ตอนที่ 693 ทองบริสุทธิ์ Ink Stone_Fantasy
ถ้ำของวานรขาวน่าจะถูกก่อสร้างขึ้นมาใหม่จากถ้ำหินปูนในภูเขา ตำแหน่งที่เยี่ยเทียนยืนอยู่ ก็คือห้องนอนของเขา มีพื้นที่ที่กว้างใหญ่มาก ดูแล้วน่าจะมีขนาดสี่ห้าสิบตารางเมตร
แต่ภายในพื้นที่ที่กว้างขวางขนาดนี้ กลับมีสิ่งของวางอยู่เต็มไปหมด
นอกจากเตียงหินหนึ่งตัวกับชุดโต๊ะเก้าอี้หินหนึ่งชุดแล้ว บนผนังหินที่สูงจากพื้นประมาณแปดสิบเซ็นติเมตรที่อยู่ภายในถ้ำ ถูกเจาะรูเข้าไปประมาณหนึ่งเมตรเห็นจะได้ และมีสิ่งของยัดอยู่ภายในเต็มไปหมด
เพียงแต่สิ่งของที่ถูกวานรขาวเก็บสะสมเป็นดั่งของล้ำค่านั้น ในสายตาของเยี่ยเทียนแล้วกลับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ของเล่นพวกนั้นมีหม้อ ชาม ทัพพี ช้อน ที่ใช้ในการแคมป์ปิ้งหรือปิกนิคของมนุษย์ มีสีที่ใช้ทา แผ่นปิดกระดาษเขียนภาพที่ใช้วาดภาพแบบพื้นบ้าน แล้วก็ยังมีขวดแก๊ส กระป๋องออกซิเจน เต็นท์ เครื่องเล่นเกมแบบพกพา เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของผู้ชายและผู้หญิง กระทั่งยังมีกล่องแต่งหน้าของผู้หญิงอีกด้วย
สิ่งของเหล่านี้ในสายตาของเยี่ยเทียนไม่ต่างอะไรกับขยะ แต่กลับถูกวานรขาวเก็บสะสมเสียอย่างนั้น นอกจากนี้จากตำแหน่งที่มันจัดวางไว้ เห็นได้ชัดว่าได้มองสิ่งของพวกนี้เป็นเหมือนของล้ำค่า
“อย่าขยับของที่อยู่ข้างบนนะ ถ้าพังขึ้นมาเจ้าต้องชดใช้”
เสียงของวานรขาวดังมาจากบนเตียงหิน ดูเหมือนมันจะนอนหลับแล้ว แต่ความจริงมันกำลังคอยจับสังเกตเยี่ยเทียนอยู่ เพราะกลัวว่าเจ้าหนุ่มที่มีพลังยุทธที่ต่ำมากจะทำลายข้าวของของตัวเอง
“ได้ ของรักของท่านผมไม่กล้าแตะต้องครับ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน จู่ๆ ก็ถูกดึงดูดความสนใจไปที่กำแพง แสงสว่างที่อยู่ในห้องนี้ ราวกับมีต้น กำเนิดมาจากตรงนั้น
“ไข่มุกราตรี?”
