ถึงแม้ว่าเผ่าวิญญาณทั้งแปดนี้ล้วนมีสมบัติประหลาดปกป้องร่างกายอยู่ แต่เมื่ออยู่ภายใต้ความกดดันทางพลังปราณของระดับมหายานใกล้เช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะถอยร่นออกไปไกลๆ และรู้สึกเหมือน ‘ถูกเหยียบย่ำ’ สีหน้าแต่ละคนปรากฏความครั้นคร้ามออกมาสายหนึ่ง

“ผู้อาวุโสโปรดระงับอารมณ์ พวกข้าน้อยมิได้มีเจตนาเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด!” ชายชราหนวดขาวรู้สึกเหมือนเหงื่อท่วมตัว รีบร้อนตะโกนออกมาเสียงดัง

แต่มั่วเจี่ยนหลีกลับไม่แสดงสีหน้าใด ทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดนั้น พลังปราณในร่างกายสั่นไหว อีกทั้งยังปล่อยพลังออกมามากกว่าเดิมหลายส่วน

ในครั้งนี้ เผ่าวิญญาณระดับผสานอินทรีย์ทั้งแปดคนไม่สามารถใช้พลังยุทธ์ของตนเองต่อต้านแรงกดดันทางวิญญาณเบื้องหน้าได้อีกต่อไป แสงสว่างจากสมบัติบนร่างกานสว่างพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เงาจางๆ ของสมบัติประหลาดทั้งแปดชิ้นล้วนฝ่าออกมาจากร่างกายพร้อมเพรียงกัน ค่อยๆ ยืนหยัดต่อแรงกดดันทางวิญญาณอันน่าหวั่นเกรงนี้

สายตาของหานลี่แข็งกร้าว เขามองออกถึงสมบัติทั้งแปดชิ้นนี้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว

แบ่งออกเป็นยันต์สามผืน แผ่นป้ายสองแผ่น อีกทั้งยังมีหม้อเล็กสีขาวและหรูอี้สีเงินหนึ่งด้าม มั่วเจี่ยนหลีเห็นดังนี้ พ่นลมหายใจออกมา แสงวิญาณปกป้องร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย เขาก้าวขาออกไปด้านหน้าและปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาทั้งหมด หมายจะสั่งสอนชนรุ่นหลังด้านหน้าอย่างถึงที่สุด

แต่ก็เวลานี้เช่นกัน จู่ๆ มีลมประหลาดสายหนึ่งพัดลงมาจากยอดเขาฟู่หลิง ม้วนตัวผ่านหน้าของมั่วเจี่ยนหลี

หลังจากที่มั่วเจี่ยนหลีเพียงสัมผัสได้ถึงพลังปราณอันอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์สายหนึ่งโฉบผ่านร่างกาย ความกดดันทางวิญญาณที่น่าประหวั่นที่ปล่อยออกมาเมื่อครู่ก็ถูกทำให้หายไปเสียแล้ว

ตามมาด้วยสุรเสียงอันอบอุ่นของชายชราลอยมาตามสายลม

“น้องมั่วอย่าอารมณ์เสียไปเลย คำพูดก่อนหน้านี้ของพวกเขาเกิดจากความไม่ตั้งใจ เปิ่นหวางขอโทษแทนพวกเขาด้วย ยินดีต้องรับทั้งสองท่านสู่ที่แห่งนี้ ข้าน้อยดูเหมือนว่าจะมาช้าไปเสียแล้ว จะปฏิเสธที่จะพบเจอพวกท่านได้อย่างไร เปิ่นหวางเตรียมการต้อนรับพวกท่านด้วยความยินดีอยู่ที่ยอดเขาแล้ว หลิงเมี่ย เมื่อครู่ข้าได้ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบแล้ว ดูเหมือนว่าพวกนักพรตเซวี่ยหรานจะมาถึงที่ไหล่เขาด้านล่างแล้ว สี่คนในพวกเจ้ารีบลงไปต้อนรับพวกเขาเถอะ อีกสี่คนที่เหลือ นำพาน้องมั่วไปยังโถงปราณสีม่วงเถอะ”

“น้อมรับบัญชา”

“ตามพระประสงค์”

เผ่าวิญญาณทั้งแปดคนทำความเคารพไปทางบนเขา ตามมาด้วยเก็บเงาจางๆ ของสมบัติอาคมที่ปล่อยออกมาด้านหน้าร่างกาย

