าน้อยจากเผ่าไป กว่าครึ่งนั้นเพราต้องการที่นำเข้ามาในเรื่องนี้ ที่เอ่ยออกมานั้นล้วนแต่ไม่จริงใจเอาเสียเลย!” หานลี่เมื่อเห็นเข้า ก็เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม

คราวนี้ มั่วเจี่ยนหลีใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา เผยความเขินอายออกมา

อิ๋นเย่ว์ที่ยืนอยู่ด้านข้างเมื่อเห็นเข้า ในใจก็ผ่อนคลายลง มุมปากค่อยๆ กระตุกขึ้นมา

หากพวกหานลี่สองคนสามารถนำยันต์ซานชิงเหลยเซียวกลับมาได้ ปู่ของนางก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสฝ่าด่านเคราะห์ในครั้งหน้าได้สำเร็จ แน่นอนว่าทำให้นางเกิดความหวังขึ้นมาในใจ

ในเวลาต่อมา ทุกคนก็เปลี่ยนหัวข้อการสนทนา พูดคุยกันถึงเรื่องการที่เกิดขึ้นใหม่ของทั้งสองเผ่า

จากคำพูดของทั้งสองคนแล้ว หานลี่ก็ได้รู้ว่ามนุษย์และมารสองเผ่านั้นเป็นเพราะเผ่าปีศาจเข้ามาทำให้เกิดความสูญเสีย และจากความพยายามหลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดก็ฟื้นฟูมาได้พอประมาณแล้ว

ในช่วงระยะเวลานี้ ทั้งสองเผ่าก็มีลูกศิษย์ที่มีคุณสมบัติอันน่าทึ่งออกมา ในนั้นมีหลายคนที่มีพรสวรรค์ แม้กระทั่งมหายานทั้งสองท่านก็ยังเคยได้ยินชื่อมาก่อน

หานลี่เมื่อได้ยินเรื่องเหล่านี้ และแน่นอนเขาย่อมสนใจที่จะสอบถามเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสี่คนนั้นจึงอยู่ในห้องโถงนั้นราวครึ่งค่อนวัน ถึงได้แยกย้ายกันอย่างมีความสุข

เมื่อถึงตอนเย็น หานลี่อยู่ในถ้ำพำนักบนเกาะศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่น พบกับไห่ต้าเซ่า ฉีหลิงจื่อและบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย

และเมื่อสายตาของหานลี่กวาดไปยังกายของเหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะเผยความพึ่งพอใจออกมาเต็มใบหน้า แต่เมื่อสายตาของเขาสบเข้ากับไป๋กั่วเอ๋อร์ลูกศิษย์ที่มีอายุน้อยที่สุด ใบหน้าก็อดไม่ได้ที่จะเผยความประหลาดใจออกมา