ภาคที่ 38 เจ้าดินแดนเสวี่ยอิง ตอนที่ 33 ตำรา

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ภายในห้องโถงแห่งหนึ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งประจันหน้ากันกับบุรุษเส้นผมสีฟ้าเข้มคนหนึ่ง บุรุษผู้นี้เส้นผมยุ่งเหยิง หนวดเคราบนใบหน้าดกเฟิ้ม เพียงแต่ว่าดวงตาทั้งคู่กลับประหนึ่งว่าแฝงเอาไว้ด้วยเชาวน์ปัญญาอันไร้ที่สิ้นสุด บริเวณหว่างคิ้วของเขามีรอยแยกอันหนึ่ง ซ่อนเร้นตาดวงที่สามเอาไว้

“จ้าวหิมะเหินมาพบข้า ช่างหาได้ยากยิ่งนัก” บุรุษเส้นผมสีฟ้าเข้มพูดพลางยิ้มน้อยๆ

“จ้าวเลี่ยซี” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “วันนี้ข้ามาที่นี่ก็เพราะอยากจะเห็นตำราการบำเพ็ญของจ้าวเลี่ยซี”

ผู้แกร่งกล้าสามพันกว่าคนของเมืองเมฆาแดง

ผู้ตระหนักวิถีที่แท้จริงนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย! ส่วนใหญ่แล้วภายในร่างกายล้วนแฝงไว้ด้วยสายโลหิตคละถิ่น จึงมาถึงระดับขั้นเช่นนี้ได้ ส่วนผู้ที่เชี่ยวชาญ ‘สายห้วงอากาศ’ ในบรรดาผู้ตระหนักวิถีนั้นก็มีอยู่น้อยเสียจนน่าอนาถ

ในบรรดาสุดยอดผู้แกร่งกล้าหลายสิบคนของเมืองเมฆาแดง ‘ผู้ตระหนักวิถีระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์’ ที่เดินทางสายห้วงอากาศก็มีอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น…จ้าวเลี่ยซี!

ในบรรดาผู้ตระหนักวิถีระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย ผู้ที่เดินทางสายห้วงอากาศ ก็มีอยู่เพียงแค่แปดคนเท่านั้น!

“เคล็ดวิชาเทียนเหอแปดโคจร เป็นความสำเร็จสูงสุดในการบำเพ็ญของข้าจริงๆ อาศัยสิ่งนี้ ข้าจึงบำเพ็ญสำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่น” จ้าวเลี่ยซีพยักหน้า “ตำราการบำเพ็ญพรรค์นี้ ข้าก็ไม่มีทางเผยแพร่สู่ภายนอกอย่างง่ายๆ แน่นอน”

“ต้องการเงื่อนไขเช่นไร จ้าวเลี่ยซีเชิญพูดมาได้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“หากเป็นผู้อื่นมาขอ ข้าก็ไม่มีทางสนใจอย่างแน่นอน แต่ข้ายังต้องไว้หน้าจ้าวหิมะเหินอยู่” จ้าวเลี่ยซีโบกมือแล้วโยนตราสัญลักษณ์ไม้อันหนึ่งออกไป หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงรับมาแล้วก็รับสัมผัสข้อมูลที่แฝงอยู่ในตราสัญลักษณ์ไม้ทันที

ปัง…

ข้อมูลจำนวนมหาศาลพรั่งพรูเข้าสู่ห้วงสมอง

เคล็ดวิชาเทียนเหอแปดโคจรเป็นเคล็ดวิชาของระดับร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอันสมบูรณ์เพียงหนึ่งเดียวที่ตงป๋อเสวี่ยอิงได้รับ