เมื่อเยี่ยเทียนเดินเข้าไปใกล้แล้วจึงพบว่า ที่แท้ก็มีไข่มุกราตรีขนาดเท่ากำปั้นของมนุษย์ฝังอยู่ในผนังแห่งนี้ แผ่กระจายแสงสว่างเรืองรองราวกับแสงไฟก็ไม่ปาน
ถึงแม้ในยุคปัจจุบัน ไข่มุกราตรีจะถูกกำหนดให้มีลักษณะเป็นหินเรืองแสงธรรมชาติชนิดหนึ่ง แต่ไข่มุกราตรีที่เกลี้ยงเกลากลมดิกเป็นมันขลับทั้งอันแบบนี้ ถือได้ว่าเป็นของล้ำค่าที่มีน้อยและหายาก
“ในถ้ำของนายท่านมีไข่มุกพวกนั้นเยอะแยะ แต่ให้ข้าแค่อันเดียว ไม่อย่างนั้นจะมอบให้เจ้าก็ไม่เลวเหมือนกัน!” ดูเหมือนเจ้าลิงจะกลัวว่าเยี่ยเทียนจะแย่งของรักของเขา แต่กลับใจกว้างกับของชิ้นนี้
“น้ำใจของท่านผู้อาวุโสผมรับไว้แล้ว แต่ผมไม่ต้องการของพวกนี้หรอก”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ถึงอย่างไรไข่มุกราตรีก็เป็นแค่ของประดับตกแต่ง และถึงแม้ของพวกนี้จะมีน้อย แต่ก็ยังสามารถใช้เงินซื้อได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยสนใจมันเท่าไร
เมื่อมองดูภายในถ้ำมานานครึ่งค่อนวัน นอกจากไข่มุกราตรีแล้ว ก็ไม่มีของสิ่งใดที่ดึงดูดสายตาของเยี่ยเทียนได้ เขาวิ่งเหนื่อยมาทั้งวัน พอตกเย็นก็ยังต้องเจอเรื่องที่น่าตื่นเต้นขนาดนี้ จากนั้นเยี่ยเทียนจึงเดินตรงไปที่ที่ห่างจากเตียงหินไม่ไกล และเตรียมตัวจะนั่งโคจรลมปราณพักผ่อน
“เอ๊ะ? เจ้าสิ่งนี้ดูแปลกจัง!”
เยี่ยเทียนเพิ่งจะนั่งขัดสมาธิบนพื้น แล้วดวงตาจึงมองเห็นกระบองเหล็กสีดำสนิททั้งแท่ง ความยาวประมาณหนึ่งเมตรแปดสิบเซ็นติเมตรตั้งอยู่ตรงหัวเตียง
กระบองเหล็กอันนี้ดูเหมือนจะไม่สะดุดตาเท่าไร แต่ตอนนี้เวลาเยี่ยเทียนเห็นของสิ่งใดก็มักจะใช้พลังจิตสำรวจด้วยความเคยชิน จึงทำให้เขาดูออกว่าถึงความแตกต่าง เพราะว่าในกระบองเหล็กนี้ แฝงไปด้วยคลื่นปราณวิเศษที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่ง
สิ่งของที่สามารถแฝงเร้นปราณวิเศษได้ โดยทั่วไปแล้วจะเรียกว่าเครื่องราง แล้วผลที่เกิดจากเครื่องรางก็แทบไม่เหมือนกัน
เหมือนกับเข็มทิศที่เยี่ยเทียนได้รับจากการสืบทอดมาจากอาจารย์เพื่อใช้ทำนายโชคชะตา ดูฮวงจุ้ยและลักษณะชัยภูมิ มีดสั้นอู๋เหินที่เยี่ยเทียนพกติดตัวไว้ตลอดเวลากับง้าวจันทร์เสี้ยวที่วางอยู่ในค่ายกลชุมนุมพลังที่ฮ่องกง ก็มีผลแค่ใช้ในการฆ่าเท่านั้น
แต่ของสิ่งพวกนั้นหากต้องเทียบกับกระบองเหล็กที่อยู่ตรงหน้านี้ มันเหมือนกับแสงไฟริบหรี่กับแสงของพระอาทิตย์ก็ไม่ปาน ปราณวิเศษที่แฝงอยู่ข้างในของพวกมันมีน้อยมากจนแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย
“ท่านผู้อาวุโส กระบองเหล็กที่อยู่ตรงหน้าเตียงของท่านเป็นของอะไรครับ?”
เมื่อสำรวจอยู่นาน สุดท้ายเยี่ยเทียนก็ทนความสงสัยอยากรู้ที่อยู่ในใจไม่ได้ จึงถามขึ้นมาเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะมองว่าวานรขาวตัวนี้มีนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็เป็นอาจารย์ เพียงแค่ตัวเองถาม เขาจะต้องได้รับคำตอบอย่างแน่นอน
“ก็กระบองเหล็กไง เจ้าสามารถเอามาเล่นได้!”
