ภาค 8 ทะยานฟ้า โอบกอดจันทร์ บทที่ 715 ตัวตนบนแท่นบูชา

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอเห็นนางออดอ้อนก็ไม่ได้ถือสา ปล่อยให้นางดึงแขนเสื้อของตัวเอง

เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวอ้าย เยี่ยนจ้าวเกอก็มองตามนิ้วของนางไป เห็นบนแท่นบูชามีแสงกะพริบอยู่ เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด

ชายหนุ่มเงยหน้ามองแท่นบูชา ฝีเท้าไม่เคลื่อนไหว “เสี่ยวอ้าย เจ้ารู้หรือไม่ว่าโลงศพศิลาในห้องฟังศพจักรพรรดิประกายกาฬว่างเปล่า?”

เสี่ยวอ้ายพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “รู้เจ้าค่ะ!”

นิ้วของนางยังชี้ไปบนแท่นบูชาต่อ “จักรพรรดิประกายกาฬอยู่ด้านบนนั้นเอง”

เยี่ยนจ้าวเกอมองเสี่ยวอ้ายอย่างประหลาดใจ “เขาไม่ได้ตายตั้งแต่แรก หรือว่าคืนชีพขึ้นมา?”

ครั้งนี้เสี่ยวอ้ายกลับส่ายศีรษะ “นายหญิงบอกว่า จักรพรรดิประกายกาฬสวรรคตไปแล้วจริงๆ แต่ว่ากลไกที่ท่านวางไว้ในตอนที่ยังมีชีวิต กลับเริ่มดำเนินพิธีกรรมหนึ่งหลังจากตายไป”

“ศพของท่านออกจากห้องฝังศพ ลอยมาอยู่บนแท่นบูชา กลายเป็นส่วนหนึ่งของพิธี นายหญิงในตอนนั้นไม่ได้อธิบายรายละเอียด ข้าจึงไม่ทราบ”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินก็หรี่ตาลงเล็กน้อย “อ้อ เป็นเช่นนี้เอง”

เสี่ยวอ้ายอธิบายอีกว่า “ในตอนนั้นนายหญิงได้ไปดูบนแท่นบูชาแล้ว เพียงบอกว่าอีกนานกว่าพิธีกรรมจะสมบูรณ์ ห้ามไม่ให้ข้าขึ้นไปแตะต้อง”

“แต่ตามคำพูดของนายหญิง ขอแค่แสงสว่างบนแท่นบูชาเปล่งแสงวูบวาบโดยมีจังหวะเฉกเช่นในตอนนี้ ก็เป็นสัญญาณว่าพิธีกรรมสำเร็จแล้ว”

นางกล่าวเสริมหลังจากลังเลครู่หนึ่งว่า “นายหญิงบอกว่า นางได้ช่วยเหลืออีกแรง ทำให้ความเร็วที่พิธีกรรมจะสมบูรณ์เพิ่มขึ้นกว่าเดิม แต่ว่านางไม่อาจรั้งอยู่ในสุสานจักรพรรดิแห่งนี้ได้นาน เพียงแค่จัดการให้ข้านอนหลับรักษาตัวเองที่นี่ ต่อจากนั้นหากนางสะดวก จะมากลับมาปลุกข้าอีกครั้ง”

พูดถึงตรงนี้ ดรุณีในกระโปรงสีขาวก็หรี่ตามองเยี่ยนจ้าวเกอ “ผู้ใดจะทราบว่า ข้าไม่ต้องรอนายหญิงกลับมา กลับรอคุณชายแทน”

เยี่ยนจ้าวเกอถาม “เจ้าอยู่ที่นี่มานานเท่าไรแล้ว?”

เสี่ยวอ้ายสับสน “การไหลของเวลาด้านในสุสานจักรพรรดิโกลาหล ข้าไม่ทราบแน่ชัด แต่น่าจะผ่านไปหลายปีอยู่กระมัง?”

“ในตอนนั้นนายหญิงบอกว่า ข้าใช้เวลาหนึ่งปีก็หายดีแล้ว หลายปีต่อจากนั้นอยู่ในการหลับไหล”

ชายหนุ่มใช้นิ้วแตะริมฝีปาก “อืม มิน่าเจ้าถึงอายุน้อยนัก เวลามากมายใช้ไปกับการหลับเสียแล้ว”

เสี่ยวอ้ายส่ายหน้าอย่างรุนแรง ดวงตาเป็นประกาย “ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ การได้หลับอยู่กลางกองสมบัติ ข้าไม่ทราบว่าโชคดีขนาดไหน!”

