บทที่ 852 พบเจอองค์ชายเจ็ด

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 852 พบเจอองค์ชายเจ็ด

เมื่อมาถึงเขตชายแดนมณฑลอวิ้นซุย ความเจริญที่แท้จริงก็ปรากฏให้เห็นในสายตา

ที่นี่คือหนึ่งในเก้ามณฑลใหญ่ของจักรวรรดิเป่ยไห่ ภูมิประเทศของมณฑลอวิ้นซุยตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของจักรวรรดิ ว่ากันว่านี่คือทำเลที่ดีที่สุดสำหรับการทำสงครามกับจักรวรรดิจี้กวง อีกทั้งยังสามารถสังเกตการณ์พื้นที่เขตชายแดนเหนือได้จากมณฑลนี้อีกด้วย เพราะฉะนั้นนครหลวงจึงตั้งอยู่ที่นี่

เดิมทีมณฑลอวิ้นซุยก็เป็นพื้นที่ซึ่งอุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว แต่เมื่อที่นี่มีนครหลวงเป็นจุดศูนย์กลาง ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเจริญเติบโตมากกว่าเดิมหลายเท่า

แม้แต่การดำรงชีวิตของผู้คนในมณฑลนี้ก็ยังอยู่ดีกินดี

ใช้เวลาเดินทางราวหนึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มาถึงเมืองเจิ้งหวู่ ซึ่งเป็นเมืองชายแดนของมณฑลอวิ้นซุย ณ เมืองแห่งนี้มีเรือเหาะลำใหม่มารอรับพวกของหลินเป่ยเฉินให้เดินทางมุ่งหน้าตรงสู่นครหลวงโดยไม่ต้องแวะพักที่ไหนอีก

“แต่ดูเหมือนเมืองเจิ้งหวู่จะไม่ยิ่งใหญ่เท่านครเจาฮุยของพวกเราเลยนะท่าน”

“เรื่องนั้นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว นครเจาฮุยถือเป็นเมืองหลวงของมณฑล ส่วนเมืองเจิ้งหวู่จัดเป็นเมืองลำดับที่ 20 ประจำมณฑลเท่านั้น…”

“อากาศก็ดูจะหนาวเย็นมากกว่ากันด้วย”

“ถูกต้อง มณฑลอวิ้นซุยอยู่ทางตอนเหนือของจักรวรรดิและมีสี่ฤดูกาลครบถ้วนสมบูรณ์”

“ไม่ทราบว่าพวกเราจะทันกลับไปฉลองปีใหม่กันที่บ้านหรือไม่นะ…”

“แต่ฉลองปีใหม่ในนครหลวงจะเป็นอะไรไป? ข้าได้ยินมาว่างานเฉลิมฉลองปีใหม่ในนครหลวงมีความยิ่งใหญ่อลังการมากมาย หากเจ้าลองได้อยู่แล้วจะยิ่งติดใจ…”

เหล่าสมาชิกหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินที่เดินทางมาทำภารกิจคุ้มกันหลินเป่ยเฉินบัดนี้กำลังพากันเฝ้ามองภูมิประเทศโดยรอบจากบนเรือเหาะ พวกเขากระซิบกระซาบกันด้วยความสงสัยและตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงซึ่งเป็นที่พำนักขององค์จักรพรรดิ

เพราะในหมู่พวกเขาแล้ว ไม่เคยมีใครได้เดินทางเข้านครหลวงมาก่อน

หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บริเวณหัวเรือเหาะ

ว่าตามการคาดเดาของเสี่ยวเย่ เมื่อพวกเขาเข้าสู่เขตแดนของมณฑลอวิ้นซุย ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าลงมือลอบสังหารหลินเป่ยเฉินอีก

เนื่องจากนครหลวงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ และในนครหลวงย่อมมียอดฝีมือรวมตัวกันอยู่มากมาย

หากเกิดเหตุร้ายขึ้นมา ยอดฝีมือเหล่านั้นย่อมปรากฏตัวอย่างรวดเร็ว

ต่อให้มือสังหารเป็นผู้มีพลังระดับเซียน ก็คงไม่กล้าทำเรื่องสุ่มเสี่ยงเช่นนี้แน่

“เสี่ยวจี้ เสี่ยวจี้ เสี่ยวจี้…”

หลินเป่ยเฉินลองเรียกผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ

“เสี่ยวจี้มาแล้วเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่านายท่านมีสิ่งใดให้เสี่ยวจี้รับใช้?”

