ตอนที่ 958 วิชาข้ามเคราะห์พ้นทุกข์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

อริยะ!

ในภาพจำของหลินสวิน อริยะเป็นดั่งผู้วิเศษ ครอบครองความสามารถเทียมฟ้าทะลวงดิน ยืนอยู่เหนือสุดผืนแผ่นฟ้า อายุยืนเทียบเทียมกาลนิรันดร์ รัศมีเรืองรองดุจสุริยันจันทรา ใกล้เคียงกับผู้เป็นอมตะ

ระดับอริยะยิ่งเป็นระดับการบำเพ็ญที่ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนต่างฝันใฝ่ นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน บุคคลยิ่งใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินไม่รู้ตั้งเท่าไรที่ขุ่นแค้นอยู่หน้ามรรคาสายนี้ ไร้วาสนาเหยียบย่างบนนั้น

มันสูงส่งเกินไป เป็นดั่งตำนานเล่าขาน นับแต่กาลเวลานิรันดร์เป็นต้นมา ผู้ที่สามารถมาถึงระดับนี้ได้ก็มีจำนวนเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น!

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่สามารถขัดขวางผู้ฝึกปราณจำนวนนับไม่ถ้วนให้ไปปีนป่ายและแสวงหาอย่างไม่ขาดสาย

แต่ยามนี้ในอารามเก่าแก่แสนทรุดโทรมแห่งนี้ กลับมีผู้ยิ่งใหญ่ระดับอริยะบรรพกาลสองคนมอดม้วย ณ ที่แห่งนี้ ซ้ำยังถูกคนสังหารต่อเนื่องกันในหอกเดียว แล้วจะไม่ให้ผู้คนสยองขวัญได้อย่างไร

คนหนึ่งคืออริยสงฆ์ตู้จี้จากอารามกษิติครรภ์ อีกคนก็เป็นนางพญาเผ่าหงส์ดำเลือดทมิฬ แต่กลับพากันประสบเคราะห์อยู่ที่นี่ น่าสะพรึงเกินไปแล้ว!

หลินสวินไม่อาจจินตนาการได้ว่า เงาร่างสีทองนั้นบรรลุไปถึงระดับที่น่าหวาดกลัวเพียงใดกันแน่ ถึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้

เขาสั่นเทิ้มทั่วร่าง ตระหนักได้ว่าในสมัยบรรพกาล ภายในอารามแห่งนี้ต้องซุกซ่อนความลับยิ่งใหญ่ไว้แน่ ถึงได้ทำให้อริยะทั้งสองเผชิญเคราะห์สังหารคับฟ้า!

ในเวลาเดียวกันนั้นสีหน้ามู่เจิ้งก็เปลี่ยนไปไม่นิ่ง เห็นได้ชัดว่าก็ตกใจกับความจริงฉากแล้วฉากเล่าที่ได้เห็นเมื่อครู่ด้วยเช่นกัน

“หืม?”

แต่ไม่นานทั้งสองต่างพากันสะดุ้งตกใจ สายตามองไปทางแท่นดอกบัวขาวพิสุทธิ์ที่กลิ่นอายอริยะเทพคุโชนแท่นนั้น

มันปรากฏรากไม้ที่เหี่ยวแห้งไหม้เกรียมรากหนึ่งออกมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เน่าเปื่อยจนแทบกลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่สะดุดตายิ่ง

แต่หลินสวินกับมู่เจิ้งต่างตระหนักได้ว่า นี่คือสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง!

หาไม่มีหรือมันจะปรากฏบนแท่นดอกบัวหยกขาวที่วิเศษศักดิ์สิทธิ์นั้นได้

สวบ!

มู่เจิ้งเริ่มเคลื่อนไหวทันที เงาร่างสูงตระหง่านดุจดั่งภูผาพุ่งไปทางแท่นดอกบัวหยกขาวปานสายฟ้าแลบ เอื้อมมือออกไป รอยมือมายาขนาดใหญ่รายล้อมด้วยแสงธรรมสีดำคว้าตะปบลงไป

แต่หลินสวินไวกว่าเขา ก้าวย่างชือน้ำแข็งโคจรถึงขีดสุด เริ่มทีหลังแต่มาถึงก่อนราวกับแสงพริบไหวก็ไม่ปาน พร้อมกันนั้นในเจดีย์ไร้อักษรก็สาดแสงมรรคทองนิลกาฬออกมาสายหนึ่ง หอบม้วนออกไป

