ตอนที่ 1969 ก้มหัวให้ข้า!

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

เดิมทีแล้วพวกเขาทั้งหลายนั้นต่างยืนอยู่ในสถานะที่เท่าเทียม

แม้ว่าตัวซงหยูจะมีกำลังที่เหนือกว่าแต่ทุกผู้คนก็ย่อมไม่คิดที่จะสนใจให้ค่าใด

เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นเห็นว่าเมื่อตัวพวกเขาได้สมบัติโชคลาภใดๆ มาบ้างการจะบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพถ่องแท้สามดาวนั้นมันก็คงมิใช่เรื่องยากเย็นมากมาย

แต่ตอนนี้พวกเขาได้รู้แล้วว่าแค่ก้าวเดินออกไปมันก็หมายถึงความตาย แล้วจะทำอย่างไรต่อได้?

จัดการกับเหล่าวิญญาณต่อสู้ทั้งหลายนี้ ด้วยพลังฝีมือของซงหยูเขาย่อมจะเป็นผู้ที่รับภาระหนักหนาที่สุด

การออกไปต่อสู้ตามลำพังในตอนนี้มันไม่ได้ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย

เพราะฉะนั้นทุกผู้คนจึงคิดหันหน้ามาขอความช่วยเหลือจากซงหยู ทำให้จุดยืนสถานะของพวกเขานั้นไม่เท่าเทียมกันอีกต่อไป

ตอนนี้ใบหน้าของทุกผู้คนต่างยับยู่ การแบ่งสมบัติที่ได้ครึ่งหนึ่งให้ซงหยูนั้นมันเป็นเรื่องราวที่เกินกว่าจะรับไหว

“หึ ในเมื่อเจ้าไม่คิดตกลง เช่นนั้นข้าคงต้องไปหาผู้อื่นร่วมทีมแล้ว” พูดจบซงหยูก็หันหลังเดินจากไป

กั๋วจิงหยางจึงรีบร้อนตอบออกมาอย่างทันที “ได้ๆ ข้ายอมรับ!”

“ข้า…ก็ยอมรับเช่นกัน!”

ลูกไม้ง่ายๆ ของซงหยูนี้มันกลับส่งผลลัพธ์ที่ดีเกินคาดออกมา

“หึๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็ตกลงกันตามนี้ สมบัติใดที่พบเจอข้าจะเก็บมันไว้ครึ่งหนึ่ง ที่เหลือพวกเจ้าก็เอามันไปแบ่งกันเองเถิด” ซงหยูยิ้มบอก

แต่ใบหน้าของคนอื่นๆ กลับไม่มีรอยยิ้มหรือแม้แต่ร่องรอยของความสุขอยู่เลย

ยิ่งได้สมบัติมากเท่าใด มันก็ย่อมจะเสริมดวงชะตาในวันหน้าของคนผู้นั้นได้มากเท่านั้น

ด้วยพรสวรรค์โชคชะตาที่ซงหยูมีในตอนนี้หากเขาได้รับสมบัติไปอย่างมากมายแล้วการจะบรรลุขึ้นสู่รัศมีผ่าจักรพรรดิเองก็คงมิใช่เรื่องยากเย็น

ส่วนทางด้านซงหยูนั้นเขาย่อมไม่คิดจะไปหาผู้คนที่ใดร่วมทีมอย่างแน่นอน

การไปร่วมกลุ่มกับยอดฝีมือจากเมืองอื่นในเวลานี้มันย่อมหมายความว่าเขาจะไม่อาจได้สมบัติติดไม้ติดมือมากมายและที่สำคัญคือเขาอาจจะเสียตำแหน่งผู้นำไปเสียด้วยซ้ำ

เหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายนั้นยอมที่จะเป็นหัวสุนัข ดีกว่าที่จะเป็นหางของมังกร ใครกันเล่าจะอยากเดินทางภายใต้คำสั่งผู้คน?

