“นี่มันก็เพียงแค่ใช้พลังจากสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์มิใช่หรือ? เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้จะมีใครคิดว่าเจ้าเก่งกาจ?” ซัวโม่ร่ำร้องออกมาด้วยท่าทางดูถูก
พวกเขานั้นย่อมไม่คิดจะยอมรับอยู่ในหัวใจ เพราะพวกเขานั้นคิดว่าหากเย่หยวนไม่มีสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์แล้วเย่หยวนย่อมไม่อาจต้านทานพวกเขาได้แน่
มันจะเป็นความเก่งกาจเช่นใดกันที่ต้องพึ่งพากำลังจากภายนอก?
แต่แน่นอนว่าหากสมบัติเทพสวรรค์เหล่านี้อยู่ในมือของพวกเขา พวกเขาย่อมจะไม่พูดเช่นนี้แน่
เย่หยวนหันไปมองด้วยสายตาเย็นชา “ข้านั้นมีสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์และกำลังรังแกพวกเจ้าอยู่ เจ้าจะยอมรับมันหรือไม่เล่า?”
พูดจบเย่หยวนก็สะบัดธงศึกดาวฤกษ์ออกมาอีกครั้ง
เมื่อคนทั้งสามเห็นเช่นนั้นสีหน้าของพวกเขาก็ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขานั้นเห็นถึงพลังของธงศึกดาวฤกษ์มากับตามีหรือที่จะยังกล้าประมาทได้? พวกเขาทั้งสามนั้นใช้พลังปราณเทวะออกมาอย่างสุดแรงเพื่อที่จะต้านทานการโจมตีนี้
‘ปัง!’
‘ปัง!’
‘ปัง!’
เสียงนั้นสั่นสะท้านสวรรค์
เย่หยวนนั้นใช้พลังของธงศึกดาวฤกษ์และไม่คิดที่จะปกป้องตัวเองใดๆ เขาทำเพียงแค่โจมตีคนทั้งสามไปอย่างบ้าคลั่งไม่มีหยุด เป็นการรังแกอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด
พวกซัวโม่ทั้งสามคนนั้นถูกพลังของธงศึกดาวฤกษ์อย่างหนักหน่วงจนแทบกระอักเลือกออกมา พวกเขานั้นยังไม่เคยได้พบเจอการต่อสู้ที่หนักหนาสาหัสเช่นนี้มาก่อน
พวกเขานั้นทำได้เพียงถูกตีและไม่อาจต่อสู้กลับใดๆ ได้
การสวนกลับนั้นมันอาจจะพอทำได้ แต่พวกเขานั้นไม่อาจทำร้ายเย่หยวนได้แม้แต่น้อย!
การโจมตีของพวกเขาทั้งหลายนั้นมันไม่มีประโยชน์ใดๆ แม้จะถูกร่างของเย่หยวนเข้า
ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้มาเย่หยวนนั้นยังคงยืนนิ่งอย่างไร้รอยขีดข่วน
แต่กลับเป็นฝ่ายพวกเขาเองที่ถูกพลังของธงศึกดาวฤกษ์เล่นงานเสียจนท้องไส้ปั่นป่วนกลับต้านการเดินไหลเวียนปราณเทวะไม่เป็นระบบ
การต่อสู้เช่นนี้มันย่อมไม่มีความหมายใด
“หยุด! หยุดเถอะ! เรา… เราไม่อยากได้สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์แล้ว!” เฟิงเสี่ยวเถียนตะโกนร้องออกมาซ้ำๆ
การต่อสู้เช่นนี้เขาย่อมไม่คิดอยากจะให้มันดำเนินต่อไป
ตอนนี้ปราณเทวะของพวกเขานั้นมันไหลออกราวสายน้ำส่วนทางเย่หยวนนั้นแทบจะไม่ส่งท่าทางเหนื่อยอ่อนใดๆ ออกมา
เจ้าหมอนี่มันเป็นเทพถ่องแท้หนึ่งดาวจริงหรือ?
หรือว่าตัวเขาจะมีปราณเทวะไร้จำกัด?
การพูดเช่นนี้ออกมามันย่อมเป็นการเสียหน้าอย่างมหาศาลแต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้
นั่นทำให้มือของเย่หยวนหยุดลง
พวกซัวโม่ถอนหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก แต่ในตอนนี้สภาพของพวกเขาทั้งสามนั้นเหมือนคนที่เพิ่งวิ่งมาราธอนมาหมาดๆ หอบหายใจเข้าออกันแทบไม่ทัน
ในตอนนี้สายตาที่เหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายมองมายังเย่หยวนนั้นมันเปี่ยมไปด้วยความระแวงและหวาดกลัว
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเขาถึงมีรัศมีผ่าจักรพรรดิ เป็นแค่เทพถ่องแท้หนึ่งดาวแต่กลับมีสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ติดตัวถึงสองชิ้น
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ทั้งสองชิ้นนี้ หนึ่งเป็นโจมตี หนึ่งเป็นป้องกัน นับว่ามีความสมดุลอย่างมากจนช่วยให้เขากระโดดข้ามขั้นเอาชนะเทพถ่องแท้สามดาวไปได้อย่างง่ายดาย
ด้วยดวงชะตาเช่นนี้จะนับว่าเป็นผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิก็คงไม่แปลก!