แสงมรรคทองนิลกาฬไม่เพียงมีประสิทธิภาพในการสยบอันน่าเหลือเชื่อ แต่ยังกวาดผ่านทุกสิ่ง เก็บรวบทุกอย่าง ยอดเยี่ยมสุดจะเปรียบ

“ถอยไป!” มู่เจิ้งหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ ปากตะคอกขับไล่ เรียกอาลยบาตรในมือออกไปต้านแสงมรรคทองนิลกาฬ

แต่ตัวเขาเงาร่างพริบไหว ฝ่ามือควบรวมเป็นประทับพุทธมหึมา กดอัดห้วงอากาศพุ่งสังหารไปทางหลินสวิน

เห็นได้ชัดว่า เขาไม่สามารถทำใจปล่อยให้หลินสวินชิงรากไม้เหี่ยวแห้งไหม้เกรียมนั้นไปก่อนได้

“เฮอะ!”

หลินสวินแค่นเสียงเย็น ดาบหักที่พร้อมสู้ตั้งนานแล้วพุ่งโจมตีออกไป สาดประกายคมปลาบไร้เทียมทาน เจิดจ้าดั่งหิมะออกมาปะทะกับมัน

เพียงชั่วครู่ศึกใหญ่ก็ปะทุขึ้น!

วาสนาอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องใช้เหตุผลใดๆ ก็เพียงพอจะทำให้เกิดศึกตัดสินเป็นได้แล้ว

และเพื่อให้ได้รับวาสนา ไม่ว่าหลินสวินหรือมู่เจิ้งต่างงัดฝีมือออกมาใช้เต็มที่ตั้งแต่คราแรก

ตูม!

หลินสวินเหยียบย่างห้วงอากาศ ดาบหักสำแดงแก่นอัศจรรย์ของหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า พิฆาตเฉียบขาด อานุภาพอหังการดั่งเทพมาร

กล่าวได้ว่า ยามนี้หากเปลี่ยนเป็นบุคคลแห่งยุคอย่างพวกหลี่ชิงฮวน มู่เจี้ยนถิง เกรงว่าคงมีแต่ต้องตกที่นั่งลำบากตั้งแต่แรก

แต่เหนือความคาดหมาย มู่เจิ้งคนนี้กลับแข็งแกร่งผิดธรรมดา ภายใต้การสังหารระดับนี้ ยังถูกเขาขืนต้านไว้ได้

ในฐานะหนึ่งในสิบแปดสาวกรุ่นปัจจุบันของอารามกษิติครรภ์ เขาก็ไม่ด้อยกว่าเช่นกัน ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าโดดเด่นน่าทึ่ง

เผชิญกับการเข่นฆ่าของหลินสวิน สีหน้าเขาไม่แยแสและครัดเคร่ง รูปร่างสูงตระหง่านดั่งภูผาแผ่แสงธรรมสีดำ เคลื่อนไหวดุจสายฟ้า มีพลังดุจพยัคฆ์ซ่อนมังกรหมอบ ราวกับอรหันต์แค้นโลกรูปหนึ่ง

ตูม!

เขาถือลูกประคำสิบแปดสาวกไว้ในมือ ระหว่างที่หมุนวนก็ควบรวมเป็นประทับพุทธที่ราวกับสร้างจากทองคำนิลกาฬสายแล้วสายเล่าพาดผ่านห้วงอากาศ ปลดปล่อยเสียงแห่งมรสุมออกมา ถึงกับสลายพลังสังหารกร้าวแกร่งของดาบหักได้

ขณะเดียวกัน สมบัติอริยะในมือทั้งคู่ก็กำลังต่อสู้กัน

เจดีย์สมบัติไร้อักษรไหลหลั่งแสงมรรคสีทองหมื่นพัน ทรงพลังสยบจักรวาล บีบอัดห้วงอากาศจนพังครืน ส่งเสียงกึกก้องไม่ขาด

เพียงแต่อาลยบาตรนั้นก็ไม่ด้อยไปกว่านั้น ปรากฏเงามายาภิกษุสายแล้วสายเล่าท่องสวดเสียงธรรม ปลดปล่อยลำแสงนับไม่ถ้วนพาให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี

สมบัติชั้นยอดสองชิ้นต่างยื้อยุดกัน ยากจะแยกจากกัน

‘ภิกษุรูปนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย!’