ในความเป็นจริงแล้วเคล็ดวิชาเจ็ดกระบวนคละถิ่นที่หยวนมอบให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนั้น มิได้มอบเคล็ดวิชาบำเพ็ญสำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นให้ ก็เพราะเหตุนี้… บนเส้นทางที่มุ่งหน้าไปสู่สิ่งมีชีวิตคละถิ่น ก็จำเป็นต้องให้ตนไปบุกเบิก! ตนไปบุกเบิกเอง เช่นนั้นจึงจะได้ครอบครองอย่างแน่นอน อย่างเช่นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดเหล่านั้น ถึงแม้ว่าเกิดมาก็แฝงไว้ด้วยกฎเกณฑ์คละถิ่นอยู่แล้ว แต่ก็ย่อมไม่มีทางแสดงพลังยุทธ์ของตนออกมาได้มากมายสักเท่าใดนัก

ร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นไม่สามารถศึกษาผู้อื่นได้!

ศึกษาแล้ว เช่นนั้นก็ผิดเสียแล้ว!

นี่ก็คือเหตุผลที่ ‘จักรพรรดิเซี่ย’ และ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ แยกทางกันเดินในตอนนั้น พวกเขาต่างก็มีทิศทางที่แต่ละคนเชื่อมั่น

เคล็ดวิชาเทียนเหอแปดโคจรก็เป็นทิศทางหนึ่ง ซึ่งเป็นทิศทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับตงป๋อเสวี่ยอิง

เคล็ดวิชาเทียนเหอแปดโคจร…

ตอนแรกสุด เป็นเคล็ดค่ายกล!

จ้าวเลี่ยซีเชี่ยวชาญเคล็ดค่ายกลเป็นที่สุด เขาอาศัยเคล็ดค่ายกลวิวัฒน์เป็นอากาศ! ต่อมาเคล็ดค่ายกลของเขากลายเป็นเทียนเหอ ซึ่งก็คือเทพจักรวาลขั้นสุดยอดที่สมบูรณ์! ทุกการโคจรของเทียนเหอล้วนราวกับการยกระดับของโลก เคล็ดวิชาเทียนเหอแปดโคจร ถึงขนาดที่สัมผัสถึงความเร้นลับของส่วนประกอบมิติคละถิ่นบางอย่างได้เลยทีเดียว

“เคล็ดวิชาเทียนเหอแปดโคจรนี้มีส่วนประกอบมากมาย รู้สึกว่าเมื่อเปรียบเทียบกันกับส่วนประกอบโลกกำเนิดแห่งหนึ่งแล้วก็มิได้น้อยไปกว่ากันสักเท่าไหร่เลย เพียงแต่หยาบกระด้างกว่าอยู่พอสมควร” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ ส่วนประกอบโลกกำเนิดก็ไม่นับว่าซับซ้อน แต่ยิ่งหยั่งรู้ไปก็จะยิ่งรู้สึกว่าส่วนประกอบโลกกำเนิดนั้นละเอียดลออเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าส่วนประกอบของมันจะไม่ซับซ้อนแต่กลับสมบูรณ์แบบเป็นที่สุด แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอที่สุดก็ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ภายในนั้นได้

ต้องรู้ไว้ว่า เช่นที่โลกอสนีบาตและโลกทิพย์ ผู้ที่พลังยุทธ์อ่อนแอสักหน่อยย่อมไม่มีทางดำรงชีวิตอยู่ได้เลย

โลกกำเนิด

ตั้งแต่มดปลวกตัวเล็กจ้อยอ่อนแอ หรือแม้กระทั่งหนอน ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ล้วนสามารถเข้าไปได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ถูกกดดันพลังยุทธ์เท่า

“ต้องขอบคุณจ้าวเลี่ยซีแล้ว ถ้าหากจ้าวท่านมีอะไรต้องการจะให้ข้าช่วยเหลือ ก็เชิญบอกมาได้ทั้งสิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด เพราะว่าทุกคนล้วนมีเส้นทางที่แตกต่างกัน อย่างน้อยตนเองสามารถหยั่งรู้และซึมซับ ผสานรวมเข้าสู่เส้นทางของตนเองได้

