ตอนที่ 1972 เจ้าจำไว้ให้ดี!

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

“นี่มันก็เพียงแค่ใช้พลังจากสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์มิใช่หรือ? เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้จะมีใครคิดว่าเจ้าเก่งกาจ?” ซัวโม่ร่ำร้องออกมาด้วยท่าทางดูถูก

พวกเขานั้นย่อมไม่คิดจะยอมรับอยู่ในหัวใจ เพราะพวกเขานั้นคิดว่าหากเย่หยวนไม่มีสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์แล้วเย่หยวนย่อมไม่อาจต้านทานพวกเขาได้แน่

มันจะเป็นความเก่งกาจเช่นใดกันที่ต้องพึ่งพากำลังจากภายนอก?

แต่แน่นอนว่าหากสมบัติเทพสวรรค์เหล่านี้อยู่ในมือของพวกเขา พวกเขาย่อมจะไม่พูดเช่นนี้แน่

เย่หยวนหันไปมองด้วยสายตาเย็นชา “ข้านั้นมีสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์และกำลังรังแกพวกเจ้าอยู่ เจ้าจะยอมรับมันหรือไม่เล่า?”

พูดจบเย่หยวนก็สะบัดธงศึกดาวฤกษ์ออกมาอีกครั้ง

เมื่อคนทั้งสามเห็นเช่นนั้นสีหน้าของพวกเขาก็ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด

พวกเขานั้นเห็นถึงพลังของธงศึกดาวฤกษ์มากับตามีหรือที่จะยังกล้าประมาทได้? พวกเขาทั้งสามนั้นใช้พลังปราณเทวะออกมาอย่างสุดแรงเพื่อที่จะต้านทานการโจมตีนี้

‘ปัง!’

‘ปัง!’

‘ปัง!’

เสียงนั้นสั่นสะท้านสวรรค์

เย่หยวนนั้นใช้พลังของธงศึกดาวฤกษ์และไม่คิดที่จะปกป้องตัวเองใดๆ เขาทำเพียงแค่โจมตีคนทั้งสามไปอย่างบ้าคลั่งไม่มีหยุด เป็นการรังแกอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด

พวกซัวโม่ทั้งสามคนนั้นถูกพลังของธงศึกดาวฤกษ์อย่างหนักหน่วงจนแทบกระอักเลือกออกมา พวกเขานั้นยังไม่เคยได้พบเจอการต่อสู้ที่หนักหนาสาหัสเช่นนี้มาก่อน

พวกเขานั้นทำได้เพียงถูกตีและไม่อาจต่อสู้กลับใดๆ ได้

การสวนกลับนั้นมันอาจจะพอทำได้ แต่พวกเขานั้นไม่อาจทำร้ายเย่หยวนได้แม้แต่น้อย!

การโจมตีของพวกเขาทั้งหลายนั้นมันไม่มีประโยชน์ใดๆ แม้จะถูกร่างของเย่หยวนเข้า

ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้มาเย่หยวนนั้นยังคงยืนนิ่งอย่างไร้รอยขีดข่วน

แต่กลับเป็นฝ่ายพวกเขาเองที่ถูกพลังของธงศึกดาวฤกษ์เล่นงานเสียจนท้องไส้ปั่นป่วนกลับต้านการเดินไหลเวียนปราณเทวะไม่เป็นระบบ

การต่อสู้เช่นนี้มันย่อมไม่มีความหมายใด

“หยุด! หยุดเถอะ! เรา… เราไม่อยากได้สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์แล้ว!” เฟิงเสี่ยวเถียนตะโกนร้องออกมาซ้ำๆ

การต่อสู้เช่นนี้เขาย่อมไม่คิดอยากจะให้มันดำเนินต่อไป

ตอนนี้ปราณเทวะของพวกเขานั้นมันไหลออกราวสายน้ำส่วนทางเย่หยวนนั้นแทบจะไม่ส่งท่าทางเหนื่อยอ่อนใดๆ ออกมา

เจ้าหมอนี่มันเป็นเทพถ่องแท้หนึ่งดาวจริงหรือ?

หรือว่าตัวเขาจะมีปราณเทวะไร้จำกัด?

การพูดเช่นนี้ออกมามันย่อมเป็นการเสียหน้าอย่างมหาศาลแต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้

นั่นทำให้มือของเย่หยวนหยุดลง

พวกซัวโม่ถอนหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก แต่ในตอนนี้สภาพของพวกเขาทั้งสามนั้นเหมือนคนที่เพิ่งวิ่งมาราธอนมาหมาดๆ หอบหายใจเข้าออกันแทบไม่ทัน

ในตอนนี้สายตาที่เหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายมองมายังเย่หยวนนั้นมันเปี่ยมไปด้วยความระแวงและหวาดกลัว

ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเขาถึงมีรัศมีผ่าจักรพรรดิ เป็นแค่เทพถ่องแท้หนึ่งดาวแต่กลับมีสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ติดตัวถึงสองชิ้น

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ทั้งสองชิ้นนี้ หนึ่งเป็นโจมตี หนึ่งเป็นป้องกัน นับว่ามีความสมดุลอย่างมากจนช่วยให้เขากระโดดข้ามขั้นเอาชนะเทพถ่องแท้สามดาวไปได้อย่างง่ายดาย

ด้วยดวงชะตาเช่นนี้จะนับว่าเป็นผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิก็คงไม่แปลก!