หลงเหลือเพียงชายชราผมขาวและคนจากเผ่าวิญญาณอีกสามคน หลังจากทำความเคารพพวกหานลี่อีกรอบ ก็แสดงท่าทียินดีต้อนรับออกมา

“ในเมื่อเป็นนักพรตหลิงที่พูดออกมาด้วยตนเอง ข้าแซ่มั่วผู้นี้ไม่มีทางที่จะไม่ไว้หน้าท่าน! ไปพบหน้าท่านนักพรตก่อน แล้วค่อยพูดคุยธุระอื่นๆ กันอีกทีเถอะ”

หลังจากสีหน้าของมั่วเจี่ยนหลีเปลี่ยนไปสองสามที ในที่สุดพรรคพวกของชายหัวโล้นก็ไม่ลงมือขัดขวางอีกต่อไป และหลังจากที่สะบัดแขนเสื้อโดยแรง ก็วางท่าใหญ่โตเหาะไปยังบนภูเขา

หานลี่ยิ้มออกมาอ่อนๆ เหาะขึ้นไปเหมือนกันโดยไม่มีควันของพลังปราณออกมาเลยแม้แต่น้อย เวลานี้ เผ่าวิญญาณขั้นผสานอินทรีย์ทั้งสี่ที่หลงเหลืออยู่ก็ขยับกายเหาะขึ้นไปด้านบนด้วยเช่นเดียวกัน

แต่ทว่าชายชราเคราขาวผู้นั้น กลับแอบมองเงาด้านหลังของหานลี่ด้วยสายตาแปลกๆ หานลี่แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรออกมาเมื่อครู่ แต่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากในหมู่เผ่าวิญญาณด้วยกัน จะไม่รู้เกี่ยวกับระดับมหายานคนใหม่ของเผ่ามนุษย์อย่างเขาได้เช่นไร

แม้ข่าวสารพวกนี้โดยส่วนมากจะมาจากนอกเผ่า ล้าสมัยไปแล้วหรือยังคลุมเครือเกินไป แต่เรื่องที่เผ่ามนุษย์ระดับมหายานผู้นี้เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากยักษาระดับมหายานตนหนึ่ง กลับเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ข่าวเท็จ

สิ่งนี้ย่อมทำให้ชายชราเผ่าวิญญาณท่านนี้หวาดกลัวหานลี่มากขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แน่นอนว่ายังมีความสงสัยอยู่มากด้วยเช่นกัน

อันที่จริงแดนวิญญาณมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็ไม่มีผู้ใดเลยที่เพิ่งสามารถเข้าสู่ระดับมหายานแล้วจะสามารถเอาชนะสัตว์ประหลาดโบราณระดับมหายานอื่นๆ ได้

หานลี่ย่อมไม่รู้เกี่ยงกับความเปลี่ยนแปลงในจิตใจของชายชรา และไม่มีความสนใจอันใด อีกทั้งสองเท้าอยู่เหนือพื้นหลายฉื่อ และเหาะอย่างช้าๆ ในขณะเดียวกันก็กวาดตามองตามถนนของภูเขาสองข้างทางไม่หยุด

เขตต้องห้ามที่จัดตั้งขึ้นที่ภูเขาฟู่หลิงครึ่งบนมีจำนวนมาก และมันสูงกว่าจุดสูงสุดของภูเขาด้านล่างเป็นอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่ของเขตต้องห้ามถูกล้วนถูกผู้คนทำให้มันหยุดทำงานไปแล้ว

มิฉะนั้นหานลี่และมั่วเจี่ยนหลีถึงแม้จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรในระดับมหายาน ก็ไม่มีทางที่จะผ่านเส้นทางนี้ไปโดยไร้สิ่งกีดขวาง

ดูเหมือนระยะทางที่เดินทางจะห่างกันไม่กี่พันจั้ง นึกไม่ถึงเลยว่าคนกลุ่มนี้จะใช้เวลาไปถึงอาหารหนึ่งมื้อเต็มๆ

เหมือนว่าความสูงของครึ่งหลังที่ตัดผ่านจุดสูงสุดของภูเขา จะมีมากถึงหนึ่งแสนจั้งเต็มๆ

สีหน้าของมั่วเจี่ยนหลีอดไม่ได้ที่จะแสดงความประหลาดใจออกมา

สีหน้าของหานลี่ไม่แสดงสิ่งใดออกมา แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งในใจ