ตอนแรกนางยังรวบรวมสมาธิ ตั้งใจตอบคำถามเยี่ยนจ้าวเกออยู่

พูดถึงตอนนี้ ก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป ดวงตาสองข้างกวาดมองสมบัติที่เหมือนกับภูเขาที่อยู่รอบๆ ด้วยความตื่นเต้น

ดูจากท่าทางของนาง ถ้าหากไม่ใช่เพราะไม่อยากเสียมารยาทต่อหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ คงจะพุ่งตัวเข้าไปแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอกุมหน้าผาก

ไม่เพียงแต่บ้าผู้ชายเท่านั้น ยังโลภสมบัติอีกต่างหาก…

ชายหนุ่มอดหัวเราะพลางส่ายหน้าไม่ได้ สายตามองด้านบนสุดของแท่นบูชาอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ

เสี่ยวอ้ายละสายตาจากสมบัติที่กองเหมือนภูเขาอย่างตัดใจไม่ได้ กลืนน้ำลายเอื๊อก “คุณชาย ตอนนี้พวกเราจะขึ้นไปหรือไม่?”

เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกตัว ก้าวไปด้านหน้า “ไฉนจะไม่เล่า?”

เด็กสาวอุทานดีใจ รีบติดตามอยู่ด้านหลังเขา

“เจ้ามีชื่อจริงหรือไม่?” เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งเดิน ทางหนึ่งถามลวกๆ

“เสี่ยวอ้ายก็คือชื่อของข้า” เสี่ยวอ้ายตอบลวกๆ เช่นกัน “บิดามารดาข้าตายตั้งไปนานแล้ว ไม่ทราบว่าชื่อเดิมของตัวเองคืออะไร ตอนแรกเรียกว่าเสี่ยวอาย อายจากคำว่าอายชาง (ความทุกข์)” ต่อมาหลังจากติดตามนายหยิง นายหญิงก็เปลี่ยนชื่อเป็นเสี่ยวอ้าย อ้ายจากเร่ออ้าย (มีความรักอย่างลุ่มหลง)”

“ข้าอยากจะใช้แซ่ตามนายหญิง นางบอกว่าชื่อในตอนนี้ของนาง สมควรเรียกว่าเยี่ยนเสวี่ยชูฉิง ดังนั้นข้าจึงสมควรชื่อเยี่ยนเสี่ยวอ้ายแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ นางแอบมองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง “คือว่า…คุณชายกับท่านลุงเขยจะคัดค้านหรือไม่?”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมไม่คัดค้าน บิดาข้าก็คงไม่ว่าอะไรเช่นกัน”

เสี่ยวอ้ายพลันดีใจหน้าบาน

คราวนี้ชายหนุ่มเหยียบขึ้นบนแท่นบูชาแท่นนั้น แท่นบูชาพลันสั่นสะเทือนเลือนลั่น

แสงสว่างกลางอากาศด้านบนค่อยๆ จับตัวกันกลายเป็นเงาคนสายหนึ่้ง เงานั้นยืนอยู่กลางอากาศอย่างองอาจ สภาวะอันน่าตกตะลึงพุ่งมาปะทะหน้า!

ฟ้าดินตรงหน้าวินาทีนี้มืดมัวลงในทันใด แสงสว่างดับลง

ต่อมาก็มีแสงสว่างจุดหนึ่งพลันสว่างขึ้นในความมืดแรกเริ่มไร้สิ้นสุด ทั้งพร่างพราวและบริสุทธิ์

เงาร่างที่ทำให้คนขวัญหลุดวิญญาณหาย แทบจะอดกลั้นความรู้สึกอย่างหมอบกราบกรานไม่ได้นั้น ยืนตระหง่านอยู่ระหว่างแสงสว่างและความมืด

เขาเหมือนกับถูกเขตแดนไร้รูปร่างเส้นหนึ่งแบ่งจากหนึ่งเป็นสอง ครึ่งหนึ่งส่องแสงพร่างพราวอย่างโชติช่วง อีกครึ่งหนึ่งรวมกับความมืด ยากจะเห็นร่องรอย

แต่ว่าเมื่อมองให้ชัดๆ แล้ว ทั่วทั้งร่างของคนผู้นี้กลับเหมือนมีแสงสว่างที่มืดสลัวคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ไม่สว่าง ไม่แยงตา เพียงพร่าเลือน

ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ปรากฏให้เห็นความโกลาหลอยู่หลายส่วน

ถึงแม้จะเป็นแค่เงา แต่ว่าสภาวะที่น่าตกตะลึงนั้น กลับทำให้โลกของจริงเหมือนกำลังสั่นไหว

ไม่เพียงแต่มิติต่างแดนด้านหลังประตูศิลาแห่งนี้เท่านั้น แม้แต่สุสานจักรพรรดิประกายกาฬที่อยู่นอกประตูศิลา ต่างก็สั่นสะเทือนเพราะเงานั้น จนทุกคนที่อยู่ในสุสานจักรพรรดิรู้สึกตกใจ