ด้วยเหตุนี้เหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายจึงได้เริ่มจับกลุ่มน้อยใหญ่กันขึ้น

คนจากทางยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศทั้งเก้าคนนั้น เจ็ดคนเลือกที่จะเข้าร่วมกลุ่มกับซงหยูเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้เหลือเพียงเย่หยวนหลิวยี่ที่ยังมิได้ตัดสินใจ

“หึ เจ้าเฒ่า เจ้าคิดจะลงมือคนเดียวหรือ?” ซงหยูถามหลิวยี่ด้วยรอยยิ้มที่เหยียดหยาม

หลิวยี่ยิ้มแห้งๆ รับออกมา “จะเป็นไปได้อย่างไร! ข้า…ข้าจะร่วมเดินทางไปกับท่านซง”

ซงหยูพยักหน้ารับออกมาก่อนจะหันมามองเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน “เช่นนั้นท่านผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิคงไม่คิดจะเข้าร่วมกลุ่มพวกเราใช่หรือไม่?”

“รัศมีผ่าจักรพรรดิ? เด็กคนนี้กลับมีรัศมีผ่าจักรพรรดิอย่างนั้นหรือ!”

“หึๆ จะมีรัศมีผ่าจักรพรรดิแล้วทำไม? ด้วยพลังฝีมือของมันนี้ต่อให้จะเป็นโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ปานใดมันก็คงได้ตายอย่างไม่เหลือเศษซากแน่ เช่นนั้นแล้วสุดท้ายมันก็ยังต้องขอให้ผู้อื่นช่วยเหลือ”

คำพูดของซงหยูนั้นย่อมทำให้สายตารอบข้างหันมามองตามๆ กัน

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียในหมู่เด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายนั้น รัศมีจักรพรรดิมันนับได้ว่ามีมากมาย ส่วนทางรัศมีผ่าจักรพรรดินั้นย่อมจะเป็นแค่คนส่วนน้อย

จำนวนของมันนี้เทียบเท่าได้กับจำนวนของเทพสวรรค์และจำนวนของจักรพรรดิเทพสวรรค์

ในหมู่เทพสวรรค์นับร้อยๆ มันอาจจะไม่มีใครเลยที่สามารถบรรลุขึ้นอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ได้

กับเหล่าผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดินี้ หากตัวคนมีพลังฝีมือเหนือล้ำพวกเขาทั้งหลายย่อมจะไม่พูดกล่าวใดๆ

แต่เย่หยวนนั้นมีกำลังที่แสนอ่อนแอในสายตาของพวกเขา ทุกผู้คนต่างมองดูมายังตัวเย่หยวนด้วยท่าทางดูถูก คิดว่าตัวเย่หยวนคงต้องเสียหน้าครั้งใหญ่ต่อผู้คนแล้ว

เรื่องนี้มันคงเทียบได้กับความเกลียดชังอิจฉาที่คนธรรมดามีต่อคนรวย

ซงหยูหัวเราะขึ้นในใจ จะมีรัศมีโชคชะตาเหนือล้ำแล้วทำไม? จะหลอมโอสถได้เก่งกาจแล้วทำไม?

เพราะในสนามรบเทพโบราณนี้ ทุกสิ่งอย่างมันย่อมขึ้นอยู่กับกำลังฝีมือสิ้น!

เมื่อใดที่เขาได้รับสมบัติและเพิ่มดวงชะตาของตนขึ้นไปยังรัศมีผ่าจักรพรรดิได้เขาย่อมจะสามารถทิ้งห่างเด็กน้อยเช่นนี้ไปได้แน่

อวดดีไปเถอะ!

เพราะตอนที่อยู่ในตึกวาโยบริสุทธิ์นั้นตัวเขาเสียหน้าไปอย่างล้นหลาม

ในเวลานั้นมันมีเหล่ายอดคนอยู่มากมายเขาจึงไม่ได้พูดกล่าวใดๆ กลับไป

แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เย่หยวนนั้นต้องมาขอความช่วยเหลือจากเขาอย่างแน่นอนทำให้ซงหยูคิดจะเล่นงานเขาให้หนัก

ขอร้องข้าสิ!

ก้มหัวให้ข้า!

ส่วนเรื่องที่ว่าจะรับไหมนั้นมันย่อมเป็นอีกเรื่องอย่างสิ้นเชิง!