“ท่านผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิทั้งหลาย หากพวกท่านคิดอยากได้สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ก็จงเข้ามาแย่งไปจากข้าได้เลย” เย่หยวนพูดออกมาพร้อมยกสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ขึ้นโบก
คนทั้งหลายที่ได้เห็นนั้นหน้าซีดขาวลง ตัวซัวโม่ได้แต่กัดฟันบอก “เจ้าจำไว้ให้ดีเถอะ! ไปกัน!”
พูดจบเขาก็เดินนำพากลุ่มของเขาเดินเข้าไปในควันฝุ่น เพราะตัวเขานั้นไม่กล้าที่จะอยู่ในสถานที่นี้อีกต่อไปแล้ว
นั่นทำให้คนที่เหลือก็ค่อยๆ เดินทางกันต่อไป
เดิมทีพวกเขานั้นคิดที่จะมาดูเรื่องราวสนุกๆ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาที่นับว่าแข็งแกร่งที่สุดทั้งหลายนี้จะถูกเทพถ่องแท้หนึ่งดาวผู้นี้ปราบลงจนสิ้น
พวกเขาทั้งหลายนั้นได้เข้าใจแล้วว่าพลังฝีมือของเย่หยวนนั้นนับได้ว่าเป็นจุดสุดยอดของเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลาย
ในเวลานั้นเองที่มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาเย่หยวนพร้อมยกมือขึ้นคารวะ “พี่เย่ช่างเก่งกาจ! ข้านั้นมาจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิกำเนิดแจ่ม กำลังของข้านั้นมีแค่พอตัว อยากถามเหลือเกินว่าข้าจะขอร่วมทางไปกับพี่เย่ได้หรือไม่?”
เมื่อมีคนนำมันก็ย่อมมีคนคิดตาม เหล่าผู้คนที่คิดว่าตัวเองเก่งกาจพอต่างมุ่งหน้าเข้ามาขอร่วมกลุ่มกับเย่หยวน
ในเวลานี้เย่หยวนได้กลายเป็นที่ต้องการของทุกกลุ่ม
แต่เย่หยวนกลับพูดขึ้นมาด้วยท่าทางเรียบเฉย “ต้องขอโทษด้วย แต่เย่ผู้นี้ไม่มีความคิดจะร่วมกลุ่มกับผู้ใด หากมีโชคลาภใดๆ ทุกคนก็ต่างจะผ่านมันไปได้ด้วยตัวเองสิ้น”
พูดจบเย่หยวนเองก็เดินเข้าไปในม่านฝุ่นนั้น
เขานั้นไม่ได้เป็นมิตรหรือญาติกับเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายนี้ เขาย่อมไม่คิดที่จะทำตัวเป็นผู้ปกป้องให้แก่ใคร
เดิมทีตอนที่พวกซัวโม่เข้ามาหาเรื่องตัวเขา คนทั้งหลายนี้ก็เอาแต่ยืนมองดูเรื่องราวน่าสนุก ตอนนี้พอเห็นว่าเขาเก่งกาจกลับจะมาขอพึ่งพา เรื่องเช่นนั้นจะมีใครคิดยอมรับกัน?
แต่เย่หยวนไม่ได้สังเกตเลยว่ามีสายตาหนึ่งในฝูงชนที่มองดูตัวเขาจนถึงวินาทีที่เขาเดินจากไป
…
ภายในม่ายหมอกฝุ่นควันนี้สายตาของเย่หยวนมองเห็นไปได้ไม่ไกลเกินร้อยเมตร
ตอนนี้เย่หยวนพยายามเร่งพลังปราณออกมาให้มากกว่าเก่า เขารู้สึกได้ว่าจากตรงนี้ไปมันจะเป็นความอันตรายที่แท้จริงของสนามรบเทพโบราณนี้แล้ว
ถามว่าเหล่าวิญญาณต่อสู้ทั้งหลายที่ด้านนอกนั้นแข็งแกร่งไหม?
แน่นอนว่าพวกมันแข็งแกร่งมาก!
แต่เหล่าวิญญาณต่อสู้ที่แข็งแกร่งปานนั้นกลับไม่กล้าเข้าใกล้หมอกฝุ่นนี้ มันย่อมแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดแล้วว่าที่แห่งนี้อันตรายกว่ามากเพียงใด
“ให้ตายสิ! ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย! แล้วเช่นนี้จะหาสมบัติได้อย่างไร?”
“ให้ตายเถอะ! ข้าเห็นเบื้องหน้าเพียงแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น!”