“ท่านผู้มีรัศมีผ่าจักรพรรดิทั้งหลาย หากพวกท่านคิดอยากได้สมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ก็จงเข้ามาแย่งไปจากข้าได้เลย” เย่หยวนพูดออกมาพร้อมยกสมบัติวิญญาณเทพสวรรค์ขึ้นโบก

คนทั้งหลายที่ได้เห็นนั้นหน้าซีดขาวลง ตัวซัวโม่ได้แต่กัดฟันบอก “เจ้าจำไว้ให้ดีเถอะ! ไปกัน!”

พูดจบเขาก็เดินนำพากลุ่มของเขาเดินเข้าไปในควันฝุ่น เพราะตัวเขานั้นไม่กล้าที่จะอยู่ในสถานที่นี้อีกต่อไปแล้ว

นั่นทำให้คนที่เหลือก็ค่อยๆ เดินทางกันต่อไป

เดิมทีพวกเขานั้นคิดที่จะมาดูเรื่องราวสนุกๆ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาที่นับว่าแข็งแกร่งที่สุดทั้งหลายนี้จะถูกเทพถ่องแท้หนึ่งดาวผู้นี้ปราบลงจนสิ้น

พวกเขาทั้งหลายนั้นได้เข้าใจแล้วว่าพลังฝีมือของเย่หยวนนั้นนับได้ว่าเป็นจุดสุดยอดของเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลาย

ในเวลานั้นเองที่มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาเย่หยวนพร้อมยกมือขึ้นคารวะ “พี่เย่ช่างเก่งกาจ! ข้านั้นมาจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิกำเนิดแจ่ม กำลังของข้านั้นมีแค่พอตัว อยากถามเหลือเกินว่าข้าจะขอร่วมทางไปกับพี่เย่ได้หรือไม่?”

เมื่อมีคนนำมันก็ย่อมมีคนคิดตาม เหล่าผู้คนที่คิดว่าตัวเองเก่งกาจพอต่างมุ่งหน้าเข้ามาขอร่วมกลุ่มกับเย่หยวน

ในเวลานี้เย่หยวนได้กลายเป็นที่ต้องการของทุกกลุ่ม

แต่เย่หยวนกลับพูดขึ้นมาด้วยท่าทางเรียบเฉย “ต้องขอโทษด้วย แต่เย่ผู้นี้ไม่มีความคิดจะร่วมกลุ่มกับผู้ใด หากมีโชคลาภใดๆ ทุกคนก็ต่างจะผ่านมันไปได้ด้วยตัวเองสิ้น”

พูดจบเย่หยวนเองก็เดินเข้าไปในม่านฝุ่นนั้น

เขานั้นไม่ได้เป็นมิตรหรือญาติกับเหล่าเด็กแห่งโชคชะตาทั้งหลายนี้ เขาย่อมไม่คิดที่จะทำตัวเป็นผู้ปกป้องให้แก่ใคร

เดิมทีตอนที่พวกซัวโม่เข้ามาหาเรื่องตัวเขา คนทั้งหลายนี้ก็เอาแต่ยืนมองดูเรื่องราวน่าสนุก ตอนนี้พอเห็นว่าเขาเก่งกาจกลับจะมาขอพึ่งพา เรื่องเช่นนั้นจะมีใครคิดยอมรับกัน?

แต่เย่หยวนไม่ได้สังเกตเลยว่ามีสายตาหนึ่งในฝูงชนที่มองดูตัวเขาจนถึงวินาทีที่เขาเดินจากไป

ภายในม่ายหมอกฝุ่นควันนี้สายตาของเย่หยวนมองเห็นไปได้ไม่ไกลเกินร้อยเมตร

ตอนนี้เย่หยวนพยายามเร่งพลังปราณออกมาให้มากกว่าเก่า เขารู้สึกได้ว่าจากตรงนี้ไปมันจะเป็นความอันตรายที่แท้จริงของสนามรบเทพโบราณนี้แล้ว

ถามว่าเหล่าวิญญาณต่อสู้ทั้งหลายที่ด้านนอกนั้นแข็งแกร่งไหม?

แน่นอนว่าพวกมันแข็งแกร่งมาก!

แต่เหล่าวิญญาณต่อสู้ที่แข็งแกร่งปานนั้นกลับไม่กล้าเข้าใกล้หมอกฝุ่นนี้ มันย่อมแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดแล้วว่าที่แห่งนี้อันตรายกว่ามากเพียงใด

“ให้ตายสิ! ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย! แล้วเช่นนี้จะหาสมบัติได้อย่างไร?”

“ให้ตายเถอะ! ข้าเห็นเบื้องหน้าเพียงแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น!”