เยี่ยเทียนไม่เห็นสายตาเยาะเย้ยที่เผยออกมาจากดวงตาของวานรขาว ที่กำลังนอนหลับอยู่บบนเตียง
“ครับ!” เมื่อได้ยินวานรขาวบอกให้เขาสัมผัสได้ เยี่ยเทียนจึงอดดีใจขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปที่กระบองเหล็กที่อยู่ข้างเตียง ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปแล้วจับท่อนหนึ่งของกระบองเหล็ก
“หืม? หนักขนาดนี้เชียว?” เยี่ยเทียนใช้แรงจากมือขวาเล็กน้อย แต่กลับพบว่ากระบองเหล็กนั่นเหมือนกับหยั่งรากลึกไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว
“ยกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
เยี่ยเทียนใส่พลังทั้งหมดไปที่มือขวา พร้อมกับคำรามเสียงออกมาจากปาก แต่กระบองเหล็กก็ยังไม่ขยับเหมือนเดิม ราวกับว่าพลังของเยี่ยเทียนไม่มีผลอะไรกับมันเลยสักนิดเดียว ในขณะเดียวกัน หูของเยี่ยเทียนก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของวานรขาว
“เหอะ คิดว่าข้าจะหยิบไม่ขึ้นเรอะ?”
ด้วยวรยุทธที่ต่ำมาก ถูกวานรเยาะเย้ยก็ยังไม่เป็นไร ถึงปราณชีวิตแท้ของเยี่ยเทียนจะหายไปหมดแล้ว แต่แขนทั้งสองข้างก็ยังมีพลังมหาศาล ถ้าหากแม้แต่กระบองเหล็กยังยกไม่ขึ้น แบบนั้นเขาก็ต้องเสียหน้ามาก
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนจึงได้แต่ใช้ทั้งสองมือจับไปที่กระบอง แล้วออกแรงพร้อมกัน ครั้งนี้กระบองขยับแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนขยับ ทว่ามันเอียงลงไปที่พื้น
“เคร้ง!” เกิดเสียงดังกังวาน และบนพื้นของหินปูนก็ถูกกระบองเหล็กทุบจนเป็นรอยบุ๋มลงไป ทำเอาเยี่ยเทียนอ้าปากค้าง ถ้าหากเขาหลบไม่ทัน เกรงว่ากระบองเหล็กนี้จะทับชีวิตน้อยๆ ของเขาไปแล้ว?
“ฮ่าๆๆ!” เสียงหัวเราะของวานรขาวดังขึ้นภายในถ้ำ มันแสร้งทำเป็นหลับไม่ได้อีกต่อไป แล้วจึงขำกลิ้งลงมาจากเตียง
“ท่านผู้อาวุโส นี่มันคืออะไรกันแน่ ทำไมถึงหนักขนาดนี้?”
กระบองเหล็กยาวประมาณหนึ่งเมตรแปดสิบเซนติเมตร มีขนาดหนาเท่าไข่ห่าน จากการคำนวณของเยี่ยเทียน มากสุดก็ไม่น่าจะเกินหกเจ็ดสิบชั่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง ว่าน้ำหนักของมันนั้นไกลเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก
ฮิๆ นี่คืออาวุธของข้า!
สำหรับการแกล้งเยี่ยเทียนได้สำเร็จ ทำให้วานรขาวสบอารมณ์เป็นอย่างมาก แล้วจึงวิ่งอุตลุดลงมาจากเตียงหิน พลางยื่นมือไปจับกระบองเหล็กไว้ในมือ จากนั้นก็ชูมือโบกกระบองเหล็กไปมา
“อย่า ท่านผุ้อาวุโส ท่านวางมันลงเถอะ”
วานรขาวก็แค่ควงกระบองเหล็กไปรอบตัวนิดหน่อย เยี่ยเทียนก็รู้สึกถึงพลังพิฆาตที่ส่งออกมาจากกระบองนั่น กระตุ้นผิวหนังของเขาทำให้รู้สึกเจ็บขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านผู้อาวุโส มันคือเครื่องรางหรือ? แล้วมันทำมาจากวัสดุอะไร?”