“ล้วนเป็นเส้นทางวิถีอากาศทั้งสิ้น ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเถิด ถ้าหากจ้าวหิมะเหินก็ไปถึงร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเช่นเดียวกัน ข้าก็ยังต้องรบกวนให้จ้าวหิมะเหินนำเอาเคล็ดการบำเพ็ญที่คิดค้นได้มาให้ข้าศึกษาสักหน่อยเช่นกัน” จ้าวเลี่ยซีพูด

“นี่เป็นสิ่งที่สมควรอยู่แลว้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“ยังมีคำขออีกอย่างหนึ่ง ก็หวังว่าจ้าวหิมะเหินจะรับปากได้เช่นกัน” จ้าวเลี่ยซีพูด

“เชิญว่ามาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยวาจา

“ข้ารู้ว่าบรรพชนงูเก้าเศียรเชิญให้จ้าวหิมะเหินเข้าร่วมกองกำลังของเขา ไปล่าสังหารนักโทษคละถิ่น ‘เจ้าภูเขาน้ำแข็งเงียบงัน’ ด้วยกัน” จ้าวเลี่ยซีพูด “คิดว่านอกจากหัวใจและหยาดโลหิตแล้ว ในท้ายที่สุดก็ต้องยกซากให้กับจ้าวหิมะเหินแน่นอน ข้าพูดถูกต้องหรือไม่”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวใจสั่นสะท้านพลางพยักหน้าน้อยๆ มิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด

จ้าวเลี่ยซีเอ่ยว่า “ข้าหวังว่าข้าจะสามารถหยั่งรู้ซากนักโทษคละถิ่นซากนี้ด้วยกันกับจ้าวหิมะเหินได้ กำหนดเวลาเอาไว้ที่หนึ่งร้อยล้านปีก็พอ ได้หรือไม่เล่า”

“หยั่งรู้ด้วยกันหรือ หนึ่งร้อยล้านปีอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงไตร่ตรองเล็กน้อยอยู่ชั่วครู่ แต่จ้าวเลี่ยซีกลับกระวนกระวายอยู่บ้าง

สำหรับพวกเขาผู้ตระหนักวิถีแล้ว การหยั่งรู้ซากนักโทษคละถิ่นนั้นเป็นความหลงใหลอันยิ่งใหญ่

“ได้สิ พอถึงเวลาท่านกับข้าก็มาหยั่งรู้ด้วยกัน ก็สามารถพิสูจน์ยืนยันซึ่งกันและกันได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า เพียงแค่หนึ่งร้อยล้านปีเท่านั้น เขาสามารถรับปากได้อยู่แล้ว

……

ก็มีเพียงแค่ทางฝ่ายจ้าวเลี่ยซีนี้เท่านั้นที่เสนอเงื่อนไขออกมามากสักหน่อย ส่วนผู้ตระหนักวิถีระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายทางสายห้วงอากาศคนอื่นๆ ของเมืองเมฆาแดงอีกแปดท่าน ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นเป็นผู้เริ่มเสนอออกไปก่อน แลกเปลี่ยนด้วยซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์สองตน แปดท่านนี้แต่ละคนต่างก็เปรมปรีดิ์กันเป็นอย่างยิ่งแล้ว และเต็มใจผูกไมตรีกับตงป๋อเสวี่ยอิง ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ตำราเล่มอื่นอีกแปดเล่มมาอย่างง่ายดาย

ตำราแปดเล่มนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นทิศทางอื่น แต่ก็มีประโยชน์ในการใช้อ้างอิงได้เช่นกัน

อ้างอิงตำราวิถีอากาศเก้าเล่ม…ในการหยั่งรู้และซึมซับ

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หยั่งรู้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นยี่สิบเอ็ดชนิด

