บทที่ 1591 ของขวัญจากตึกศาลาสัตยพรต

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ชีเจวี๋ยเข้าใจกระจ่างในทันที “เจียงอีอีก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด ที่จะพิสูจน์ว่าพวกเรายังไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก แต่พวกเขาก็จะสงสัยน่ะสิว่าทำไมพวกเราต้องส่งตัวไปให้หนิวโหย่วเต๋อ”

เฉาหม่านยิ้มพร้อมอธิบายว่า “นี่ก็คือจุดที่ร้ายกาจของนายท่าน ตอนนี้ขอเพียงมีตาก็ล้วนมองออกว่าตระกูลโค่วกับตระกูลเซี่ยโห้วทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกันหลังม่าน ตระกูลโค่วช่วยสนับสนุนให้ราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาท ตระกูลเซี่ยโห้วช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อทีมียืนในตลาดผี ส่วนเจียงอีอีต่อให้ตายก็ไม่ยอมรับสารภาพ การที่พวกเราส่งคนให้หนิวโหย่วเต๋อก็ทำความเข้าใจได้ง่ายมาก ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือทำตามเจตนาของตระกูลโค่ว ต้องช่วยให้หนิวโหย่วเต๋อสร้างผลงานที่ตลาดผี หนิวโหย่วเต๋อจับเจียงอีอีได้ไม่ถือว่าสร้างผลงานเหรอเหรอ? จากนั้นฝั่งราชินีสวรรค์ก็จะมีการเคลื่อนไหว สร้างผลงานแล้วได้รับรางวัลไง พอทุกคนได้เห็น ก็จะพบว่าทุกอย่างสมเหตุสมผล แล้วพวกเราก็เอาจุดอ่อนอะไรมาบีบไม่ได้ด้วย ทางซ่างกวนชิงก็จะโล่งใจเช่นกัน เรื่องนี้ก็จะผ่านไป”

จากนั้นก็หันตัวเดินมาริมหน้าต่าง แล้วบอกว่า “แล้วตระกูลโค่วล่ะ ก็ย่อมรู้อยู่แล้วว่าพวกเรากำลังช่วยหนิวโหย่วเต๋อสร้างผลงาน ตระกูลโค่วไม่ปล่อยเหยี่ยวถ้าไม่เห็นกระต่ายไม่ใช่เหรอ ตอนนี้พวกเราโยนกระต่ายออกไปแล้ว ทางตระกูลโค่วก็น่าจะออกแรงเพิ่มได้แล้วเช่นกัน เอาเป็นว่าจุดประสงค์ของนายท่านก็คือ เรื่องราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาท พยายามให้ตระกูลโค่วออกแรงช่วยมากๆ พยายามทำให้สำเร็จในที่ประชุมอย่างตรงไปตรงมา จะต้องชอบด้วยเหตุผล! ตราบใดที่หนิวโหย่วเต๋อยังอยู่ที่ตลาดผี ก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา ตระกูลโค่วก็ต้องออกแรงช่วยต่อไป ประมุขชิงหลบเลี่ยงได้หนึ่งครั้ง แต่ก็ไม่อาจจะหลบเลี่ยงได้ตลอดไป ไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องตอบตกลง พยายามอย่าบีบจุดอ่อนแบบนี้ เก็บเอาไว้ใช้ภายหลังในช่วงเวลาสำคัญ ถ้าโน้มน้าวตระกูลโค่วได้แล้ว ทำไมต้องโยนไพ่ใบอื่นไปอีก ถึงตอนนั้นพวกเราออกแรงเองแท้ๆ แต่กลับพูดไม่ได้ ทั้งยังต้องจดจำน้ำใจของตระกูลโค่วอีก จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้นด้วยเหรอ? ถ้าในมือมีไพ่เยอะก็จะมีประโยชน์ใช้สอยเยอะ พยายามทำให้เกิดประโยชน์มากที่สุด อย่าโยนออกไปพร้อมกันทีเดียว และเบื้องหลังของหนิวโหย่วเต๋อก็น่าสนใจเช่นกัน ต่อให้ตระกูลโค่วไม่บอกอะไร แต่พวกเราจะปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขาที่ตลาดผีไม่ได้อยู่ดี ต้องออกแรงทุกทาง ทั้งยังฉวยโอกาสหาผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ จากฝั่งตระกูลโค่วได้อีก”

