บทที่ 507.4 ทุกท่านเชิญเอากระบี่ไปได้เลย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ในวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋น

คราวนี้อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบไม่ได้นั่งอยู่บนขั้นบันไดด้านล่างบัลลังก์มังกร แต่ยืนอยู่ระหว่างสองฝ่าย เอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้กระบี่บินส่งข่าวมาบอกว่า คนผู้นั้นกำลังขี่กระบี่ตรงมาที่ทะเลสาบชางอวิ๋นของข้า”

นอกจากฟ่านเหวยหรานที่หัวเราะหยันไม่หยุด เย่หานที่สุขุมมั่นคงดุจขุนเขา คู่กุมารทองกุมารีหยกที่ตกตะลึงแค่เพียงเล็กน้อยแล้ว คนที่เหลือของทั้งสองฝ่ายต่างก็แตกตื่นส่งเสียงฮือฮาดังระงม

สีหน้าของอินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบไม่เป็นมิตรนัก “เย่หาน ท่านเจ้าเมืองใหญ่เย่ของข้า ก่อนหน้านี้ใครเป็นคนบอกว่าเซียนกระบี่ต่างถิ่นผู้นี้บาดเจ็บสาหัส แล้วจะต้องถูกพวกเราใช้มีดทื่อแร่เนื้อ ค่อยๆ ทรมานเขาจนตาย? นี่พวกเราเพิ่งจะวางแผนกันเสร็จ คนเขาก็บุกมาฆ่าถึงรังเก่าในทะเลสาบชางอวิ๋นของข้าแล้ว ต่อจากนี้จะเอาอย่างไรต่อ? ทุกคนหนีกระเจิงกันไปคนละทิศทาง รอให้ถูกโจมตีกันไปทีละคน หรือจะรออยู่ที่นี่ นวดเข่าเตรียมรอไว้ก่อน อีกเดี๋ยวพออีกฝ่ายมาถึงจะได้ลงไปคุกเข่าโขกหัวให้เขาได้สะดวกหน่อย?”

เหอลู่สีหน้าสงบนิ่งเป็นธรรมชาติ ในมือถือขลุ่ยไม้ไผ่ ลุกขึ้นยืน “ค่ายกลหนึ่งวางไว้นอกเมืองสุยเจี้ย อีกค่ายกลหนึ่งวางไว้ที่ทะเลสาบชางอวิ๋น บวกกับตัวของวังมังกรของเจ้าแห่งทะเลสาบเองก็มีค่ายกลภูเขาแม่น้ำพิทักษ์คุ้มครองอยู่ ข้ารู้สึกว่าพอจะเปิดประตูบานใหญ่ปล่อยให้เขาเข้ามาในค่ายกลได้ พวกเราสามฝ่ายร่วมมือกัน มีเจ้านครของพวกเรา มีบรรพจารย์ฟ่านอยู่ บวกกับค่ายกลสองแห่งและผู้ฝึกตนร้อยกว่าคนเต็มห้องโถงแห่งนี้ จะอย่างไรก็น่าจะมีศักยภาพทัดเทียมกับเซียนคนหนึ่งอยู่กระมัง? หากคนผู้นี้ไม่มา ดีแต่ทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในเมืองสุยเจี้ย พวกเรายังต้องสิ้นเปลืองเหยื่อล่อเขาออกมา เป็นการทำลายความปรองดองของทุกฝ่าย ในเมื่อเขามาแล้ว จะไม่ยิ่งดีกว่าเดิมหรอกหรือ?”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบกล่าวอย่างเดือดดาล “เซียนซือน้อยเหอก็พูดง่ายน่ะสิ! ทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้คือกิจการที่ข้าสืบทอดมานานเป็นพันปี พวกเจ้าอย่างมากสุดก็แค่เสียเงินเทพเซียนที่ใช้สร้างค่ายกลยันต์แห่งหนึ่ง ถึงเวลานั้นตีกันจนฟ้ามืดดินสลัว ศพนอนเกลื่อนพื้น วังมังกรล้มครืน สุดท้ายต่อให้เอาชนะมาได้อย่างหวุดหวิด สังหารเจ้าตัวการชั่วร้ายผู้นั้นได้ แต่หากยังอิงตามการแบ่งทรัพย์สมบัติที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ข้าต้องเสียวังมังกรทั้งแห่งไปเปล่าๆ ถึงเวลานั้นจะไม่ต้องร้องไห้จนตายหรอกหรือ?”