ดูเหมือนว่าภูเขาลูกนี้ นอกจากเขตต้องห้ามตามพื้นผิวพวกนี้เหมือนจะยังมีสิ่งของที่มีพลังลึกลับบางอย่างอยู่ท่ามกลางภูเขา มิเช่นนั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่สามารถเชื่อมต่อด้วยจิตสัมผัสได้

สีหน้าของชายชราเคราขาวและคนอื่นๆ ดูเหมือนปกติอยู่ตลอด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้มานานแล้ว

แม้ว่าครึ่งหลังของถนนบนภูเขาจะยาวมาก หลังจากคนกลุ่มนี้ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง ข้ามผ่านหมอกบางเบาสีขาวแล้วก็มาถึงที่ยอดเขาสักที

หานลี่เงยศีรษะมองขึ้นไปยังด้านบน มองเห็นแต่เพียงพื้นที่โล่งเตียนขนาดใหญ่ด้านบนยอดเขาฟู่หลิง นอกจากเจดีย์ขนาดใหญ่สูงสามชั้นแล้วก็ไม่มีสิ่งปลูกสร้างอื่นอีก

เหนือประตูใหญ่ด้านหน้าของเจดีย์มีป้ายแขวนอยู่หนึ่งชิ้น บนป้ายมีตัวอักษรสีทองอ่อนขนาดใหญ่ที่ถูกเขียนด้วยพู่กันเขียนอยู่อย่างมีชีวิตชีวาว่า ‘โถงปราณม่วง’

ด้านนอกของเจดีย์ก็โหวงเหวงเหมือนกัน ไม่เห็นเงาคนแม้แต่น้อย

“ผู้อาวุโสทั้งสอง ใต้เท้าหลิงรอพวกท่านอยู่ด้านในแล้ว พวกข้าน้อยมิสามารถเข้าไปได้มากกว่านี้” ชายชราเคราขาวกระแอมไอออกมาเบาๆ แสดงท่าทีนอบน้อมต่อพวกหานลี่ และกล่าวออกมาด้วยความเคารพ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้ารออยู่ข้างนอกก็แล้วกัน” มั่วเจี่ยนหลีไม่ได้พูดอะไรออกมามากมาย หลังจากใช้จิตสัมผัสกวาดสำรวจด้านในของเจดีย์แล้ว เขาก็เดินผ่านประตูใหญ่เข้าไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

เมื่อครู่จิตสัมผัสที่ตรวจสอบอย่างลึกซึ้งมีความผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด โถงปราณม่วงนี้ไม่มีความผันผวนของเขตต้องห้ามเลยแม้แต่น้อย นอกจากพลังปราณแปลกประหลาดด้านในที่รู้สึกได้อย่างคลุมเครือแล้ว ก็เป็นเพียงแค่เจดีย์ธรรมดาทั่วไปจริงๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาย่อมไม่มีความกังวลใดๆ อีกต่อไป หานลี่หัวเราะออกมาเล็กน้อย แล้วเดินตามเข้าไปหลังจากเดินผ่านประตูใหญ่ ด้านในคือห้องโถงขนาดใหญ่ที่กว้างกว่าสี่สิบห้าสิบจั้ง ต้นไม้ดอกไม้ที่อยู่การะถางถูกจัดวางอยู่รอบห้องโถงใหญ่ทั้งสี่ด้าน กระถางมีความสูงหลายฉื่อ ด้านบนเต็มไปด้วยดอกไม้ขนาดใหญ่เท่ากำปั้นหลากหลายสีสัน

ด้านหน้าดอกไม้กระถางหนึ่ง ชายชราในชุดคลุมสีขาวยืนอยู่ตรงนั้นโดยเอามือไขว้ไว้ข้างหลัง เห็นเพียงเงาที่ทอดมายังประตูใหญ่

“นายท่านก็คือนักพรตหลิง!” แววตาของมั่วเจี่ยนหลีบีบลง แล้วพูดออกไปด้วยความเคารพ

“ทั้งสองท่านเดินทางมาไกล มานั่งพักนั่งคุยกันก่อนดีกว่า!” ชายชราในชุดขาวไม่ได้ตอบคำถามออกมาโดยตรง แล้วก็ตอบออกมาโดยไม่ได้หันหน้ามาคุย

“ในเมื่อท่านนักพรตพูดเช่นนี้ ข้าน้อยก็จะขอทำตามคำพูดของท่านแล้ว” มั่วเจี่ยนหลีจ้องมองไปที่แผ่นหลังของชายชราเล็กน้อย บ่นพึมพำเล็กน้อย จึงเดินวางมาดไปนั่งยังเก้าอี้ที่วางไว้อยู่ด้านข้าง