ในใจหลินสวินครัดเคร่ง ลงมือว่องไวขึ้นเรื่อยๆ ทั้งตัวเร่าร้อนลุกโชนดุจเตาไฟ พลานุภาพห้อทะยานถึงขีดสุด

“สหายยุทธ์ จากศักยภาพของเจ้าก็นับเป็นบุคคลแนวหน้าในหมู่คนรุ่นเยาว์ในโลก หากไม่รู้จักความเหมาะสม วันนี้ต้องมีอันตรายถึงชีวิตแน่” มู่เจิ้งขมวดคิ้ว แม้คำพูดจะราบเรียบแต่กลับเจือการข่มขู่

อานุภาพของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จีวรสีดำสะบัดแรง ใบหน้าเคร่งครัด ประหนึ่งภิกษุที่กรำศึกกับใต้หล้ารูปหนึ่ง

“ภิกษุ ข้าก็อยากเตือนสติเจ้าสักประโยคเหมือนกัน เดิมทีเจ้ากับข้าไร้ความแค้น อย่าดึงดันทำผิด บังคับให้ข้าสังหารเจ้า!” หลินสวินตอบกลับเย็นชา

เขาโคจรวิชาลับโทสะหยาจื้อ อานุภาพพุ่งทะยานขึ้นอีกเท่าใหญ่ กระชับดาบหัก ราวกับเทพมารมาเยือนโลก

เพียงแค่ท่วงท่านั้นก็พาให้ห้วงอากาศใกล้เคียงหวีดร้องคร่ำครวญ

“จิตสังหารของสหายยุทธ์รุนแรงเช่นนี้ หากไม่รู้จักเก็บงำไว้บ้างจะต้องร่วงหล่นจมสู่ทางมาร กลายเป็นคนนอกรีตที่ล้างผลาญใต้หล้า”

สีหน้ามู่เจิ้งไม่ทุกข์ไม่สุข ไร้เกรงกลัว เสียงดุจระฆังใบใหญ่ดังกังวาน “พุทธองค์ตรัสไว้ว่า อาตมาไม่ตกนรก ผู้ใดจักตกนรก วันนี้ก็ให้อาตมาช่วยโปรดสัตว์ให้เจ้าแล้วกัน!”

ตูม!

ลูกประคำบนฝ่ามือเขาเรืองแสง ผสานรวมกับดอกบัวสีดำดอกแล้วดอกเล่าในห้วงอากาศ จากนั้นก็ร่วงหล่นโปรยปราย

ดอกบัวสีดำแต่ละดอกเต็มไปด้วยแสงธรรมสว่างไสว ปลดปล่อยพลังอัศจรรย์แห่งดุจการข้ามทุกข์ พิสุทธิ์ผ่องแผ้วออกมา กว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง

ขณะเดียวกันสีหน้ามู่เจิ้งเวทนาดั่งพุทธองค์ ริมฝีปากท่องสวดคำพุทธ เหนือศีรษะปรากฏพุทธคัมภีร์สีดำขึ้น พลิกเปิดพึ่บพั่บกลางห้วงอกาศ สาดกพรมอักษรธรรมแถวแล้วแถวเล่า

นี่เป็นมรดกวิชาพิทักษ์อารามกษิติครรภ์… ‘วิชาข้ามเคราะห์พ้นทุกข์’!

เมื่อสำแดงวิชานี้สามารถสยบศัตรูทั้งปวง ข้ามทุกข์สลายเคราะห์ ชำระล้างสรรพสิ่งชั่วร้าย สยบมารปีศาจราวกับพุทธองค์มาเยือนโลก!

มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดอกบัวสีดำที่ร่วงหล่นดอกแล้วดอกเล่า ปรากฏเงามายาภิกษุรูปแล้วรูปเล่า ปลดปล่อยแสงธรรมนับไม่ถ้วนตามการท่องธรรมของมู่เจิ้ง!

ที่น่าอัศจรรย์คือแสงธรรมนั้นดำสนิทราวกับราตรีนิรันดร์!

เพียงชั่วครู่เท่านั้นหลินสวินก็สัมผัสถึงแรงกดดันใหญ่หลวง

ฝึกปราณจนป่านนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาได้ต่อสู้กับผู้บำเพ็ญธรรม พลังและวิชามรรคที่อีกฝ่ายเชี่ยวชาญต่างจากผู้ฝึกปราณคนอื่นในโลกลิบลับ ทั้งอัศจรรย์และน่าหวาดกลัว ศักยภาพน่าเหลือเชื่อ

อีกทั้งมู่เจิ้งยังไม่ใช่พวกทั่วๆ ไป ความกร้าวแกร่งแห่งพลังต่อสู้ของเขา อย่างน้อยที่สุดก็สามารถเทียมหน้าเทียมตากับบุคคลระดับอวี่หลิงคง จี้ซิงเหยาได้!