เหอลู่ยิ้มกว้างอย่างสดใส “ทะเลสาบชางอวิ๋นสองส่วน ดินแดนเซียนเป่าต้งสี่ส่วน นครหวงเยว่ของพวกเราสี่ส่วน นี่คือการแบ่งสรรที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า ตอนนี้นครหวงเยว่ของพวกเราสามารถแบ่งส่วนหนึ่งมาชดเชยให้เจ้าแห่งทะเลสาบได้ นอกจากนี้ยังคงอิงตามกฎเดิม นั่นคือหากใครหมายตาในสมบัติอาคมชิ้นใดแล้วคิดว่าต้องได้มาครอบครอง ทั้งสามฝ่ายก็จะช่วยกันคิดราคายุติธรรมที่ทุกคนต่างให้การยอมรับ แล้วหักเป็นเงินเกล็ดหิมะหรือเงินร้อนน้อย แล้วค่อยเพิ่มราคาให้อีกหน่อย ถือเสียว่าเป็นการขอบคุณที่อีกสองฝ่ายตัดใจยกของรักให้”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เหอลู่ก็มองไปฝั่งตรงข้าม เส้นสายตากวาดผ่านไปบนร่างของสตรีที่ตัวเองใฝ่หาแม้ในยามหลับฝัน แล้วถึงหันไปยิ้มพูดกับหญิงชราว่า “บรรพจารย์ฟ่านว่าอย่างไร?”

หญิงชราที่เดิมทีมองดูเหมือนกำลังงีบคลี่ยิ้ม “ได้สิ ดินแดนเซียนเป่าต้งของพวกเราก็ยินดีเอาผลเก็บเกี่ยวส่วนหนึ่งมามอบให้เป็นการขอบคุณวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋น”

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบมองไปทางเย่หาน ฝ่ายหลังพยักหน้ารับเบาๆ

อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบถึงได้พอใจ

เหอลู่ไม่เอ่ยอะไรอีก

คนทั้งหมดที่อยู่ในวังกรทะเลสาบชางอวิ๋นมองเด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเซียนด้วยจิตวิญญาณที่แกว่งไกว รู้สึกเลื่อมใสเป็นกำลัง

หากไม่เป็นเพราะเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกหลานของเย่หานแห่งนครหวงเยว่ อีกทั้งตำแหน่งเจ้าเมืองของนครหวงเยว่ก็ไม่อาจยกให้กับคนต่างแซ่เป็นผู้สืบทอด ไม่อย่างนั้นบุตรชายสองคนของเย่หานที่เป็นดั่งเศษสวะจะมาแก่งแย่งกับเหอลู่ได้อย่างไร?

ทางฝั่งประตูห้องข้างของตำหนักหลักห้อยแขวนม่านไข่มุกแวววาวละลานตาเอาไว้ มีสตรีหน้าตางดงามผู้หนึ่งเลิกมุมหนึ่งของผ้าม่านขึ้น มองมาทางเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่กำลังพูดคุยแย้มยิ้มคนนั้น

ไม่นึกเลยว่าบนโลกจะมีเด็กหนุ่มที่โดดเด่นเช่นนี้อยู่

ต่อให้เอาบัณฑิตยากจน ลูกหลานผู้มีอิทธิพลที่เนื้อหนังมังสาพอไปวัดไปวาได้ก่อนหน้านี้มารวมกัน ก็ยังไม่อาจเทียบกับเหอหลาง *(หลางเป็นคำเรียกแทนตัวบุรุษ หริอเป็นคำที่สตรีใช้เรียกแทนตัวคนรัก)*แห่งนครหวงเยว่ผู้นี้ได้ อย่างกับบุรุษรูปงามที่เดินออกมาจากบทประพันธ์หรือเกร็ดพงศาวดารอย่างไรอย่างนั้น คือเจ๋อเซียนตัวเป็นๆ ที่มายืนอยู่เบื้องหน้าตนจริงๆ

……

เรือนผีเมืองสุยเจี้ย

ตู้อวี๋อุ้มเด็กที่ยังคงหลับสนิทอยู่ในห่อผ้าด้วยความจนใจ

จากนั้นตู้อวี๋ก็พลันหันขวับ เห็นว่าตรงนั้นมีบุรุษร่างสูงเพรียวหน้าตาคมคายคนหนึ่งกระโดดข้ามกำแพงเข้ามา พอสองเท้าเหยียบลงบนพื้น ก็ทำท่ายกมือกดลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน

ตู้อวี๋ลุกพรวดขึ้นยืน ตั้งท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวผฉกาจ ชำเลืองตามองกาเหล้าสีชาดที่อยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ แต่กลับไม่มีกระบี่บินเล่มใดบินออกมา

ตู้อวี๋รู้สึกสิ้นหวังแล้ว

มือกำแกนลูกท้อที่ผู้อาวุโสมอบให้ก่อนจากไปไว้แน่น

คนผู้นั้นยกสองมือขึ้น ยิ้มกล่าว “อย่าเพิ่งตื่นเต้นๆ ข้าชื่อโจวเฝย ข้ากับเฉิน…คนดี ตอนนี้เขาใช้ชื่อนี้กระมัง? สรุปก็คือข้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเขา นิสัยใจคอเข้ากันได้ดี แล้วก็เพราะเห็นว่าที่นี่เกิดความเคลื่อนไหวอึกทึกครึกโครม แม้ข้าจะตบะไม่สูง แต่พี่น้องประสบภัย ข้าจึงมีหน้าที่ที่มิอาจปฏิเสธได้ ก็เลยรีบมาที่นี่เพื่อดูว่ามีอะไรที่ต้องการให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่ ยังดีที่เรือนแห่งนี้หาได้ง่าย พี่น้องคนนั้นของข้าอยู่ไหนล่ะ แล้วเจ้าน่ะเป็นใคร?”

ตู้อวี๋ไม่เชื่อแม้แต่น้อย

คนผู้นั้นชี้ไปยังกาเหล้าที่อยู่บนเก้าอี้ “ในนั้นมีกระบี่บินสองเล่ม เล่มหนึ่งออกไปแล้ว อีกเล่มหนึ่งอยู่เพื่อคอยปกป้องเจ้า หากไม่รู้จักข้า มันจะไม่ยอมเผยตัวออกมาช่วยเจ้าแบบนี้หรือ?”

ตู้อวี๋เชื่อเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น

คนผู้นั้นชำเลืองตามองมือตู้อวี๋ “เอาล่ะ แกนท้อชิ้นนั้นไร้ศัตรูทัดทานอย่างยิ่ง เทียบเท่ากับการโจมตีของเซียนดิน ถูกไหม? เอาไปขว้างใส่คนชั่วน่ะได้ แต่อย่าเอามาขู่พี่น้องกันเองเลย เรือนกายของข้าบอบบางยิ่งกว่าหนังหน้าเสียอีก อย่ากลายเป็นว่าไม่ทันระวังทำให้ข้าต้องตายเสียล่ะ เจ้าชื่ออะไร? มองดูแล้วเจ้าเองก็หน้าตาหล่อเหลา ท่าทางแข็งแรงปราดเปรียว แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องเป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน มิน่าเล่าพี่น้องของข้าถึงได้วางใจให้เจ้าช่วยเฝ้าบ้าน…เอ๊ะ? นั่นมันอะไรกัน ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน พี่น้องคนนั้นของข้ามีลูกแล้วอย่างนั้นหรือ?! ร้ายกาจจริง คนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ชวนให้คนโมโหตายได้เลย”

ตู้อวี๋รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองเริ่มแข็งทื่อนิดๆ แล้ว มารดามันเถอะ เหตุใดได้ยินคำพูดที่เรื่อยเปื่อยไร้แก่นสารของคนผู้นี้แล้วกลับดันรู้สึกว่ามีท่วงทำนองที่เป็นเอกลักษณ์เสียได้? ฟังดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนบนมรรคาของผู้อาวุโสจริงๆ นะเนี่ย?

คนผู้นั้นวิ่งเหยาะๆ มาหยุดตรงหน้าตู้อวี๋ ความคิดของตู้อวี๋ตีกันอยู่พักใหญ่ นอกจากจะกำแกนท้อในมือไว้แน่นแล้วก็ไม่ได้มีการกระทำอย่างอื่นอีก

คนผู้นั้นก็รู้อะไรควรไม่ควร เขายกม้านั่งของตู้อวี๋มาวางตรงตำแหน่งที่ห่างออกมาเล็กน้อย แล้วนั่งแปะลงไป

ตู้อวี๋นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่อย่างระมัดระวัง พูดเสียงทุ้มหนัก “ข้าชื่อตู้อวี๋ เป็นผู้ฝึกตนของตำหนักขวานผี ผู้อาวุโสบอกให้ข้าช่วยดูแลเด็กคนนี้แทนชั่วคราว”

คนที่ชื่อโจวเฝยผู้นั้นยกนิ้วโป้งให้ พูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใส “ตำหนักขวานผี ชื่อเสียงโด่งดัง ข้าเลื่อมใสมานานแล้ว!”