กระบองเหล็กนี้ดำสนิทดูแล้วไม่สะดุดตาเลยสักนิด แต่พอผ่านการกระทำเมื่อครู่ เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าดูถูกมันอีก
“ถือว่าเป็นเครื่องราง แต่ต่างจากมีดเล่มเล็กที่อยู่ในกระเป๋าของเจ้า” วานรนำกระบองเหล็กวางลงบนพื้นทันที ทำให้ตัวของกระบองสั้นลงไปหนึ่งนิ้ว เพราะมันได้ถูกเสียบเข้าไปอยู่ในพื้นหินนี้
เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของเยี่ยเทียน วานรขาวจึงพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ของสิ่งนี้มีทองบริสุทธิ์หนึ่งร้อยกว่าชั่งผสมอยู่ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่หนักขนาดนี้”
“ทองบริสุทธิ์? นั่นคืออะไรครับ? ทองคำเหรอ?” เมื่ออยู่ต่อหน้าวานร เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ มีชื่อมากมายที่เขาฟังไม่เข้าใจ
“มันกลั่นมาจากทองคำ ทองคำหนึ่งพันกิโลกรัม จะกลั่นทองคำบริสุทธิ์ได้ห้ากิโลกรัมมั้ง?”
“หนึ่งพันกิโลกรัมกลั่นทองคำบริสุทธิ์ได้ห้ากิโลกรัม?”
เยี่ยเทียนได้ยินแล้วตาแทบถลน “ถ้างั้น…ถ้างั้นเครื่องรางนี้ต้องใช้ทองคำถึงยี่สิบตันเหรอ?”
เดิมทีเยี่ยเทียนคิดว่าตัวเองเป็นคนมีเงินแล้ว แต่ราคาของกระบองเหล็กนี้ มากเกินกว่าฐานะของเขาเสียอีก ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกโจมตีอย่างแรง
เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียน วานรขาวจึงพูดอย่างไม่เห็นด้วย “นายท่านไม่อนุญาตให้ข้าก่อเรื่องในเขตแดนเสินโจว เจ้านี่ข้าไปเอามาจากประเทศพะอะไรเนี่ยแหละ”
ตอนนั้นวานรขาวอยากให้นายท่านช่วยทำอาวุธให้เขา ดังนั้นเขาจึงแอบไปพม่าแล้วขุดทองคำมาจากเหมืองแร่ทองคำสี่ห้าแห่ง จากนั้นจึงกลั่นพวกนี้ออกมา ซึ่งต้องเสียพละกำลังไปมากโขทีเดียว
“บ้าจริง เจ้าวานรตัวนี้เป็นญาติสนิทกับซุนหงอคงหรือไง? ถึงได้ใช้อาวุธเหมือนกัน”
หลังจากได้ยินคำพูดของวานรขาวแล้ว เยี่ยเทียนจึงหมดซึ่งคำพูดจริงๆ เขาโตมาขนาดนี้ยังคิดไม่ถึงเลย ว่าตัวเองจะสงบเสงี่ยมเวลาที่อยู่ต่อหน้าลิงตัวหนึ่ง
เมื่อฟังเรื่องราวหลังจากนี้แล้ว เยี่ยเทียนจึงคิดที่จะสำรวจถ้ำอีกครั้ง เพราะมีเรื่องที่คนอยากโจมตีคนอย่างเขามีมากเหลือ เกิน จากนั้นเขาจึงส่ายหน้าแล้วกลับไปนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณที่เดิม
“เจ้าก็ดูขยันดีนะ แต่วรยุทธสูญสิ้นหมดแล้ว แถมยังไม่เข้าใจการฝึกจิตดั้งเดิมอีก แบบนี้ผลจากการนั่งโคจรลมปราณจึงไม่ดี!”
เช้าวันที่สอง ตอนที่เยี่ยเทียนลืมตา ก็พบวานรขาวกำลังมองตัวเองอยู่
“ท่านอาวุโส ที่นี่เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิเศษ เหมาะสมต่อการฝึกวรยุทธจริงๆ!”
