บทที่ 693 สามีภรรยาแค่ในนาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 693 สามีภรรยาแค่ในนาม

ให้โจวตงเอาอย่างน้องชายของเธอและพี่สามโจวในเรื่องเปิดร้านขายของแล้วกัน แน่นอนว่าแค่ทำเป็นอาชีพเสริม อาชีพหลักของเขายังต้องทำโรงเลี้ยงสัตว์อยู่

เธอให้โจวตงไปดูที่อำเภอว่ามีหน้าร้านตรงไหนที่น่าซื้อบ้างไหม ถ้ามีก็ซื้อไว้สักร้านสองร้าน แล้วตัวเองค่อยเปิดธุรกิจ

จะจ้างคนที่เชื่อใจไปทำหรือจะไปทำเองก็ได้ เรื่องพวกนี้ให้โจวตงจัดการเอง

โจงตงฟังแล้วพยักหน้ารับ ไม่มีข้อกังขาเลยสักนิด

เจ้าสามยิ้มและเอ่ยขึ้น “พี่ตง พี่ไม่ถามมากกว่านี้เลยเหรอ ไม่กลัวว่าจะโดนแม่ผมหลอกไปขายเหรอครับ”

“แม่ขายแค่ชา ไม่ขายคน” สาวน้อยมี่มี่พูดเข้าข้างแม่เธอ

“มี่มี่พูดถูก” โจวข่ายอุ้มน้องสาวคนเล็กออกไป สาวน้อยมี่มี่ไม่ค่อยคุ้นชินกับพี่ชายคนโตคนนี้ แต่อย่างไรเขาก็เป็นพี่ชายตัวเอง เธอจึงไม่ได้รังเกียจ

ส่วนโจวตงหัวเราะ “ที่อาสะใภ้บอกว่าดีเคยพลาดซะที่ไหนล่ะ ไม่ต้องถามให้มากความหรอกครับ”

ดูแค่น้องสามหลินและพี่สามโจวก็รู้แล้ว บ้านของพี่สามโจวที่อำเภอติดตั้งโทรศัพท์บ้านด้วย น้องสามหลินก็เปลี่ยนจากจักรยานเป็นมอเตอร์ไซค์ แล้วเปลี่ยนจากมอเตอร์ไซค์เป็นรถกระบะ

ส่วนโจวตงเองก็มีความคิดด้านนี้เหมือนกัน ต่อให้เขาเปิดฟาร์มไก่ได้ไม่เลว แต่ถ้าเปิดร้านเองไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง?

ด้วยความที่เขาไม่มั่นใจ จึงฉวยโอกาสที่หลินชิงเหอกลับมาที่นี่ถามเรื่องนี้ดู เมื่อหลินชิงเหอชี้ทางให้แล้ว เขาจะได้ไปทำอย่างสบายใจ

เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะขายแค่ไก่ อย่างอื่นไม่ขาย

ที่หลินชิงเหอคิดไว้คืออาจจะขายได้ในระดับธรรมดา แต่ถ้าเพิ่มอาชีพเสริมมาอีกหนึ่งอย่าง ที่บ้านก็จะมีรายได้เพิ่มมาอีกแหล่ง

แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ ถึงแม้ที่เล็ก ๆ อย่างอำเภอในยุคหลังจะไม่ก้าวกระโดดมหาศาลเหมือนอย่างเมืองใหญ่ แต่ร้านที่ตั้งในทำเลดีก็ได้เงินไม่น้อยเหมือนกัน

ถึงแม้เดี๋ยวนี้จะยังขายได้ในระดับธรรมดา ไม่อาจหาเงินเป็นกอบเป็นกำ แต่ซื้อไว้แล้วบริหารไปเรื่อย ๆ สักร้านก็เป็นการลงทุนเหมือนกัน

โจวตงเป็นเด็กที่เธอเห็นมาตั้งแต่เล็กเหมือนกัน เธอย่อมอยากเห็นเขาได้ดี

เพราะฉะนั้นก่อนที่หลินชิงเหอจะไป เธอจึงบอกว่าน้องชายของเธอและพี่สามโจวต่างซื้อบ้านในเมืองซึ่งไม่เลวเลย ถ้าเขามีเงินเย็นก็ซื้อไว้สักหลัง อีกหน่อยลูก ๆ ไปเรียนมัธยมปลายที่อำเภอจะได้มีที่อยู่กัน ไม่ต้องไปพักในหอพักของโรงเรียน