ตู้อวี๋ถาม “เจ้าเป็นเพื่อนของผู้อาวุโสจริงๆ หรือ?”

โจวเฝยยิ้มกล่าว “จริงแท้แน่นอน หากเป็นของปลอมยินดีคืนเงิน”

ตู้อวี๋หรือจะกล้าเชื่อทั้งหมด

โจวเฝยผู้นั้นยิ้มกล่าว “พี่น้องคนนั้นของข้าค่อนข้างชอบ..ใช้เหตุผล ทำตามกฎเกณฑ์ ใช่ไหม? อีกทั้งหลักการเหตุผลและกฎเกณฑ์พวกนี้ของเขา แรกเริ่มเจ้าต้องไม่ค่อยเห็นเป็นจริงเป็นจังสักเท่าไร รู้สึกว่ามันแปลกประหลาด ถูกไหม?”

ตู้อวี๋รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ร่างทั้งร่างที่ตึงเครียดผ่อนคลายลงโดยพลัน

ตู้อวี๋ถามอย่างสงสัย “เจ้าเคยได้ยินชื่อตำหนักขวานผีของพวกเราจริงๆ หรือ?”

โจวเฝยพยักหน้ารับ “ก็เจ้าเพิ่งจะแนะนำตัวไปไม่ใช่หรือ? มียอดฝีมืออย่างเจ้าช่วยเฝ้าพิทักษ์ที่นี่ ใจข้ารู้สึกเลื่อมใสได้อย่างรวดเร็ว ก็ไม่ใช่เรื่องปกติหรือไร?”

ตู้อวี๋ยิ้มเฝื่อน “ในเมื่อเจ้าคือสหายของผู้อาวุโส ก็แสดงว่าต้องเป็นยอดฝีมือนอกโลก ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหัวเราะเยาะข้าตู้อวี๋เลย ข้าจะเป็นยอดฝีมือได้อย่างไร”

แต่คนผู้นั้นกลับกล่าวว่า “อย่างเจ้ายังไม่ถือว่าเป็นยอดฝีมืออีกหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้อาวุโสที่เจ้าเรียก พี่น้องที่สนิทสนมของข้าคนนั้น แทบไม่เคยเชื่อใจคนนอกเลย? อืม คำว่านอกนี้ ไม่แน่ว่าอาจตัดทิ้งไปได้เลย ต้องบอกว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยเชื่อใจตัวเองสักเท่าไรถึงจะถูก ดังนั้นตู้อวี๋ ข้าประหลาดใจจริงๆ ว่าเจ้าทำอะไรไว้ หรือพูดอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้เขามองเจ้าไม่เหมือนกับคนอื่นเช่นนี้”

ตู้อวี๋ส่ายหน้า “ก็แค่ทำเรื่องเล็กๆ บางอย่างเท่านั้น เพียงแต่ท่านผู้อาวุโสมองการณ์ไกลไปเป็นพันลี้ คาดว่าคงเห็นข้อดีที่แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังสัมผัสไม่ถึง”

คนผู้นั้นอึ้งตะลึงไปนาน เงียบไปพักใหญ่ถึงเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “มารดามันเถอะ เด็กน้อยอย่างเจ้าคือศัตรูคู่อาฆาตของข้าบนมหามรรคาอย่างนั้นหรือ?”