เยี่ยเทียนลุกขึ้น พร้อมกับสายตาที่แสดงความตกตะลึงและประหลาดใจ ปราณวิเศษที่แน่นขนัดอยู่ภายในถ้ำ ไม่ต่างกับค่ายกลชุมนุมพลังที่ฮ่องกงเลย แค่นั่งโคจรลมปราณผ่านไปหนึ่งคืน ความเหนื่อยล้าของเมื่อวานก็ฟื้นฟูกลับมาทั้งหมด
วานรขาวเชิดคาง แล้วพูดอย่างได้ใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ค่ายกลแห่งฟ้าดินไม่ได้แค่จัดวางเอาไว้เฉยๆ ข้าก็แค่ยืมปราณวิเศษมาจากที่นั่นนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
“ยืมปราณวิเศษ? ท่านอาวุโส ใครเป็นคนสร้างค่ายกลนั่นครับ?” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงตกตะลึง เพราะเรื่องนี้ดูแปลกๆ ยังไงพิกล เจ้าลิงไม่พบปะกับคนภายนอก แล้วใครเป็นคนสร้างค่ายกลนี้ขึ้นมากันแน่?
“อันนี้…ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูจากลักษณะแล้ว เหมือนจะเป็นนายท่าน!” เจ้าลิงเอามือลูบแก้มทั้งสองข้าง พร้อมกับสายตาที่เผยความฉงนสนเท่ห์ออกมา
ที่แท้เมื่อสามปีก่อน มีเศรษฐีในประเทศจีนคนหนึ่งได้ทำการพัฒนาหมู่บ้านมู่อวี๋ สร้างเส้นทางภูเขาเข้าไปในแท่นบูชาที่สองแห่งฟ้าดิน
ตอนนั้นวานรขาวก็สงสัยไม่หยุด และยังเคยไปแอบฟังที่บ้านพักของเศรษฐีคนนั้นอยู่สองสามวัน แต่กลับได้ยินเพียงแค่ว่าคนอื่นไหว้วานให้สร้างค่ายกลนี้ขึ้นมา ส่วนเป็นใครนั้นเจ้าลิงก็ไม่รู้แล้ว
ทว่าจากการคาดเดาของเจ้าลิง ด้วยความสามารถที่จะสร้าง เสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) ได้แบบนี้ เกรงว่าคงจะมีแต่นายท่านคนก่อนของมันเท่านั้น นักบวชชาวลัทธิเต๋าคนอื่นๆ ต่างก็มีถ้ำเป็นของตัวเอง จึงไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้
เจ้าลิงไม่มีความอดทน พอใช้ความคิดแล้วคิดไม่ออกก็เกิดความว้าวุ่นใจ จากนั้นจึงยื่นมือไปจับกระบองเหล็กขึ้นมาทันที แล้วพูดว่า “ไป ข้าจะพาเจ้าไปตลาด”
“ครับ จะได้เปิดหูเปิดตากับท่านผู้อาวุโสบ้าง!”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ถึงแม้การเดินทางครั้งนี้จะไม่สามารถหาวิธีการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าได้ แต่ก็ได้รู้จักการแบ่ง แยกขอบเขตของการฝึกฝน ทำให้เยี่ยเทียนได้รับประโยชน์มากมาย
สถานที่ที่วานรขาวอาศัยอยู่ดูเหมือนจะอยู่ไม่ไกลจากตลาดมากนัก หลังจากเดินผ่านยอดเขาลูกหนึ่ง ทั้งสองคนก็มาถึงช่องเขาที่มีหน้าผาอันชะโงกเงื้อมอยู่โดยรอบ
หรืออาจจะเป็นเพราะลักษณะภูมิประเทศ ลมเหนือคำรามจากด้านนอก แต่ในช่องเขาแห่งนี้กลับอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้บางต้นยังมีผลไม้ป่าอยู่ ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็เหมือนอยู่ในดินแดนแห่งความฝันก็ไม่ปาน
“นี่ก็คือตลาด?” เยี่ยเทียนมองไปรอบๆ นอกจากอุณหภูมิที่สูงกว่าบริเวณใกล้เคียงแล้ว ก็มองไม่เห็นสถานที่ที่มีความพิเศษเฉพาะตัวอะไร
………………………………………………