จอมยุทธ์สำนักแสงสว่างและจอมยุทธ์สำนักความมืด ไม่ว่าจะมีพลังฝึกปรือสูงหรือต่ำ ในตอนนี้ต่างรู้สึกสะพรึงกลัว

เยี่ยนจ้าวเกอจับจ้องเงาร่างด้านบนแท่นบูชานั้น

เขารู้สึกได้ว่า เงาร่างนั้นเหมือนกับกำลังมองเขาอยู่เช่นกัน

นั่นเป็นบุรุษวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ สวมอาภรณ์สีดำ คลุมเสื้อคลุมสีขาว ผมยาวสีดำคลุมด้านหลัง คิ้วสองข้างกลับเป็นสีขาวโพลน

ดวงตาสองข้างแยกเป็นสีดำสีขาว บริสุทธิ์ถึงขีดสุด ตาสีขาวเหมือนกับสาดแสงสว่างไร้ประมาณออกมา ส่วนม่านตาดำกลับเหมือนหุบเหวลึก

คนผู้นี้ความจริงเพียงยืนอยู่เฉยๆ สายตาไม่ได้มองไปที่ใคร

กระนั้นไม่ว่าจะเป็นเยี่ยนจ้าวเกอหรือเสี่ยวอ้าย ในใจยังเกิดความรู้สึกว่าคนผู้นี้กำลังสบตากับตนอยู่

ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ในสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ ขณะที่งงงันอยู่นั้น ก็รู้สึกได้ว่าเหมือนกับมีดวงตาคู่หนึ่งเปิดขึ้นแล้วจ้องมองพวกเขาจากด้านในความมืดมัว

ถึงแม้จะเป็นเพียงเงาแสง แต่เยี่ยนจ้าวเกอยังคาดเดาสถานะของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำ

จักรพรรดิประกายกาฬ อิ่นเทียนเซี่ย!

การสบตากับเงาแสงนี้ยังทำให้เยี่ยนจ้าวเกอยืนยันเรื่องเรื่องหนึ่งในขั้นสุดท้ายได้ด้วย

ยอดฝีมือที่เคยเป็นใหญ่ในยุคหนึ่งผู้นี้ได้สวรรคตลงแล้วจริงๆ

ไม่อย่างนั้น คนที่อยู่ในสุสานในตอนนี้ เกรงว่าจะไม่อาจทนอานุภาพจาก ‘พระเนตร’ ของท่านได้

เหมือนกับในตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอมองอิ่นหลิวหัว อิ่นหลิวหัวก็เป็นคนตายไปแล้ว

ทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างด้านพลังมากถึงขั้นที่ไม่อาจพูดด้วยเหตุผลได้

ท่านแม้จะสวรรคตไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีแรงกดดันมหาศาล สั่นสะท้านขวัญวิญญาณของผู้คน

เสี่ยวอ้ายมีระดับพลังฝึกปรือต่ำ ย่อมทนได้ยากยิ่งกว่า หลังจากนางครางหนักๆ คำหนึ่ง ก็พลันยื่นนิ้วออกมาขีดเขียนใส่อากาศ สักพักหนึ่งก็กลายเป็นลวดลายค่ายกลขนาดมหึมา

ลวดลายค่ายกลขยายออกที่กลางอากาศอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ กลายเป็นค่ายกลค่ายหนึ่ง

ครั้นค่ายกลปรากฏขึ้น แรงกดดันที่เกิดจากเงาแสงของจักรพรรดิประกายกาฬที่อยู่กลางความว่างเปล่า ก็พลันลดน้อยลงในทันที

นั่นไม่ใช่ค่ายกลที่ใช้สำหรับป้องกัน ความสามารถหลักส่วนใหญ่อยู่ที่การเชื่อมต่อ

ในวินาทีนี้ เยี่ยนจ้าวเกอกับเสี่ยวอ้ายเหมือนกับกลายเป็นหนึ่งเดียวกับแสงสว่างบนแท่นบูชา ไม่ถูกกีดกันอีก

เยี่ยนจ้าวเกอมองค่ายกลนั้น แค่มองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกประหลาดใจ ‘เป็นระดับค่ายกลที่สูงล้ำนัก ค่ายกลนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางซึ่งเป็นจอมยุทธ์ในระดับพลังฝึกปรือเช่นนี้จะควบคุมได้ถึงจะถูก’

ขณะที่คิด เยี่ยนจ้าวเกอก็ยื่นนิ้วออกมา ไตร่ตรองเล็กน้อย แล้วปรับแต่งการทำงานของค่ายกลที่เสี่ยวอ้ายวางไว้บางส่วน

ความสามารถของค่ายกลพลันชัดเจนมากขึ้น

เงาคนที่อยู่กลางอากาศกลายเป็นลำแสงหลายสายอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งลงไปด้านบนแท่นบูชา