แต่ไม่นานคนผู้นั้นก็ส่ายหน้า “ช่างเถิด จะคิดเสียว่าเจ้าคือเด็กรุ่นหลังที่เป็นคนบนเส้นทางเดียวกับข้าไปก่อนแล้วกัน”

จากนั้นคนผู้นั้นก็ลุกขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่รู้ว่าทำอย่างไรเขาถึงมายืนอยู่ด้านหน้าตู้อวี๋ได้ในชั่วพริบตา แล้วจึงเลิกมุมหนึ่งของห่อผ้าออก จากนั้นนับนิ้วคำนวณ ก่อนจะพยักหน้าพลางพึมพำกับตัวเอง “ผลกรรมเล็กๆ เอาไปด้วยก็ไม่เป็นไร จะได้ช่วยเขาลดทอนปัญหายุ่งยากเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่จำเป็นทิ้งไป ไหนเลยจะมีหลักการที่จอมยุทธพเนจรพกพาเอาเด็กกำพร้าคนหนึ่งท่องเที่ยวไปสี่ทิศ แบบนั้นจะทำให้เหล่าเทพธิดาเบิกบานใจได้อย่างไร เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าก็คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว เด็กคนนี้พอจะถือว่ามีพรสวรรค์ในการฝึกตนอยู่บ้าง หมื่นเรื่องไม่กลัว กลัวแต่ว่าจะมีเงินนี่นะ เด็กน้อย ถือว่าชาติก่อนเจ้าทำบุญมามาก ถึงได้มาเจอกับพวกเราสองพี่น้อง”

โดยไม่ทันรู้ตัว มือสองข้างของตู้อวี๋ก็เบาโหวง เด็กถูกโจวเฝยพาตัวไปแล้ว

ตู้อวี๋สะดุ้งโหยง เตรียมจะต่อสู้แลกชีวิตกับคนผู้นี้

ความเป็นความตาย เกียรติยศรุ่งโรจน์ตลอดชั่วชีวิตของเขาตู้อวี๋ รวมไปถึงความปลอดภัยของพ่อแม่และสำนัก คงต้องมอบไว้ที่ลานบ้านเล็กๆ แห่งนี้แล้ว

คนผู้นั้นกลับยิ้มเอ่ย “เอาล่ะ เดี๋ยวเจ้าก็บอกกับพี่น้องคนนั้นของข้าด้วยแล้วกัน บอกว่าเด็กน้อยคนนี้ ข้าโจวเฟยจะพาตัวไปไว้ที่แจกันสมบัติทวีปก่อน ให้เขาท่องเที่ยวอย่างสบายใจ ไม่มีทางเกิดปัญหาอะไรขึ้นแน่”

ตู้อวี๋ขอบตาแดงก่ำ จะเข้าไปแย่งตัวเด็กมา ไหนเลยจะมีเหตุผลให้เจ้าพูดว่าจะเอาไปก็เอาไปเช่นนี้!

คนผู้นั้นยืนนิ้วข้างหนึ่งมากักตัวตู้อวี๋ให้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เขาขยิบตาเอ่ยว่า “ข้าเคยได้ยินชื่อตำหนักขวานผีแล้ว แล้วเจ้าเคยได้ยินชื่อเจียงซ่างเจินหรือไม่? เจียงจากเซิงเจียงที่แปลว่าขิง ซ่างจากฉงซ่างที่แปลว่าเลื่อมใส และเจินจากเจินเจี่ยที่แปลว่าจริงเท็จ”

ตู้อวี๋เกือบจะถูกอีกฝ่ายปั่นหัวได้แล้ว เขาทั้งรู้สึกตกตะลึงและรู้สึกเดือดดาลในคราวเดียวกัน หลังจากคืนสติก็คำรามขึ้นว่า “ข้าคือท่านปู่ของเจ้าเจียงซ่างเจิน! คืนเด็กมาให้ข้า!”

คนผู้นั้นยื่นฝ่ามือมาปิดผ้าอ้อมเบาๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กน้อยสะดุ้งตื่นเพราะเสียงดัง จากนั้นก็ยกนิ้วโป้งข้างหนึ่งขึ้น “สมกับเป็นชายชาตรี เทียบกับเซี่ยเจินที่สู้เก่งแล้วยังหนีเก่ง พอจะมีมาดของข้าในปีนั้นได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ยังนับว่าร้ายกาจยิ่งกว่า พี่น้องของข้าให้เจ้าช่วยเฝ้าเรือน ถือว่าตาเขามีแววจริงๆ”

ตู้อวี๋ไม่เคยได้ยินชื่อเจียงซ่างเจินอะไรนี่มาก่อนจริงๆ

แต่ต่อมาเจียงซ่างเจินก็ทำให้เขาได้เปิดโลกกว้าง อีกฝ่ายหมุนข้อมือหนึ่งครั้ง หยิบเอาเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่เป็นสีทองเม็ดหนึ่งออกมา แล้วโยนให้ตู้อวี๋เบาๆ มันก็มาวางอยู่บนศีรษะของตู้อวี๋โดยที่ไม่กระเด้งกระดอนได้อย่างพอดิบพอดี “ในเมื่อเป็นยอดฝีมือสำนักการทหารคนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็มอบเสื้อเกราะจินอูที่สอดคล้องกับสถานะของยอดฝีมือให้เจ้าหนึ่งชิ้น”