“เฉือน!”

หลินสวินตวาด เงาร่างมีแสงมรรคเรืองรองพลุ่งพล่าน ปราณดาบกร้าวแกร่งไร้เทียมทานราวกับหมื่นธนูพุ่งยิง ตัดสลับไปมา สว่างจ้าพร่าตา

ตูม!

บัวสีดำดอกหนึ่งระเบิดเป็นเสี่ยง ที่น่าแปลกคือกลีบดอกที่แตกเป็นเสี่ยงนั้นไม่ได้หายไป ตรงข้ามกลับควบรวมเป็นรอยอักษรธรรม ปลดปล่อยแสงแวววาวข้ามเคราะห์ ล่องลอยกลางห้วงอากาศ

พรึ่บๆๆ!

อักษรธรรมข้ามเคราะห์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามการแตกสลายของบัวสีดำดอกแล้วดอกเล่า เบียดเสียดแน่นขนัด ไม่สามารถถูกทำให้พ่ายแพ้ และไม่สามารถถูกกำจัดได้ แปลกพิสดารถึงขีดสุด

หลินสวินตระหนึกถึงความไม่เข้าที แม้พลังต่อสู้ของเขาจะแกร่งกล้า แต่ขาดประสบการณ์ต่อสู้กับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญธรรม ยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพลังที่พวกเขาถนัด

อย่างเช่นอักษรธรรมข้ามเคราะห์แสนประหลาดนี้ เป็นการควบรวมพลังมหามรรคสำนักพุทธที่แปลกประหลาด ไม่สามารถถูกโจมตีจนแตกหักได้ ประหนึ่งความว่างเปล่าก็ไม่ปาน!

มู่เจิ้งกำลังท่องธรรม เสียงกังวานทะลุผ่านฟ้าดินราวกับระฆังยามเช้ากลองยามค่ำ

สีหน้าเขาเคร่งขรึม ทั่วร่างปกคลุมด้วยแสงธรรมสีดำที่ทั้งพิสุทธิ์วิเศษและลึกล้ำ อานุภาพกร้าวแกร่งราวกับภูเขาเทพลูกหนึ่งที่สยบเหนืออเวจี

บัวสีดำเริ่มทะลักออกมาจากลูกประคำ สาดพรมกลางห้วงอากาศประหนึ่งกระแสน้ำก็ไม่ปาน ในนั้นมีเงามายาภิกษุนั่งเป็นกองกำลังหลัก เป็นภาพสะท้านโลก มีอานุภาพสะท้านใจผู้คน

นี่ก็คือ ‘วิชาข้ามเคราะห์พ้นทุกข์’ วิชาธรรมพิทักษ์สำนักสูงสุดของอารามกษิติครรภ์ ใช้สยบอานุภาพชั่วร้ายทั้งปวง

ทว่าสีหน้ามู่เจิ้งเคร่งขรึมขึ้นตามเวลาที่เคลื่อนคล้อย ถึงแม้วิชาข้ามเคราะห์พ้นทุกข์จะยิ่งใหญ่ แต่ก็สิ้นเปลืองพลังของเขาไปมาก

เดิมทีเขาคิดว่าจะสยบหลินสวินและโปรดสัตว์ได้เพียงชั่วพริบตา ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายยังคงกรำศึกห้าวหาญดุดัน!

‘รากฐานเจ้าเด็กนี่น่าสะพรึงนัก! อย่าบอกนะว่าเป็นมารบาปไร้เทียมทานที่แดนเร้นอริยะบางแห่งเคี่ยวกรำออกมา’ มู่เจิ้งใจสั่นสะท้าน

เขาขับโคจรพลังตนเองถึงขีดสุดโดยไม่ได้รีรอ ความเร็วในการหมุนลูกประคำและท่องธรรมก็ไวขึ้นเรื่อยๆ เร่งรีบขึ้นดั่งลมคลั่งฝนคะนอง ดุดันองอาจ พาให้ฟ้าดินแถบนี้เปี่ยมด้วยไอสังหารน่าสะพรึง

บัวสีดำดอกแล้วดอกเล่าพลิ้วไสว มีเงามายาภิกษุประทับอยู่ในนั้น เดิมทีภาพนี้ควรจะพิสุทธิ์วิเศษและเคร่งครัดยิ่งราวกับปาฏิหาริย์ แต่ยามนี้กลับมีไอสังหารถึงชีวิตคลุ้งออกจากในนั้น พาให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี

‘พลังข้ามเคราะห์นี่รับมือยากจริงๆ ด้วย!’