เขาหันตัวมา แล้วบอกอีกว่า “นอกจากนี้ยังมีอีกจุดหนึ่ง นายท่านบอกมาว่า ครั้งนี้พวกเราไปเหยียบหางสุนัขโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว กลัวว่าจะกดดันให้คนบางกลุ่มจนตรอกกลายเป็นสุนัขกระโดดกำแพง ถ้าโยนคนไปให้หนิวโหย่วเต๋อ ก็จะสามารถหลบเลี่ยงความเสียหายที่ไม่จำเป็นได้ ใครกล้าโมตีเข้าจวนแม่ทัพภาคตลาดผีล่ะ ถ้าโดนโค่วหลิงซวีจับจุดอ่อนนี้ได้แล้วมีข้ออ้างที่ฟังขึ้น ต้องถามหัวสมองตัวเองด้วยว่าแข็งแกร่งกว่ากำลังทหารในมือโค่วหลิงซวีรึเปล่า! ถ้ามีคนไม่สติสัมปชัญญะจริงๆ ยินดีจะไปปะทะ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เก็บเกี่ยวอะไรที่นอกเหนือความคาดหมายด้วย”

หลังจากฟังจนเข้าใจแล้ว ใบหน้าชีเจวี๋ยก็เต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส กล่าวชมว่า “นายท่านปราดเปรื่องจริงๆ ด้วย”

เฉาหม่านหันตัวมองไปนอกหน้าต่าง แล้วพยักหน้าเล็กน้อยพลางถอนหายใจเบาๆ “กว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะมีวันนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เป็นคุณงามความดีของนายท่าน!”

ตระกูลหวงฝู่ ในสวนขนาดใหญ่ของคฤหาสน์ใหญ่โต ทิวทัศน์ลึกลับและเงียบสงบ

หวงฝู่เยี่ยนเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาด้วยใบหน้าตึงเครียด หวงฝู่ตวนฮ่าวลูกชายของเขาก็สีหน้าแย่มากเช่นกัน เดินตามหลังบิดาทุกย่างก้าว ทั้งสองเดินเข้ามาในลานบ้านเก่าแก่แห่งหนึ่งที่มีต้นไม้โบราณสูงระฟ้า จากนั้นก็หยุดยืนตรงตึกศาลาไกลๆ แล้วถ่ายทอดเสียง

ในตึกศาลา หวงฝู่เลี่ยนคง หัวหน้าตระกูลที่ผมขาวหน้าเหี่ยวกำลังอยู่กับสหายเก่าสองสามคน

พอสังเกตได้ถึงสีหน้าของสองพ่อลูกที่อยู่ข้างนอก ก็รู้ว่าจะต้องมีเรื่องสำคัญอะไรสักอย่างแน่นอน หวงฝู่เลี่ยนคงกล่าวขอตัวจากสหายเหล่านั้น เดินลงตึกมาแล้วเดินผ่านข้างกายสองพ่อลูกนั่นไป ส่วนสองพ่อลูกก็รีบเร่งฝีเท้าเดินตามเข้าไปที่ลานบ้านด้านใน

หลังจากเข้ามาในห้องลับตาคน หวงฝู่เลี่ยนคงก็หันตัวกลับมาถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

หวงฝู่เยี่ยนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ก่อนจะบอกว่า “ท่านพ่อ เจียงอีอีทำพลาดแล้วที่ตลาดผี อาจจะตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้ว”

“อะไรนะ?” เดิมทีหวงฝู่เลี่ยนคงมีสีหน้าสุขุม แต่ตอนนี้ทำหน้าราวกับโดนฟ้าผ่ากลางกบาล ตกใจจนเบิกตาโตอ้าปากกว้าง จากนั้นก็ถามอย่างร้อนใจอีกว่า “แน่ใจนะว่าตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรต?”

หวงฝู่เยี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าขื่นขมว่า “คนของพวกเราไปที่โรงเตี๊ยมที่เกิดเรื่องแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ดูจากปฏิกิริยาของคนในโรงเตี๊ยมที่ไม่กล้าพูดอะไรมาก คาดว่าคงจะเดาไม่ผิด และดูจากสถานการณ์ที่ได้รู้มา คนที่จัดการเรื่องนี้ลงมือเร็วมาก จับตัวไปได้โดยแทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวครึกโครมอะไรเลย เจียงอีอีมีความสามารถในการเอาตัวรอดชั้นยอด แต่กลับถูกจับได้ง่ายขนาดนี้ จะเห็นได้ว่าผู้ที่ลงมือทั้งหมดเป็นยอดฝีมือ ยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งกระจายกำลังล้อมไว้ ทำให้เจียงอีอีหนีไม่พ้น เมื่อตัดสินจากสถานการณ์ต่างที่เอามารวมกัน ที่ตลาดผีนอกจากตึกศาลาสัตยพรตก็ไม่น่าจะมีคนอื่นแล้ว”