หลินชิงเหอไม่รู้ว่าโจวตงฟังเข้าหูไหม แต่ก็บอกเขาไปแบบนั้น

วันรุ่งขึ้นเป็นวันจัดงานศพของพ่อหลิน

คนทั้งครอบครัวไปร่วมงานกันหมด ไม่เจอกันนานหลายปี พี่ใหญ่หลินพี่รองหลินรวมถึงพี่สาวคนโตและพี่สาวคนรองที่หลินชิงเหอไม่ค่อยติดต่อไปต่างผงะกันหมดเมื่อได้เห็นครอบครัวของเธอ

โดยเฉพาะบรรดาหลานชาย แต่ละคนล้วนเป็นที่จับตามองจนคนในหมู่บ้านหยุดมองไม่ได้เลย

ทั้งหมู๋บ้านหาเด็กหนุ่มที่เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและความสามารถแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว

พี่สาวคนโตและพี่สาวคนรองล้วนอยากปรับความเข้าใจให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น แต่หลินชิงเหอไม่อยากข้องแวะอะไรกับบ้านหลินแล้วจริง ๆ

แม่หลินเพิ่งจากไป ตอนนี้พ่อหลินก็จากไปอีกคน พอพ่อหลินสิ้นแล้ว หลังจากนี้เธอคงไม่มาที่บ้านหลินอีก

ทั้งบ้านหลินเธอยอมรับแค่น้องชายของเธอ ส่วนคนที่ด่าว่าเธออกตัญญูดูแลแค่บ้านสามีแต่ไม่ดูแลบ้านตัวเองก็ปล่อยให้ด่าไปไม่เป็นไรหรอก

เงินที่ต้องออกก็ออกแล้ว ของที่ต้องให้ก็ให้แล้ว หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋จึงพาเจ้าสามและมี่มี่อยู่ในหมู่บ้านเพิ่มอีกวันด้วย

ส่วนเจ้าใหญ่และเจ้ารองมีงานยุ่งเกินไป หลังจากจัดการเรื่องในวันนั้นเสร็จก็เข้าอำเภอเลย พวกเขาค้างคืนที่บ้านลุงสามหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นก็นั่งรถรอบเช้าไปในตัวเมืองใหญ่เพื่อต่อรถไฟ

ทุกคนตั้งใจทิ้งอย่างอื่นกลับมากันหมด เสียเวลามากกว่านี้ไม่ได้จริง ๆ

หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ก็ขี่มอเตอร์ไซค์ที่พวกเจ้าใหญ่ทิ้งไว้ให้มาที่อำเภอในวันรุ่งขึ้น แน่นอนว่ามาเยี่ยมโจวเซี่ยที่บ้านด้วย

โจวเซี่ยงานยุ่งจึงไม่อยู่บ้าน หม่าเหมี่ยวเหมี่ยวก็เช่นกัน ทั้งคู่อยู่ในโรงงานเฟอร์นิเจอร์กันหมด

มีแค่สะใภ้รองโจวที่อยู่บ้านเลี้ยงเด็ก พอเห็นหลินชิงเหอและโจวชิงไป๋พามี่มี่มา หล่อนก็ชะงักไปนิดหน่อย

ถึงแม้ความสัมพันธ์จะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องไล่ออกไป ถึงอย่างไรถ้าลูกสะใภ้หล่อนรู้เข้าว่าหล่อนบังอาจไล่คนออกไป ลูกสะใภ้หล่อนได้ไล่หล่อนกลับบ้านเกิดแน่

แม้ว่าไม่มีอะไรจะพูดกับสะใภ้รองโจวจริง ๆ แต่หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ก็เข้าบ้านไปทักทายเรียบ ๆ ก่อนจะยิงเข้าประเด็น

เธอไม่ได้บอกตรง ๆ ว่าพี่รองโจวจะไป เพียงแต่ทำเป็นถามสะใภ้รองโจว “ตอนแรกฉันก็ไม่ยอมหรอก แต่ชิงไป๋เป็นคนรักพี่น้อง เลยอยากให้พี่รองไปอยู่ที่นู่น เงินเดือนร้อยกว่าหยวนกินฟรีอยู่ฟรี เขาไปคุยกับพี่รองโดยไม่ถามความเห็นฉันก่อนเลยค่ะ”

สะใภ้รองโจวผงะ อะไรนะ? เจ้าสี่จะให้สามีของหล่อนไปทำงานที่ปักกิ่ง เดือนหนึ่งให้ร้อยกว่าหยวน?