ระหว่างการต่อสู้ หัวคิ้วหลินสวินขมวดขึ้น เขาสัมผัสถึงแรงกดดันที่หนักอึ้ง ไม่สามารถสลัดพ้น บัวสีดำเหล่านั้นดุจดั่งไร้ที่สิ้นสุด แผ่คลุมเข้ามาพาให้เขาไม่สามารถแม้แต่จะหลบหลีก

ยิ่งกว่านั้นแม้จะถูกซัดกระจุย บัวสีดำนั้นก็ไม่เคยสลายไปอย่างสมบูรณ์ หากแต่กลายเป็นอักษรธรรมที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายข้ามเคราะห์ลอยอยู่กลางห้วงอากาศ

ทอดสายตามองเข้าไป อักษรธรรมที่เสมือนสร้างจากทองคำนิลกาฬนี้มีมากถึงหลายร้อย ล่องลอยอยู่ทั่วสารทิศ เหมือนกับพุทธคัมภีร์บทหนึ่งปรากฏอยู่ตรงนั้น น่าอัศจรรย์ถึงขีดสุด

สำหรับหลินสวิน บัวสีดำหาได้น่าสะพรึง สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามแท้จริงกลับเป็นอักษรธรรมที่ไม่สามารถถูกซัดกระจุยพวกนั้นต่างหาก!

“ควรจบได้แล้ว!”

นัยน์ตามู่เจิ้งทอรัศมีแสงวิเศษฉับพลัน อานุภาพชวนสยองไม่มีสิ่งใดทียบ “ข้ามเคราะห์พ้นทุกข์ โปรดสัตว์ ณ ที่แห่งนี้ พาให้ใต้หล้าปราศจากมาร!”

ตูม!

พร้อมๆ กับเสียงที่ดังขึ้น อักษรธรรมซึ่งล่องลอยกลางอากาศนั้นรวมตัวกันทันใด ถึงกับแปรเปลี่ยนเป็นพุทธคัมภีร์เล่มหนึ่งพุ่งกำราบมาทางหลินสวิน

แสงธรรมไหลเวียน อักษรภายในพุทธคัมภีร์แต่ละตัวดั่งไข่มุก ปลดปล่อยแสงแห่งการชำระล้างข้ามเคราะห์บาดตา แผ่คลุมหลินสวินเอาไว้ภายในทันใด

ไม่สามารถหลบหลีกและไม่สามารถต้านทาน ไม่ว่าวิธีการจู่โจมใดๆ ล้วนไร้ผล ไม่สามารถสยบพุทธคัมภีร์เล่มนี้ได้!

เห็นเช่นนี้มู่เจิ้งประกบสองมือ กล่าวคำพุทธหนึ่ง นี่ก็คือโปรดสัตว์ทั่วหล้า… การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของวิชาข้ามเคราะห์พ้นทุกข์!

หากถูกอริยสงฆ์ที่เหยียบย่างอริยมรรคสำแดง สามารถโปรดสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่ในเมืองใหญ่จนหมดสิ้นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม!

มู่เจิ้งรู้ ถึงแม้หลินสวินจะวางท่าเย้ยฟ้าไร้เทียมทาน แต่ผลสุดท้ายเขาก็ไม่เข้าใจความน่ากลัวของพลังข้ามเคราะห์ ยามนี้คงรักษาชีวิตไม่อยู่แล้วเป็นแน่

เขาทอดสายตามองออกไปไกลๆ ตรงนั้นเจดีย์สมบัติไร้อักษรกำลังตะลุมบอนกับอาลยบาตร ระเบิดแสงเรืองปานอริยะเทพออกมา

ท้ายที่สุดมู่เจิ้งฝืนข่มความปรารถนาภายในใจ สาวเท้าพุ่งไปทางแท่นดอกบัวซึ่งอยู่อีกด้าน

เจดีย์สมบัติไร้อักษรเป็นสมบัติอริยะชิ้นหนึ่ง ทำให้มู่เจิ้งเองก็ไม่อาจไม่ใจเต้น แต่เขารู้ รอให้หลินสวินตายไป ช้าเร็วสมบัตินี้ก็เป็นของตนอยู่ดี

เรื่องเร่งด่วนยามนี้ก็คือชิงรากไม้แห้งเหี่ยวรากหนึ่งที่อยู่บนแท่นดอกบัวนั่น

หากเขาเดาไม่ผิด เป็นไปได้สูงว่ารากไม้นั่นจะเป็นรากโพธิ์ในตำนาน!

——