หวงฝู่เลี่ยนคงสูดหายใจอย่างตระหนก “ทำไมตึกศาลาสัตยพรตลงมือได้แม่นยำขนาดนี้? ทั้งตระกูลหวงฝู่มีแค่สามคนเท่านั้นที่รู้ฐานะของเจียงอีอี เบื้องบนก็ยิ่งไม่ปล่อยให้ข้อมูลรั่วไหล อย่าบอกนะว่าพวกเจ้ามีใครปากไม่มีหูรูดปล่อยข่าวไป?” สายตาที่จ้องสองพ่อลูกเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบดุร้าย

หวงฝู่ตวนฮ่าวพยักหน้าซ้ำๆ “ท่านปู่ ข้ากับเจียงอีอีติดต่อกันอย่างลับๆ โดยฝ่ายเดียวตลอด ไม่ได้หลุดปากบอกใครแม้แต่ครึ่งคำ”

หวงฝู่เยี่ยนถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านพ่อ เรื่องแบบนี้เกี่ยวข้องกับทุกชีวิตของตระกูลหวงฝู่ ข้าจะเปิดเผยให้ภายนอกรู้ได้ยังไง”

หวงฝู่เลี่ยนคงยักไล่สองข้างต้องการคำอธิบาย “งั้นมันเรื่องอะไรกันแน่ ยังไม่ได้ลงมือไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงสะเทือนไปถึงตึกศาลาสัตยพรตจนอีกฝ่ายชิงลงมือก่อนแล้วล่ะ?”

“คนที่เกิดเรื่องไม่ใช่แค่เจียงอีอีคนเดียว ตามที่รายงานมา คนที่เดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าประตูจวนแม่ทัพภาคได้สักระยะก็ถูกจับไปหมดเช่นกัน ข้าว่าคงเป็นเพราะตึกศาลาสัตยพรตป้องกันไว้ก่อนจะเกิดเหตุ” หวงฝู่เยี่ยนตอบ

“จะใช่การป้องกันไว้ก่อนหรือไม่ข้าไม่สนใจ ปัญหาสำคัญตอนนี้ก็คือเจียงอีอีตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้ว เขาจะทนวิธีการสอบสวนจากตึกศาลาสัตยพรตได้เหรอ? ถ้าเขาเปิดปากขึ้นมา ผลที่ตามมาจะเป็นยังไง ยังต้องให้ข้าพูดอีกเหรอ?” หวงฝู่เลี่ยนจิตตกถึงขีดสุด ชี้สองพ่อลูกซ้ำๆ พร้อมตำหนิว่า “ช้าให้พวกเจ้าระวังแล้วระวังอีก พวกเจ้าทำงานกันยังไง?”

หวงฝู่เยี่ยนบอกว่า “ท่านพ่อ ตอนแรกข้าก็บอกไปแล้ว ว่าเจียงอีอีเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญหลายส่วน ที่ตลาดผีก็มีตึกศาลาสัตยพรตควบคุมไว้เข้มงวดมาก จะอยู่เหนือการควบคุมของพวกเราได้ง่าย เรื่องนี้เดิมทีก็ไม่ควรให้เจียงอีอีออกโรงอยู่แล้ว แต่เบื้องบนไม่ฟังเลย!”

หวงฝู่เลี่ยนคงกล่าวอย่างโมโหว่า “ยังต้องให้เจ้ามาสอนข้าอีกเหรอ? ในเมื่อเบื้องบนจะเอาอย่างนี้ แล้วข้าจะทำยังไงได้ล่ะ? ถึงยังไงเบื้องบนก็มีการพิจารณาเอง ตอนนี้ไม่ว่าใครที่ไปแตะต้องหนิวโหย่วเต๋อ ก็จะโดนสงสัยทั้งนั้นว่าเป็นผลงานของเบื้อบน โค่วหลิงซวีก็ไม่ใช่ไก่อ่อน เบื้องบนไม่อยากตกเป็นที่ต้องสงสัย ถึงได้ให้เจียงอีอีที่โดนดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีน่านฟ้าระกาติงลงมือ หลังจากจบเรื่องก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว เป็นแค่เจียงอีอีที่ล้างแค้นหนิวโหย่วเต๋อ ความคิดของเบื้องบนนั้นไม่ผิดหรอก! ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นแล้ว เบื้องบนไม่มีทางบอกว่าการตัดสินใจของตัวเองผิดพลาด และไม่มีทางฟังคำอธิบายจากพวกเราด้วย มีแต่จะระบายความโกรธกับพวกเรา จะถามว่าพวกเราทำงานยังไง! ถ้าไม่สามารถคลี่คลายเรื่องนี้ได้ เบื้องบนก็จะเอาหัวของตระกูลหวงฝู่มารับผิดชอบ!”