จากนั้นในวันเวลาต่อมา ก็ไปทำการทดสอบกับผู้บำเพ็ญคนแล้วคนเล่า! เหล่าผู้แกร่งกล้าของเมืองเมฆาแดงก็ยังไว้หน้าตงป๋อเสวี่ยอิง การทดสอบแต่ละครั้ง ถึงแม้ว่าจะพิสูจน์ท่ามกลางการต่อสู้ ถึงแม้ว่าจะมิได้เอาเป็นเอาตายจริงๆ เหมือนกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่น แต่การทดสอบเรียนรู้ซึ่งกันและกันกับเหล่าผู้บำเพ็ญ ลูกไม้ของเหล่าผู้บำเพ็ญก็ยิ่งทวีความแปลกประหลาดยากคาดเดามากยิ่งขึ้น

พวกเขามาจากโลกที่แตกต่างกัน ก็มีบ้างที่เคล็ดวิชาที่เชี่ยวชาญทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงปากอ้าตาค้างอย่างแท้จริง

******

ตำราเก้าเล่ม การหยั่งรู้ซากศพ และการทดสอบเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

ยิ่งตงป๋อเสวี่ยอิงสั่งสมอย่างแน่นหนายิ่งขึ้น เคล็ดฝึกกายคละถิ่นของเขาก็ปรับปรุงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ฟิ้ว…”

พายุคลั่งพัดกรรโชก หิมะหนักปลิวว่อน

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งมองเกล็ดหิมะปลิวว่อนอยู่ในศาลาตามลำพัง

“การจะสำเร็จเป็นร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นนั้นยากลำบากเพียงใด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

ถึงแม้ว่าจะสั่งสมอย่างแน่นหนายิ่งขึ้น แต่วิถีอากาศและวิถีเขตลวงโลกเทียมก็ยังไปไม่ถึงจุดที่ตนต้องการ ยังห่างจากระดับร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่พอสมควร การที่ร่างกายจะมีเสถียรภาพอย่างสมบูรณ์นั้นก็ยังยากยิ่งที่จะทำได้สำเร็จ! ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ กระบวนท่าที่สามที่ตนคิดค้นก่อนหน้านี้ล้ำเลิศเพียงพอแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีหยาดน้ำพันเนตร ก็ยังคงยากที่จะคิดค้นกระบวนท่าที่สี่ออกมาได้เช่นเดิม

“โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ผ่านไปถึงสามแสนล้านปีแล้ว ต้องออกไปแล้วล่ะ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้มน้อยๆ พลางหันหน้ามองไปทางมุมทางเดินที่อยู่ไกลออกไป

ที่มุมทางเดินมีชายหนุ่มศีรษะล้านรูปโฉมหล่อเหลาคนหนึ่งเดินมา ซึ่งก็คือ ‘บรรพชนงูเก้าเศียร’ หนึ่งในสามเจ้าเมืองของเมืองเมฆาแดงนั่นเอง!

“ท่านเจ้าเมืองเก้าเศียร” ตงป๋อเสวี่ยอิงลุกขึ้น

“น้องหิมะเหินบำเพ็ญเป็นอย่างไรบ้าง” บรรพชนงูเก้าเศียรพูดยิ้มๆ “ตอนนี้เหมาะสมที่จะออกไปล่าสังหารนักโทษคละถิ่นแล้วกระมัง”

“นับตั้งแต่สัญญากับท่านเจ้าเมืองเก้าเศียรจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาสามแสนล้านปีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ท่านเจ้าเมืองเก้าเศียรให้ข้าบำเพ็ญให้มากหน่อยจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไร เมื่อท่านเจ้าเมืองเก้าเศียรเรียกตัว ข้าก็จะออกเดินทางในทันที”

“ตั้งแต่ครบเวลาสามแสนล้านปี ข้าก็ส่งคนมาตรวจสอบอยู่ตลอด ถึงตอนนี้จึงได้ค้นพบว่าเจ้าภูเขาน้ำแข็งเงียบงันออกตระเวนอีกครั้ง” บรรพชนงูเก้าเศียรพูด “เมื่อค้นพบว่าเขาออกตระเวน ข้าก็มาพบน้องหิมะเหินทันทีเลย”

……………………