และท่ามกลางอาการปากอ้าตาค้างของตู้อวี๋ คนผู้นั้นก็ใช้สายตาเวทนามองเขา “ตำหนักขวานผีของพวกเจ้าต้องไม่มีเทพธิดาที่หน้าตาดีแน่นอน ข้าไม่ได้พูดผิดใช่ไหม?”

หัวสมองของตู้อวี๋ว่างเปล่าขาวโพลน

เพราะคนผู้นั้นหายตัวไปทั้งอย่างนั้น

เงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง

เสียงดีดนิ้วดังขึ้นหนึ่งครั้ง ร่างของตู้อวี๋ก็ส่ายโงนเงน มือเท้ากลับคืนมาเป็นปกติ

เขาเอามือไปคว้าจับเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารสีทองเม็ดนั้น ค่อนข้างจะหนัก

นี่คืออะไรกัน

ตู้อวี๋รู้สึกเหมือนฝันไป

เพราะถึงอย่างไรโชคและเคราะห์ก็ยากจะคาดเดา ต่อให้ในมือถือสมบัติหนักเอาไว้ แต่เขาก็ยังกระวนกระวายใจอย่างอดไม่ได้

……

ทางฝั่งของวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋น อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบเป็นคนแรกที่ตกใจจนหน้าเผือดสี “แย่แล้ว!”

เย่หานและฟ่านเหวยหรานหันมามองหน้ากัน

จากนั้นถึงเป็นเยี่ยนชิงที่พลันเงยหน้าขึ้นมองไปทางประตูใหญ่

เหอลู่ที่มองนางด้วยรอยยิ้มตลอดเวลามองตามสายตาของเยี่ยนชิงไป ถึงได้หันไปเห็นด้านนอกประตูใหญ่

อันดับแรกก็เป็นตลอดทั้งวังมังกรที่เริ่มส่ายไหวอย่างรุนแรง

จากนั้นชุดขาวขี่กระบี่ก็ทะยานมาถึง เห็นเพียงว่ามือข้างหนึ่งของเขาถือฝักกระบี่ พอพลิ้วกายลงบนพื้นแล้วก็เดินก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูของวังมังกรเข้ามา กระบี่ยาวสอดกลับเข้าฝักด้วยตัวเอง

สุดท้ายถึงได้เป็นเสียงที่ราวกับฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิซึ่งดังตามหลังมาเป็นระลอก คนผู้นี้ถึงขั้นสามารถสลัดเสียงนั้นไว้ด้านหลังห่างไปไกล

ใบหน้าของเซียนกระบี่ชุดขาวมีรอยยิ้มประดับ ฝีเท้าไม่หยุดนิ่ง มือจับด้ามกระบี่แล้วผลักไปด้านหน้าเบาๆ เหวี่ยงกระบี่ยาวให้ออกมาจากฝัก พลิกมือหมุนหนึ่งครั้ง ปลายกระบี่ก็ปักตรึงลงไปบนพื้นดินของวังมังกร ตัวกระบี่เอนเอียง ปักคาอยู่บนพื้นดินอย่างนั้น

ในขณะที่คนผู้นั้นยืนนิ่งได้อย่างสง่างาม ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวโพลนเหมือนหิมะสองข้างยังคงโบกไสว เขาเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งผายไปยังกระบี่ที่อยู่บนพื้น ทุกคนได้ยินเพียงว่าเขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เชิญทุกท่านดึงไปได้ตามสบาย”

แต่ประโยคถัดมากลับทำให้จิตใจคนหนาวเยือกได้ยิ่งกว่าประโยคแรก “หากดึงกระบี่ไปไม่สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นก็ทิ้งหัวเอาไว้”

ทว่าประโยคที่สามกลับทำให้เส้นเอ็นที่ขึงตึงในใจของทุกคนคลายตัวลงได้เล็กน้อย

นอกจากเด็กหนุ่มบางคนที่สวมเสื้อขาวเหมือนกันอย่าง เหอลู่

“เหอลู่มาก่อน”

—–