“ท่านพ่อ! เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้มาพร่ำบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์ ประเด็นสำคัญคือมีวิธีการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้รึเปล่า?” หวงฝู่เยี่ยนถาม

หวงฝู่เลี่ยนคงอารมณ์เดือดดาลมาก “จะแก้ยังไงน่ะเหรอ? จะให้เสนอหน้าไปเจรจาที่ตึกศาลาสัตยพรตหรือไง? แบบนี้จะไม่ทำให้ตึกศาลาสัตยพรตรู้เหรอว่าเจียงอีอีเป็นคนของสมาคมวีรชน? ในใต้หล้านี้มีใครไม่รู้เบื้องหลังของสมาคมวีรชนบ้าง?”

หวงฝู่เยี่ยนกัดฟันกล่าวอย่างดุร้าย “มีแต่ต้องใช้ไม้แข็งแล้ว ชิงตัวมา!”

“ชิงตัวมาเหรอ?” หวงฝู่เลี่ยนคงถาม อารมณ์เหมือนจะสงบลงในชั่วพริบตาเดียว

“ใช่! ชิงตัวมา!” หวงฝู่เยี่ยนพยักหน้า แล้วบอกอีกว่า “เจียงอีอีจะรู้ผลที่ตามมาถ้าตัวเองสารภาพหรือเปล่า ช่วงแรกเขาไม่มีทางสารภาพแน่ ฉวยโอกาสตอนนี้ตึกศาลาสัตยพรตยังไม่รู้ความจริงและยังไม่ได้เตรียมป้องกันอะไร รวบรวมยอดฝีมือไปล้อมโจมตีตึกศาลาสัตยพรต ต่อให้ชิงตัวมาไม่ได้ แต่ก็ต้องกำจัดปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง อย่าให้เจียงอีอีเปิดปากพูดไม่ได้!” ก่อนที่จะมาก็เห็นได้ชัดว่าครุ่นคิดมาแล้ว

หวงฝู่เลี่ยนคงพยักหน้าช้าๆ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เดินอยู่ริมน้ำบ่อยๆ รองเท้าจะไม่เปียกได้ยังไง! เจียงอีอีทำเรื่องนี้มาตลอดหลายปีแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าในสักวันหนึ่งเรือจะล่ม ข้าแนะนำไปแล้วว่าให้ทำเรื่องสกปรกนี้แบบน้อยๆ หน่อย แต่เบื้องบนอยากเอาใจท่านนั้นของวังสวรรค์ก็เลยไม่เชื่อฟัง ถ้าตกอยู่ในมือคนทั่วไปก็อาจจะจัดงานง่ายหน่อย แต่ดันไปตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตที่แม้แต่ตำหนักสวรรค์ก็ยังควบคุมไม่ได้ เฮ้อ! เรื่องมาจนป่านนี้แล้ว ไม่มีวิธีการอื่นแล้ว คาดว่าเบื้องบนคงไม่มีหนทางแล้วเช่นกัน คงจะเห็นด้วยที่ทำแบบนี้!” พูดจบก็หยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปหาใคร

จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ชีเจวี๋ยยิ้มพร้อมกุมหมัดคารวะ “ขอตัวก่อน!”

“กลับดีๆ!” เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะ แล้วบอกใบ้ให้หยางเจาชิงเป็นตัวแทนไปส่ง

คนกลุ่มนี้กำลังคุยธุระกัน นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ตึกศาลาสัตยพรตจะนำของขวัญมาให้ถึงที่

หลังจากหันตัวกลับมา มองดูชายใบหน้าขาวซีดที่มีผ้าห่มคลุมบนตัว เหมียวอี้ก็แน่ใจได้ว่าตึกศาลาสัตยพรตพูดไว้ไม่ผิด คนคนนี้คือเจียงอีอีจริงๆ เพราะเขาเคยเจอเจียงอีอีมาก่อน เพียงแต่ตอนนั้นเจียงอีอีเป็นหนุ่มหล่อเจ้าสำราญ แต่เจียงอีอีในตอนนี้กลับแน่นิ่งเหมือนสุนัขตายตัวหนึ่ง ดวงตาสองข้างไร้แวว ตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าโดนล่วงเกินมามากเท่าไร