รูม่านตาของหานลี่สั่นไหวเล็กน้อย หลังจากร่างกายเลือนรางลงก็ไปปรากฏยังเก้าอี้อีกตัว หลังจากนั้นจึงใช้ดวงตาคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มจ้องมองไปที่แผ่นหลังของชายชราในชุดขาวไม่หยุด

“นักพรตทั้งสองโปรดอภัยให้ข้าด้วย ผู้เฒ่าคุ้นชินกับการอยู่คนเดียวจึงสามารถรับแขกได้ด้วยชาสักถ้วยเท่านั้น” รอจนพวกของหานลี่นั่งลงบนเก้าอี้ ชายชราในชุดขาวจึงยิ้มเบาๆ พลางเอ่ยออกมา

สิ้นคำเอ่ยนั้น ประตูอีกด้านหนึ่งก็เปิดออก มีลิงน้อยคนสีขาวจำนวนมากเดินออกมาจากทางด้านนั้นอย่างกระตือรือร้น

พวกมันสูงไม่ถึงครึ่งชุ่น บนตัวมีขนสีขาวราวกับหิมะ ทว่าดวงตามีสีแดงฉานทั้งสองข้าง

ลิงน้อยเหล่านี้บนหัวบ้างมีถาดชา บ้างมีกาน้ำชาและถ้วยชา มือเท้าเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน ในชั่วอึดใจหนึ่งก็นำชาวิญญาณที่มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษมารินต้อนรับให้แก่หานลี่และมั่วเจี่ยนหลี

หานลี่กวาดตามองชาวิญญาณนี้เล็กน้อย จึงหยิบยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มชาลงไป มั่วเจี่ยนหลีกลับไม่มองชาวิญญาณที่อยู๋ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ถามออกไปยังชายชราในชุดขาวอย่างเฉยเมย

“จุดประสงค์ที่พวกข้าทั้งสองมาในครั้งนี้ คิดว่าท่านนักพรตคงทราบดีอยู่บ้างแล้ว”

“ถึงถ้าและนักพรตมั่วจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมานาน แต่นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พบหน้ากัน ข้าจะไปรู้ถึงจุดประสงค์ของท่านนักพรตได้อย่างไร” ชายชราในชุดขาวส่งเสียงหัวเราะหึๆ ออกมาในที่สุดก็หมุนตัวกลับมาพูดตอบ

ชายชราผู้นี้มีใบหน้าเปล่งปลั่ง ดวงตาละม้ายคล้ายคลึงกับเต่า ที่มุมของแขนเสื้อปักลวดลายด้วยใบเมเปิลสีม่วงแดงอย่างหรูหรา แต่สีหน้ากลับสงบนิ่งดั่งสายน้ำ

หานลี่และมั่วเจี่ยนหลีตื่นตกใจ แล้วจ้องมองหลิงอ๋องผู้นี้อีกรอบด้วยสายตาไม่คาดฝัน

“ท่านนักพรตไม่รู้จุดประสงค์ของพวกข้าในครั้งนี้ แต่มิทราบว่าที่ท่านเชื้อเชิญพวกนักพรตเซวี่ยหรานมาที่นี่ด้วยเรื่องอันใดกัน” มั่วเจี่ยนหลีแค่นเสียงด้วยอารมณ์ไม่พอใจแล้วถามกลับ

“โอ้ ข้าน้อยเรียกนักพรตเซวี่ยหรานมาที่นี่ในครั้งนี้ หาได้มีเรื่องลับลมคมในอันใดไม่ เพียงแค่ทำข้อตกลงกันเท่านั้น…ทำไม น้องมั่วก็สนใจในเรื่องนี้ด้วยงั้นหรือ!” รูม่านตาของชายชราชุดขาวหดลง แต่ก็ยังตอบกลับมาอย่างสงบเยือกเย็น

“หึๆ เช่นนั้นก็ดี พวกข้าสองคนมาที่นี่ ก็เพราะต้องการทำข้อตกลงกับนักพรตหลิงด้วยเช่นกัน” คราวนี้ถึงคราของมั่วเจี่ยนหลีที่ม่านตาหด แต่ปากพูดออกมาโดยไม่ลังเล