ซงหยูนั้นยิ้มเย้ยอยู่ในหัวใจ

ทุกผู้คนต่างหันมามองทางเย่หยวน คิดอยากดูว่าเย่หยวนผู้นี้จะยอมก้มหัวให้ผู้คนหรือไม่

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไปอย่างเรียบง่าย “ใช่แล้ว ข้าคิดจะเดินทางลำพัง เชิญพวกท่านก่อนเลย”

ทุกผู้คนที่ได้ยินต่างตกตะลึง เดินทางลำพัง?

ต่อให้จะอยากรักษาหน้าไว้เพียงใดแต่มันก็ไม่ต้องทำถึงขั้นนี้หรอกใช่ไหม?

หรือว่าสภาพซากศพที่ถูกดาบทั้งหลายนั้นฟาดฟันเข้าตัวเขาจะไม่เห็นมัน?

คำพูดนี้ต่างทำให้ทุกผู้คนตกตะลึงมึนงงอย่างมาก ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเย่หยวนไปอีกพักใหญ่

ซงหยูเองก็ผงะไปเช่นกันหลังได้ยินแต่ไม่นานเขาก็หัวเราะออกมา “เดินทางลำพัง? หึ ท่านผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิของเรานั้นช่างเก่งกาจเสียจริง! ฮ่าๆ!”

คำพูดนี้ทำให้คนทั้งหลายเริ่มหัวเราะขึ้นตามรู้สึกว่าเย่หยวนนั้นทำเช่นนี้เพียงแค่รักษาหน้าเอาไว้

ตราบใดที่เขาเดินทางออกไปเขาย่อมจะตายลงอย่างไม่เหลือเศษซากใดๆ เว้นเสียแต่ว่าเขาจะไม่คิดออกไปไหน

เย่หยวนทำเพียงแค่ยิ้มและไม่พูดใดๆ อีก

เมื่อซงหยูได้เห็นสีหน้านั้นเขาจึงต้องพูดขึ้นมาด้วยท่าทางสุดที่จะขัดใจ “ข้าอยากรู้จริงว่าเจ้าจะทำอะไรคนเดียวได้! หากเจ้ามีปัญญาก็อย่าได้เอาแต่หลบซ่อนอยู่ในนี้แล้วกัน!”

และในที่สุดการจับกลุ่มทั้งหลายก็ได้ผลสรุป คนทั้งหลายเริ่มจับกลุ่มกันโดยมีคนจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิเป็นตัวหลัก

แต่มันก็ยังมีเหล่าผู้อ่อนแอที่เข้าจับกลุ่มเล็กๆ กันอยู่ไม่น้อย

เพราะฉะนั้นเหล่าผู้คนที่จับกลุ่มเสร็จสิ้นจึงเริ่มออกเดินทางจากม่านพลังเข้าสู่ส่วนลึกของสนามรบเทพโบราณ

เมื่อพวกเขาได้ออกมาจากม่านพลัง วิญญาณต่อสู้นับไม่ถ้วนก็เริ่มปรากฏกายขึ้นรายล้อมพวกเขา

แต่ทว่าด้วยพลังฝีมือของเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายนั้น เมื่อได้ร่วมมือกันแล้วมันย่อมจะเหนือล้ำกว่าที่เหล่าวิญญาณต่อสู้นี้จะต้านทาน

ซงหยูหันมามองเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเย้นหยัน “ท่านผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิ เหตุใดท่านยังไม่ออกไปเล่า กลัวหรือ? หึ หากเจ้าขอร้องข้าตอนนี้ข้าอาจจะพาเจ้าออกไปด้วยก็ได้”

เย่หยวนยิ้มออกมา “ขอบคุณท่านซงที่หวังดี แต่มันไม่จำเป็นหรอก”

พูดจบเย่หยวนก็เดินออกจากม่านพลังไป

นั่นทำให้เหล่าคนจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศต้องเบิกตากว้างอย่าตื่นตกใจ

ยอมตายเพื่อรักษาหน้า?

นี่มัน…มันจะเหนือคาดเกินไปไหม?

นี่มันมิใช่แค่การรักษาหน้าเพื่อหลบเอาตัวรอดเท่านั้น แต่เป็นการรักษาหน้าจนตัวตาย!