“คนคนนี้คือเจียงอีอีเหรอ?” สวีถังหรานเอามือลูบคางเจียงอีอีพร้อมมองประเมิน “ถ้าใช่จริงๆ งั้นก็ได้สร้างผลงานใหญ่แล้ว”

พวกเหยียนซิวก็ล้อมอยู่ข้างๆ เช่นกัน หยางชิ่งกำลังขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าครุ่นคิดอะไรอยู่

บังเอิญว่าอวิ๋นจือชิวเดินลงมาจากชั้นบนพอดี เฟยหงกับไห่ผิงซินสบตากันแวบหนึ่ง พอเห็นคนมาล้อมมุงดูเยอะขนาดนี้ ไห่ผิงซินก็พุ่งเบียดเข้ามาด้วยความสนใจ ขณะที่มองคนบนพื้น ก็ถามเหมือนเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็น “ใครกันน่ะ นี่คือใครเหรอ?”

“เจียงอีอี!” สวีถังหรานตอบพร้อมรอยยิ้ม

“เอ๊ะ! โจรราคะนั่นน่ะเหรอ! สมน้ำหน้า กรรมตามสนอง!” ไห่ผิงซินทำท่าตกใจเกินพอดี นางเตะหนึ่งที แล้วยื่นมือไปเปิดผ้าห่มที่คลุมอยู่ “ให้ข้าดูหน่อยว่าโดนตีจนสภาพเป็นยังไง อ๋า…” จู่ๆ ก็เหมือนแมวที่โดนเหยียบหาง นางเพิ่งจะเปิดดูได้แวบเดียวก็คลายมือออกอีกแล้ว รีบถอยไปด้านข้างด้วยสีหน้าแดงเรื่อ

เหมียวอี้แปลกใจ จึงนั่งยองๆ แล้วเปิดดูเช่นกัน สายตาจ้องไปที่ร่างกายท่อนล่างของเจียงอีอีอย่างตะลึงงัน จากนั้นก็คลายมือออกด้วยสีหน้าแปลกๆ นิดหน่อย

อวิ๋นจือชิวที่มองซ้ายมองขวาถามอย่างแปลกใจ “เป็นอะไรไป?” ขณะกำลังจะโน้มตัวลงดูให้หายสงสัย นางก็ถูกเหมียวอี้ดึงแขนไว้ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “โดนซ้อมอนาถมาก” เมื่อเห็นนางยังสงสัยว่าอนาถอย่างไร ทำท่าเหมือนอยากจะเห็นวิธีการทรมานของตึกศาลาสัตยพรตสักหน่อย เขาจึงพูดเสริมไปอีกว่า “โดนตอนแล้ว”

“…” อวิ๋นจือชิวอ้าปากเล็กน้อย หลังจากได้สติกลับมาแล้วก็สบถนิดหน่อย โชคดีที่ตัวเองไม่ได้เห็น นางรีบถอยไปแล้ว

แต่ผู้ชายหลายคนที่อยู่ตรงนั้นกลับยิ่งสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้านั่งยองๆ แล้วเปิดดู ข้าก็นั่งยองๆ แล้วเปิดดูบ้าง คงไม่เคยเห็นว่าสภาพหลังโดนตอนเป็นอย่างไร

หลังจากได้เห็นแล้ว แต่ละคนก็ทำสีหน้าแปลกประหลาด ทุกคนมองไปทางไห่ผิงซินที่อยู่ข้างๆ พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ราวกับกำลังบอกว่า ‘วันนี้นางหนูได้เปิดหูเปิดตาแล้ว’

ถ้าไม่ใช่เพราะมีพวกอวิ๋นจือชิวอยู่ที่นี่ด้วย คำพูดบางคำจึงไม่สะดวกจะพูดออกมา คาดว่าคงจะมีคนพูดหยอกล้อแล้ว

เหมือนจะอ่านสายตาของทุกคนออก “หน้าด้าน!” ไห่ผิงซินอับอายจนโมโหหนีไปแล้ว

สวีถังหรานกับหยางเจาชิงสบตากันแล้วขำ คาดว่าเรื่องนี้คงจะกลายเป็นมลทินที่ล้างไม่ออกของนางหนูคนนี้ไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าในภายหลังเจอผู้ชายแล้วยังจะมีอารมณ์อยู่หรือเปล่า

…………………………