“หึๆ ถ้าอย่างนั้นคงต้องทำให้นักพรตมั่วผิดหวังเสียแล้ว ข้าน้อยติดต่อแต่เพียงคนคุ้นเคย และไม่ได้มีนิสัยที่จะทำข้อตกลงกับคนแปลกหน้า! น้องมั่วเชิญกลับไปเสียเถอะ” ชายชราในชุดขาวหาวออกมาแล้วปฏิเสธโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

มั่วเจี่ยนหลีได้ยินเช่นนี้ พลันตาทั้งสองข้างหรี่ลง ทันใดนั้นเขายกมือขึ้น ลำแสงสีเงินบินพุ่งไปยังฝ่ายตรงข้าม ชายชราชุดขาวไม่ขยับแม้เพียงนิด แต่แสงสีเงินนั้นพุ่งมายังด้านหน้าของเขาในระยะไม่กี่จั้ง แล้วหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศชั่วขณะหนึ่ง

ที่แท้เป็นม้วนคัมภีร์หยกสีเงินเจิดจรัส ที่บนผิวพิมพ์ลวดลายเหมือนกับใบเมเปิลสีม่วงแดงที่อยู่บนแขนเสื้อชองชายชราทุกประการ

ชายชราชุดขาวพลันบังเกิดใบหน้าไม่น่ามองขึ้น เขายกมือขึ้นทันใดนั้นม้วนคัมภีร์หยอสีเงินก็ตกลงมายังมือของเขา หลังจากตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆ พูดอย่างช้าๆ

“ดูเหมือนว่าบรรพชนสือซินจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เป็นฝีมือเจ้าหรือว่าเป็นฝีมือของหนอนเพลี้ยตัวแม่ตัวนั้น”

“ถึงแม้ว่าหนอนเพลี้ยตัวแม่นั้นจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าด้วยตนเอง แต่ก็มีส่วนเป็นอย่างมาก” มั่วเจี่ยนหลีตอบอย่างสงบ

“งั้นก็ดี ไม่ว่าเจ้าจะได้ของยืนยันชิ้นนี้มาได้อย่างไร เช่นนั้นการทำข้อตกลงในครั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้วกัน แต่พวกเจ้าจะได้สมดังใจหวังหรือไม่ ต้องดูที่ความสามารถของพวกเจ้าเอง” แสงสีเงินในมือชายชราชุดขาวสว่างวูบ ม้วนคัมภีร์หยกได้หายไปโดยไร้เสียง ในขณะเดียวกันก็พูดออกมาอย่างสงบ

“เรื่องนี้ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว พวกข้าสองคนมาไม่ได้มาที่นี่เพื่อแสวงหาโอกาสเท่านั้น” มั่วเจี่ยนหลีมีแสงวาบผ่านดวงตา บนในหน้าปรากฏรอยยิ้มสายหนึ่งพลางเอ่ยออกมา

“หึๆ มิใช่ว่าข้าดูถูกนักพรตมั่ว…ด้วยพลังของเจ้าเพียงลำพัง หากต้องการที่จะทำตามข้อตกลงนี้ให้สำเร็จดูเหมือนว่าเกือบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ กลับกันท่านผู้นี่ที่อยู่ข้างๆ เจ้ายังมีโอกาสสองถึงสามส่วนที่จะสามารถทำสำเร็จ นักพรตท่านนี้คงเป็นหานลี่ผู้ที่เพิ่งเป็นที่น่าหวาดหวั่นแก่เผ่าหลายเผ่ากระมัง ที่แท้ก็เทียบไม่ได้เลยกับผู้อาวุโสระดับมหายานทั่วไป” มุมปากของชายชราชุดขาวยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยบางเบาสายหนึ่งง แต่หลังจากที่สายตาตกอยู่ที่หานลี่ กลับแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นสองส่วน

“ใต้เท้าหลิงเคยได้ยินชื่อของข้าน้อย ข้ารู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความสนใจจริงๆ ทว่าท่านนักพรตดูหมิ่นพวกข้าเกินไปแล้ว” หานลี่พลันหัวเราะออกมาเล็กน้อย แล้วพูดออกมาอย่างสบายๆ

“ท่านหลิงหวางก็ได้ยินเกี่ยวกับชื่อของคนต่อไปเช่นกัน และข้าก็ปลื้มใจมาก แต่ท่านดูหมิ่นเกินไปเล็กน้อย” หานลี่ยิ้มเล็กน้อยและพูดเบาๆ ในทันใด