เสียงอันแสนสดใสของผู้ช่วยส่วนตัวในโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในหัวของเด็กหนุ่ม

“เปล่า ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากได้ยินเสียงเจ้าเท่านั้น”

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไป

“หลังจากที่โทรศัพท์เริ่มกระบวนการอัปเกรดอุปกรณ์ รวมครั้งนี้นายท่านเรียกหาเสี่ยวจี้แล้ว 50 ครั้ง ไม่ทราบว่าจำนวนนี้มีความหมายใดหรือไม่เจ้าคะ?”

เสียงของเสี่ยวจี้ถามกลับมาด้วยความสงสัย

แม้แต่ระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์ก็ยังเรียนรู้พฤติกรรมของเขาแล้ว

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ไม่มีความหมายอะไรหรอก ข้าแค่อยากได้ยินเสียงเจ้าเท่านั้น… ก่อนหน้านี้ ข้าคิดถึงเจ้ามากมายนัก”

“เสี่ยวจี้เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

ผู้ช่วยสาวตอบกลับมาด้วยความตื้นตันใจ

“เสี่ยวจี้ เสี่ยวจี้ เสี่ยวจี้…”

“นายท่านเรียกครั้งที่ 53 แล้ว… ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดให้เสี่ยวจี้รับใช้หรือไม่เจ้าคะ?”

“การอัปเกรดอุปกรณ์เสร็จสิ้นแล้วใช่ไหม?”

“ตามกระบวนการขณะนี้ เหลือเวลาอีกสามชั่วยามถึงจะเสร็จสมบูรณ์เจ้าค่ะ”

“อ้อ งั้นเจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”

เมื่อสิ้นสุดบทสนทนา รอยยิ้มก็ปรากฏบนริมฝีปากของเด็กหนุ่ม

เมื่อการอัปเกรดอุปกรณ์เสร็จสิ้น ขั้นตอนหลังจากนี้ก็คงเป็นการอัปเดตแอปพลิเคชันที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ

น่าจะใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งวันถ้วน

ในระหว่างนี้ เขาก็ยังคงใช้งานความสามารถส่วนใหญ่ของโทรศัพท์ไม่ได้อยู่ดี

แต่หลินเป่ยเฉินเต็มไปด้วยความคาดหวัง

บัดนี้ เขามีพลังอยู่ในขั้นเซียน ในร่างกายอัดแน่นด้วยพลังลมปราณ

ความสามารถของโทรศัพท์มือถือก็น่าจะพัฒนาตามความสามารถของเขาเช่นกัน

นี่คือความรู้สึกที่ไม่ต่างจากการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ 2G มาใช้งานโทรศัพท์มือถือ 4G

ไม่รู้เลยว่าพวกแอปพลิเคชันในโทรศัพท์จะมีความสามารถเพิ่มขึ้นมาขนาดไหนกันนะ?

เด็กหนุ่มนั่งมองกระบวนการอัปเดตแอปพลิเคชั่นวีแชท แอปเจิ้นอ้ายหว่าง และแอปอื่นๆ อีกมากมายบนหน้าจอพร้อมกับยิ้มออกมาเหมือนคนเสียสติ

“ยิ้มแย้มมีความสุขอะไรหรือ?”

เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

เมื่อหันหน้าไปมอง ก็พบว่าเป็นเฉียนเฟยเซวียมายืนอยู่ข้างตัวและพยายามจะชวนสนทนา

เด็กหนุ่มตอบกลับไปว่า “ข้ามีความสุขที่เจิ้งหลงเซียงตายแล้ว”

เฉียนเฟยเซวียถึงกับไปต่อไม่ถูก

นี่หลินเป่ยเฉินดีใจที่ผู้อื่นตายขนาดนี้เชียวหรือ?

“ทำไมท่านต้องดีใจที่เขาตายถึงเพียงนี้?” เฉียนเฟยเซวียถามออกมาด้วยความสงสัย

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าและตอบว่า “ข้าดีใจแล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับท่าน?”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าเฉียนเฟยเซวียกระตุกระริก

ให้ตายสิ

ยอกย้อนอีกแล้ว

เขาก็แค่อยากมาชวนคุยด้วยดีๆ

“มีอะไรจะพูดท่านก็ว่ามา”

หลินเป่ยเฉินเปิดโอกาสให้ผู้ตรวจการหนุ่มได้พูดคุยอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก

เฉียนเฟยเซวียสูดลมหายใจลึกละกล่าวว่า “สถานการณ์ในนครหลวงเปรียบเสมือนน้ำนิ่งไหลลึก การเลือกอยู่ฝ่ายที่ถูกต้องคือสิ่งสำคัญมาก… ข้าเพียงอยากสอบถามคุณชายหลินว่าสนใจที่จะมาอยู่ฝ่ายเดียวกับกลุ่มขุนนางหรือไม่”

กลุ่มขุนนาง?

เห็นว่าเป็นกลุ่มคนที่แม้ฉากหน้าจะภักดีต่อองค์จักรพรรดิ แต่เบื้องหลังกลับผิดหวังต่อการบริหารงานบ้านเมืองของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงคิดยึดครองอำนาจทั้งหมดมาเป็นของตนเอง เพื่อให้กลุ่มขุนนางได้บริหารบ้านเมืองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ใช่หรือ?

ข้อมูลที่เสี่ยวเย่บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมืองหลวงผุดขึ้นมาในหัวสมองของหลินเป่ยเฉินทันที

“ท่านก็คงอยู่กลุ่มขุนนางเหมือนกันสินะ?” หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นด้วยความเคยชิน “หมายความว่านี่พวกท่านกำลังคิดที่จะหลอกใช้ข้าอยู่ใช่หรือไม่?”

หลอกใช้?

ถือเป็นคำพูดที่ออกจะหยาบคายเกินไปหน่อย

แต่เฉียนเฟยเซวียไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงให้มากความ จึงกล่าวว่า “นี่เรียกว่าเป็นคำเชิญอย่างเป็นทางการต่างหาก คุณชายหลิน เราสองคนนับว่าเป็นพวกเดียวกันใช่หรือไม่? ท่านต้องเชื่อมั่นในตัวข้า ข้าไม่มีทางหลอกลวงท่านเด็ดขาด ดูจากพฤติกรรมการลงมือกระทำเรื่องราวต่างๆ ของท่านแล้ว ก็คงมีแต่กลุ่มขุนนางเท่านั้นที่สามารถทำให้ท่านพึงพอใจได้”

“หืม?” หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาว “หมายความว่ากลุ่มขุนนางคงให้เงินเยอะที่สุดสินะขอรับ?”

เฉียนเฟยเซวียได้แต่กะพริบตาปริบๆ

เขาหมายความอย่างนั้นเสียที่ไหนกันเล่า

“ข้าหมายความว่าหลักการและความทะเยอทะยานของท่าน เป็นเช่นเดียวกับกลุ่มขุนนางต่างหาก” เฉียนเฟยเซวียพยายามอย่างหนักที่จะไม่ให้บทสนทนาออกนอกทะเล “พวกเราควรปฏิรูปจักรวรรดินี้เสียใหม่ และมีแต่กลุ่มขุนนางเท่านั้นที่ทำได้”

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกใจสุดขีด “นี่ท่านกำลังจะบอกว่า… กลุ่มขุนนางคิดที่จะโค่นบัลลังก์องค์จักรพรรดิอย่างนั้นหรือ?”