“ที่แห่งนี้มันผิดปกติเสียจริง ทุกคนตามกันมาอย่าได้ห่าง”

ภายในหมอกฝุ่นนี้เหล่าเด็กแห่งโชคชะตาต่างเดือดร้อนกันยกใหญ่

เพราะพวกเขาทั้งหลายนั้นไม่ได้มีดวงตาที่เหนือล้ำอย่างเย่หยวน พวกเขาจึงเห็นแค่เบื้องหน้าไปไม่กี่ก้าวเท่านั้น

สำหรับเทพถ่องแท้แล้วระยะการมองเห็นเช่นนี้มันย่อมไม่ต่างอะไรกับการตาบอด

มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้พวกเขาสิ้นหวังมาก

เย่หยวนนั้นได้รู้สึกตัวว่าหลังจากเข้าม่านหมอกมาหลายต่อหลายกลุ่มก็เริ่มแยกกระจายตัวกัน เพราะดูท่าแล้วมันคงไม่มีการรวมกลุ่มต่อสู้เหมือนก่อนหน้า

ทุกผู้คนต่างเข้าใจว่าที่แห่งนี้อันตราย แต่มันก็ย่อมจะมีของดีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

แต่ทว่ากลุ่มของซงหยูและซัวโม่นั้นกลับเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกับเย่หยวนอย่างไม่ได้ตั้งใจ

แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสองย่อมไม่ได้รู้ว่าเย่หยวนจะเดินไปในทางนั้นด้วย

“หืม? เดี๋ยวนะ!”

เมื่อได้หันกลับไปมองเย่หยวนก็รู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นจนทำให้เขาต้องหรี่ตามองไปทางกลุ่มของซงหยู

เมื่อลองมองดูดีๆ เช่นนี้ตัวเขาก็ถึงกับสั่นสะท้านขึ้นมา

เหล่าผู้คนที่มาจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิชะตาเลิศนั้นมีทั้งหมดเก้าคน

เมื่อไม่นับรวมตัวเขาและสองคนที่ตายไปก่อนหน้าแล้ว ในกลุ่มเดินทางมันก็น่าจะเหลือจำนวนผู้คนอยู่หกคน

แต่เหตุใดในตอนนี้จึงมีเงาร่างที่เจ็ดปรากฏออกมา?

เหล่าผู้คนที่เดินทางมาครั้งนี้เย่หยวนย่อมจดจำพวกเขาได้

เมื่อมองดูไปเย่หยวนก็ได้รับรู้ว่ามันมีอะไรผิดปกติกับคนที่อยู่ท้ายสุด

เขานั้นเดินตามคนเบื้องหน้าไปอย่างกระชั้นชิดราวกับเป็นเงาที่ตามตัว

และคนที่ถูกตามอยู่นั้นเย่หยวนก็จำได้ว่าเขาคือเฉียนเฟิง เทพถ่องแท้หนึ่งดาวขั้นสุด

แต่ในเวลานั้นเองที่ดวงตาของเงาร่างนั้นมันกลับหันมามองที่เย่หยวน

เย่หยวนสั่นสะท้านไปทั้งกาย หรือว่าเจ้าหมอนี่มันจะเห็นทะลุผ่านหมอกฝุ่นนี้ได้

หรือว่าหมอกนี้มันจะไม่มีผลกับตัวเขา?

“เฉียนเฟิง ระวังหลัง!”

เย่หยวนรีบตะโกนร้องเตือนเฉียนเฟิงไปอย่างไม่ลังเล

พร้อมๆ กันนั้นเขาก็พุ่งร่างออกไปใส่เจ้าเงาที่ด้านหลังของเฉียนเฟิงนั้น

เพราะไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายพวกเขาก็มาจากยอดเมืองหลวงจักรพรรดิเดียวกัน เย่หยวนย่อมไม่คิดจะปล่อยให้เขาตายไปต่อหน้า

เมื่อพวกซงหยูได้ยินเสียงของเย่หยวนพวกเขาก็สั่นสะท้านขึ้นทั้งกายแต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางเฉียนเฟิง

ส่วนเจ้าตัวเฉียนเฟิงเองก็มึนงงอย่างมาก ใบหน้าของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิด

เขานั้นคิดอยากที่จะหันกลับไปดูตามที่ได้ยิน แต่มันก็ไม่มีโอกาสเสียแล้ว

เขานั้นถูกแทงเข้าที่สันคอจากนั้นร่างของเขาก็แห้งเหี่ยวลงอย่างทันตาเห็น

เมื่อซงหยูและพวกเห็นเช่นนั้นพวกเขาทั้งหลายต่างก็ได้แต่มองดูมันอย่างตื่นตะลึง

ในเวลานั้นเองที่เย่หยวนก็มาถึงและใช้ธงศึกดาวฤกษ์ออกมาอย่างไม่คิดลังเลใดๆ

‘ปัง!’

แต่ทว่าเงาร่างนั้นมันกลับรวดเร็วกว่าตัวเขาและหายเข้าไปในหมอกฝุ่นอีกครั้ง

‘อ้าก!’

‘อั่ก!’

‘โอ๊ย!’

พร้อมกันนี้มันก็เกิดเสียงร่ำร้องคร่ำครวญขึ้นทั่วทุกทิศทำให้ทุกผู้คนที่ได้ยินต้องรู้สึกขวัญผวา

………………….