“ไอ้เด็กคนนี้มันไม่มีสมองหรือ?”

“รัศมีผ่าจักรพรรดิใดกัน? คนโง่แท้!”

“ยอมให้อารมณ์มาควบคุมตัวเช่นนี้ได้อย่างไร? คงเสียชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์แล้ว!”

เหล่าคนจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศต่างแสดงสีหน้าท่าทางดูถูกผิดหวังในตัวเย่หยวนอย่างมาก

แต่มีเพียงหลิวยี่เท่านั้นที่หรี่ตามองดูเย่หยวนผู้เดินจากไป ไม่มีใครเข้าใจได้ว่าตัวเขานั้นกำลังคิดอะไรอยู่

แต่จู่ๆ สายตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง

แต่มันมิใช่เพียงแค่เขา เหล่าผู้คนทั้งหลายเองก็มองภาพตรงหน้าอย่างมิอยากเชื่อสายตา

โดยเฉพาะอย่างยิ่วซงหยูที่แสดงใบหน้าเหยเกออกมาอย่างถึงที่สุด

วินาทีที่เย่หยวนเดินออกมาจากม่านพลังนั้นเขาก็ได้พบว่าตัวเองถูกรายล้อมไปด้วยวิญญาณต่อสู้ในทุกทิศทางตามคาด

แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่มีทีท่าจะปัดป้องใดๆ และเดินเข้าไปหาพวกมันทั้งหลายอย่างไร้กังวล

เมื่อเหล่าวิญญาณต่อสู้นภาสวรรค์โจมตีเข้าใส่ร่างกายของเขา มันกลับไม่ส่งผลสร้างบาดแผลใดๆ ให้แม้แต่น้อย!

กายทองคำระดับหกของเย่หยวนนี้มันทำลายได้แม้แต่สมบัติเทพถ่องแท้เลิศล้ำ

เมื่อตัวเย่หยวนคิดที่จะเสริมกำลังในการป้องกัน การโจมตีของเหล่าวิญญาณต่อสู้นภาสวรรค์ทั้งหลายจึงย่อมจะไม่ส่งผลใดๆ แก่ตัวเขา

“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกัน?”

“พลังป้องกันที่มากขนาดนี้มันจะน่ากลัวเกินไปหรือไม่?”

“เดี๋ยวนะ ที่แท้เขาเป็นผู้บ่มเพาะกาย! กายเนื้อของเขานั้นขึ้นมาถึงกายทองคำระดับหกเสียแล้วด้วยซ้ำ แน่นอนว่าการโจมตีของเหล่าวิญญาณต่อสู้นภาสวรรค์มันย่อมจะไร้ค่าต่อหน้าเขา!”

เมื่อเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาคนอื่นที่ยังไม่ออกจากม่านพลังได้เห็นพวกเขาทั้งหลายก็ได้แต่อ้าปากค้าง

พลังป้องกันของผู้บ่มเพาะกายนั้นมันเหนือล้ำ

เพราะแม้ว่าตัวพวกเขานั้นจะบ่มเพาะพลังปราณมาถึงอาณาจักรเทพถ่องแท้แต่ร่างกายของพวกเขานั้นอาจจะไม่แข็งแกร่งเท่าผู้บ่มเพาะกายอาณาจักรนภาสวรรค์เสียด้วยซ้ำ

พลังป้องกันทั้งหลายของพวกเขามันย่อมจะมาจากปราณเทวะที่หมุนวนปกป้องร่างกาย

แค่นักยุทธนภาสวรรค์หนึ่งหรือสองคนย่อมจะทำอะไรพลังป้องกันของพวกเขาไม่ได้

แต่เมื่อจำนวนมันมากขึ้นพร้อมด้วยการปิดล้อมของเหล่าเทพถ่องแท้ทั้งหลาย พวกเขาย่อมไม่มีปราณเทวะมากพอที่จะตั้งรับการโจมตีทั้งหมดนั้นได้สิ้น

เพื่อใดก็ตามที่พวกเขาอ่อนแรงลงในระดับหนึ่งแล้วการโจมตีของเหล่านภาสวรรค์ทั้งหลายก็ย่อมจะทำอันตรายแก่ร่างกายของพวกเขาได้

………………………..