เฉียนเฟยเซวียหน้าเปลี่ยนสี รีบพูดด้วยความร้อนรนว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น คุณชายหลินอย่าพูดจาเหลวไหล…”

แต่เรื่องบางเรื่องยิ่งปฏิเสธ ก็ยิ่งเท่ากับยอมรับทางอ้อม

หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างเหมือนเพิ่งได้รับฟังเรื่องเล่าตลกๆ เรื่องหนึ่ง “เอาเถอะ ข้ารู้ว่าท่านหมายความว่าอย่างไร เหล่าเซวีย อย่างไรเสียพวกเราก็ถือว่าเป็นสหายกันแล้ว ท่านถึงกลับมาเชิญข้าให้เข้าร่วมกลุ่มของตนเอง ข้าจะปฏิเสธก็คงน่าเกลียด แต่ข้าขอถามเพียงคำเดียวว่าท่านจะเสนอเงินให้ข้าเท่าไหร่ เพราะข้าเคยบอกแล้วว่าการจะพูดคุยกับข้า จงอย่าใช้ความรู้สึก แต่ให้ใช้เงินทองเท่านั้น”

เฉียนเฟยเซวียถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

นี่หรือคือสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการ?

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ผู้ตรวจการหนุ่มก็ไม่อยากคุยกับหลินเป่ยเฉินอีกต่อไป

การพูดคุยกับผู้อื่นอาจจะทำให้สนิทสนมกันมากขึ้น แต่การพูดคุยกับหลินเป่ยเฉินถือเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าเท่านั้น

สองชั่วยามต่อมา

เรือเหาะก็มาถึงนครหลวง

มันร่อนลงจอดนอกเมือง ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่มายืนรอต้อนรับอยู่มากมาย

เมื่อตรวจสอบตัวตนกันเสร็จสิ้น พวกของหลินเป่ยเฉินก็ได้ย่างเท้าก้าวเข้าสู่เมืองเป่ยไห่ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิเป่ยไห่อย่างเป็นทางการ

กำแพงเมืองสีขาวสูงชัน ท้องถนนเป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้คนหลายเชื้อชาติเดินกันคับคั่ง…

คณะเดินทางของหลินเป่ยเฉินได้พบเห็นความเจริญที่แท้จริงเป็นครั้งแรกในชีวิต

แม้แต่กับตัวเด็กหนุ่มเอง ซึ่งตอนที่อยู่บนโลกมนุษย์ใบเก่า เขาย่อมเคยเห็นตึกระฟ้าและท้องถนนที่เต็มไปด้วยการจราจรของรถยนต์หนาแน่น แต่เมื่อมาเห็นความใหญ่โตอลังการของสิ่งปลูกสร้างในนครหลวงแห่งนี้ เขาก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับพวกของเซียวปิง หวังจงและคนอื่นๆ

“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณชายหลิน ปล่อยให้ข้ารอเสียตั้งนานเชียวนะ ในที่สุดเจ้าก็มาถึงแล้ว… ข้าคิดถึงเจ้าแทบตาย”

ณ ประตูโรงเตี๊ยมที่ถูกจองเอาไว้ล่วงหน้า องค์ชายเจ็ดเดินคอเอียงเข้ามากอดหลินเป่ยเฉินด้วยความตื่นเต้น

หลินเป่ยเฉินพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมกอดเพราะเห็นสายตาทุกคนเริ่มมองแปลกๆ

หลังจากนั้นไม่นาน

“พวกเจ้ากลับกันไปได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะอยู่คุยกับคุณชายหลินเอง”

เมื่อองค์ชายเจ็ดยกมือโบกสะบัด กลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ยืนต้อนรับอยู่โดยรอบก็แยกย้ายสลายตัว และเป็นองค์ชายเจ็ดที่เดินนำผู้มาเยือนเข้าสู่โรงเตี๊ยมด้วยตนเอง