“ที่แห่งนี้มันผิดปกติเสียจริง ทุกคนตามกันมาอย่าได้ห่าง”
…
ภายในหมอกฝุ่นนี้เหล่าเด็กแห่งโชคชะตาต่างเดือดร้อนกันยกใหญ่
เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ได้มีดวงตาที่เหนือล้ำอย่างเย่หยวน พวกเขาจึงเห็นแค่เบื้องหน้าไปไม่กี่ก้าวเท่านั้น
สำหรับเทพถ่องแท้แล้วระยะการมองเห็นเช่นนี้มันย่อมไม่ต่างอะไรกับการตาบอด
มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้พวกเขาสิ้นหวังมาก
เย่หยวนนั้นได้รู้สึกตัวว่าหลังจากเข้าม่านหมอกมาหลายต่อหลายกลุ่มก็เริ่มแยกกระจายตัวกัน เพราะดูท่าแล้วมันคงไม่มีการรวมกลุ่มต่อสู้เหมือนก่อนหน้า
ทุกผู้คนต่างเข้าใจว่าที่แห่งนี้อันตราย แต่มันก็ย่อมจะมีของดีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
แต่ทว่ากลุ่มของซงหยูและซัวโม่นั้นกลับเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกับเย่หยวนอย่างไม่ได้ตั้งใจ
แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองย่อมไม่ได้รู้ว่าเย่หยวนจะเดินไปในทางนั้นด้วย
“หืม? เดี๋ยวนะ!”
เมื่อได้หันกลับไปมองเย่หยวนก็รู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นจนทำให้เขาต้องหรี่ตามองไปทางกลุ่มของซงหยู
เมื่อลองมองดูดีๆ เช่นนี้ตัวเขาก็ถึงกับสั่นสะท้านขึ้นมา
เหล่าผู้คนที่มาจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศนั้นมีทั้งหมดเก้าคน
เมื่อไม่นับรวมตัวเขาและสองคนที่ตายไปก่อนหน้าแล้ว ในกลุ่มเดินทางมันก็น่าจะเหลือจำนวนผู้คนอยู่หกคน
แต่เหตุใดในตอนนี้จึงมีเงาร่างที่เจ็ดปรากฏออกมา?
เหล่าผู้คนที่เดินทางมาครั้งนี้เย่หยวนย่อมจดจำพวกเขาได้
เมื่อมองดูไปเย่หยวนก็ได้รับรู้ว่ามันมีอะไรผิดปกติกับคนที่อยู่ท้ายสุด
เขานั้นเดินตามคนเบื้องหน้าไปอย่างกระชั้นชิดราวกับเป็นเงาที่ตามตัว
และคนที่ถูกตามอยู่นั้นเย่หยวนก็จำได้ว่าเขาคือเฉียนเฟิง เทพถ่องแท้หนึ่งดาวขั้นสุด
แต่ในเวลานั้นเองที่ดวงตาของเงาร่างนั้นมันกลับหันมามองที่เย่หยวน
เย่หยวนสั่นสะท้านไปทั้งกาย หรือว่าเจ้าหมอนี่มันจะเห็นทะลุผ่านหมอกฝุ่นนี้ได้
หรือว่าหมอกนี้มันจะไม่มีผลกับตัวเขา?
“เฉียนเฟิง ระวังหลัง!”
เย่หยวนรีบตะโกนร้องเตือนเฉียนเฟิงไปอย่างไม่ลังเล
พร้อมๆ กันนั้นเขาก็พุ่งร่างออกไปใส่เจ้าเงาที่ด้านหลังของเฉียนเฟิงนั้น
เพราะไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายพวกเขาก็มาจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิเดียวกัน เย่หยวนย่อมไม่คิดจะปล่อยให้เขาตายไปต่อหน้า
เมื่อพวกซงหยูได้ยินเสียงของเย่หยวนพวกเขาก็สั่นสะท้านขึ้นทั้งกายแต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางเฉียนเฟิง
ส่วนเจ้าตัวเฉียนเฟิงเองก็มึนงงอย่างมาก ใบหน้าของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิด
เขานั้นคิดอยากที่จะหันกลับไปดูตามที่ได้ยิน แต่มันก็ไม่มีโอกาสเสียแล้ว
เขานั้นถูกแทงเข้าที่สันคอจากนั้นร่างของเขาก็แห้งเหี่ยวลงอย่างทันตาเห็น
เมื่อซงหยูและพวกเห็นเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายต่างก็ได้แต่มองดูมันอย่างตื่นตะลึง
ในเวลานั้นเองที่เย่หยวนก็มาถึงและใช้ธงศึกดาวฤกษ์ออกมาอย่างไม่คิดลังเลใดๆ
‘ปัง!’
แต่ทว่าเงาร่างนั้นมันกลับรวดเร็วกว่าตัวเขาและหายเข้าไปในหมอกฝุ่นอีกครั้ง
‘อ้าก!’
‘อั่ก!’
‘โอ๊ย!’
…
พร้อมกันนี้มันก็เกิดเสียงร่ำร้องคร่ำครวญขึ้นทั่วทุกทิศทำให้ทุกผู้คนที่ได้ยินต้องรู้สึกขวัญผวา
………………….