หล่อนไม่สนใจว่าพี่รองโจวไปปักกิ่งแล้วได้ทำงานอะไร จึงเอ่ยขึ้นทันที “เดือนหนึ่งได้ร้อยกว่าหยวนจริงหรอ?”

“ใช่ แต่ฉันไม่ค่อยอยากให้ไป พี่รองไปแล้วอีกหน่อยพี่สะใภ้รองก็ต้องไปด้วย ความสัมพันธ์ของเราสองคนพี่ก็รู้ดีแก่ใจ” นอกจากหลินชิงเหอจะทำท่าทางร้ายกาจแล้ว ยังพูดออกไปตรง ๆ อีกด้วย

เธอบอกเลยว่าเพราะไม่อยากเห็นหน้าสะใภ้รองโจว เลยไม่อยากให้พี่รองโจวไปหาเงินก้อนนี้

“ให้พ่อเซี่ยเซี่ยไปเถอะ ฉันไม่ไปหรอก ฉันต้องช่วยเซี่ยเซี่ยดูแลลูกด้วย” สะใภ้รองโจวรีบบอก

เดือนละร้อยกว่าหยวน ปีหนึ่งได้ตั้งพันกว่า ต้องทำไร่กี่ที่ถึงจะได้เท่านี้กัน?

“ถ้าพี่ไม่ไป ฉันจะฝืนรับพี่รองไว้ก็ได้ ส่วนเรื่องเงินเดือนฉันจะจ่ายให้พี่รอง พวกพี่สามีภรรยาอยากจะจัดการยังไงก็ทำกันเองเลย แต่ฉันพูดดักไว้ก่อนนะ ฉันยอมให้พี่รองไปแค่คนเดียว คนอื่นไม่ว่าจะใครถ้าไปฉันไม่รับทั้งนั้น” หลินชิงเหอกล่าว

เธอไม่ได้พูดจาด้วยน้ำเสียงแบบนี้มานานแล้ว แต่น้ำเสียงแบบนี้สิถึงจะเป็นคนบ้านเจ้าสี่ในความทรงจำของสะใภ้รองโจว

หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ไม่ได้นั่งอยู่นานนักก็พามี่มี่กลับไป

ส่วนสะใภ้รองโจวนั่งไม่ติดที่แล้ว หล่อนไม่อยากไปปักกิ่งหรอก แต่เงินก้อนนี้ไม่รับไม่ได้ ปีละพันกว่าหยวนเชียวนะ จะไปหาที่ไหนได้อีก

หล่อนต้องให้สามีส่งเงินนี่กลับมาให้หล่อนให้ได้

เพราะฉะนั้นตอนที่โจวเซี่ยและหม่าเหมี่ยวเหมี่ยวเลิกงานกลับมา หล่อนจึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง และจะกลับหมู่บ้านไปคุยกับพี่รองโจว

“พรุ่งนี้แม่นั่งรถอาสามกลับไปก็ได้ครับ” โจวเซี่ยบอก

จากนั้นตัวเขาเองมาหาอาสามอาสะใภ้สาม แต่อาสี่อาสะใภ้สี่ของเขานั่งรถเข้าเมืองไปแล้ว ป่านนี้คงถึงในเมืองพอดี เผลอ ๆ ขึ้นรถไฟไปแล้วด้วย

สะใภ้รองโจวแต่เดิมที่ไม่สนใจเรื่องนี้ก็รีบให้สะใภ้สามโจวยืนยันเรื่องนี้ หลินชิงเหอเคยพูดเรื่องนี้กับสะใภ้สามโจว หล่อนจึงบอกไป

ฉะนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น สะใภ้รองโจวนั่งรถมอเตอร์ไซค์ของพี่สามโจวกลับหมู่บ้าน และรีบไปคุยเรื่องนี้กับพี่รองโจว

ประเด็กหลักมีอยู่ว่าต้องส่งเงินกลับมาบ้านโดยไม่หายไปสักแดง แล้วหล่อนจะไม่ไปรบกวนแม้แต่ก้าวเดียว

พี่รองโจวรับปากหล่อน บอกว่าจะส่งเงินกลับมา และการที่เห็นหล่อนไม่ขัดสนแค่เรื่องเงิน พี่รองโจวก็รู้สึกเฉยชาอย่างมาก

สองสามีภรรยาคู่นี้เหลือแค่ในนามเท่านั้น พวกเขาหมดรักกันไปนานแล้ว

……………………………………………………