ตอนที่ 698 เข้าฝัน

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 698 เข้าฝัน
ฟาร์มของเหล่าฉีมีบังกะโลทั้งหมดหกหลัง พวกเขาสองสามีภรรยาอาศัยอยู่หนึ่งหลัง เอาไว้เก็บของเบ็ดเตล็ดสองหลัง ห้องครัวหนึ่งหลัง และอีกสองหลังก็หลือไว้ให้ลูกที่ไปโรงเรียนกับนักท่องเที่ยวปีนเขาพวกนั้น

เวลานี้โจวเซี่ยวเทียนก็พักอยู่ในบังกะโลที่อยู่ค่อนไปทางประตูหน้าลานบ้าน เพียงแต่ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งกว่าแล้ว เขายังนอนไม่หลับ เพราะในใจยังคงเป็นห่วงเยี่ยเทียน

เมื่อหลับไปอย่างงุนงง หลังจากฟื้นขึ้นมาเขาก็เห็นกระดาษข้อความที่อาจารย์ทิ้งไว้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนกำชับให้เขารออยู่ที่นี่ เกรงว่าโจวเซี่ยวเทียนคงจะย้ายกำลังคนเข้าไปตามหาตัวในภูเขาตั้งแต่เช้าแล้ว

“หืม? มีคนมา?”

ขณะที่โจวเซี่ยวเทียนกำลังนอนพลิกตัวไปมา จู่ๆ หูของเขาก็ขยับเล็กน้อย เขาได้ยินเสียงรั้วตรงประตูลานบ้าน จากนั้นสุนัขท้องถิ่นที่เหล่าฉีเลี้ยงไว้ก็ส่งเสียงร้องครวญคราง

“อาจารย์ อา…อาจารย์กลับมาแล้ว?”

ไม่ทันรอให้โจวเซี่ยวเทียนลงจากเตียง ประตูห้องของเขาก็ถูกผลักออกมาจากข้างนอก โจวเซี่ยวเทียนจ้องมอง แล้วใบหน้าก็เผยความดีใจเป็นบ้าเป็นหลังออกมาทันที จากนั้นก็รีบไปอยู่ข้างกายของเยี่ยเทียนอย่างรวดเร็ว “อาจารย์ อาจารย์ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ? ผมตกใจหมดเลย!”

ถึงแม้จะมีอายุอานามเท่าๆ กัน และยังแสดงท่าทีเป็นผู้ใหญ่มากต่อคนภายนอก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนก็ทำตัวเหมือนเป็นเด็กโข่ง ขณะที่พูดจาก็ยังมีเบ้าตาแดงไปด้วย

“ฉันจะเป็นอะไรได้ นายก็ ทำไมทำตัวเหมือนเด็กผู้หญิงเลย?”

เมื่อเห็นลูกศิษย์แสดงออกด้วยความจริงใจเช่นนี้ ในใจของเยี่ยเทียนจึงรู้สึกอบอุ่นไม่น้อย จากนั้นจึงยื่นมือหยิบลูกท้อจากกระเป๋าหนึ่งลูกแล้วโยนออกไปทันที พลางพูด “กินมันซะ จากนั้นก็ไปนั่งสมาธิโคจรลมปราณ!”

โจวเซี่ยวเทียนตกตะลึง หลังจากรับมาแล้ว จึงเอ่ยถามว่า “ฤดูนี้ไปเอาลูกท้อมาจากไหนครับ?”

หลักการที่ว่าลูกท้อสามปีออกผล ต้นพลัมสี่ปีออกผลนั้นโจวเซี่ยวเทียนก็เข้าใจอยู่ เมื่อเห็นว่าย่างเข้าเดือนธันวาคมแล้ว แม้แต่ลูกท้อที่อยู่ในเพิงก็ไม่มี ทว่าลูกท้อนี้มองดูแล้วก็เหมือนเพิ่งจะเก็บมาใหม่ๆ ซึ่งมันไม่น่าจะถูกหลักการเสียเท่าไร

“ถามอะไรมากมาย ให้นายกินก็กินไปเถอะน่า!” เยี่ยเทียนถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดว่า “รีบกินแล้วก็ไปนั่งโคจรลมปราณ ฉันยังมีเรื่องที่จะให้นายทำอีก!”

“แหม ผมกินก็ได้ครับ”

เมื่อเห็นอาจารย์โมโห โจวเซี่ยเทียนจึงรีบกัดลูกท้ออย่างรวดเร็ว น้ำหวานๆ ไหลลงสู้ท้อง จากนั้นท้องน้อยของเขาก็รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมา

สามารถอาศัยวิชาที่ไม่สมบูรณ์ที่สืบทอดมาจากตระกูลแล้วฝึกให้กลายเป็นพลังเปิดได้ ถือว่าโจวเซี่ยวเทียนก็ไม่ใช่คนโง่เหมือนกัน หลังจากที่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายแล้ว เขาก็ไม่ถามอะไรอีก รีบนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณอยู่บนเตียง

ปราณวิเศษที่แฝงอยู่ในป่าท้อนี้ สามารถใช้ร่างกายดูดซับได้โดยตรง หลังจากโคจรลมปราณแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็ตื่นขึ้นมา พร้อมกับใบหน้าที่ตื่นเต้นดีใจ บวกกับสีหน้าที่เหลือเชื่อ

“อาจารย์ ผม…ผมเข้าสู่ขอบเขตสุดยอดของพลังแฝงแล้ว นั่นมันคือลูกท้ออะไรครับ?”

สามารถฟังออกได้ว่า โจวเซี่ยวเทียนพยายามข่มความรู้สึกตื่นเต้นดีใจของตัวเองอยู่ จากนั้นจึงรีบลงมาจากเตียงหยิบเมล็ดลูกท้อที่ตัวเองเพิ่งจะทิ้งนำมาพลิกดูไปมาอยู่ในมือ

“ไม่สามารถเข้าสู่ขั้นหลอมกายสู่จิต?”

เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงผิดหวังเล็กน้อย โจวเซี่ยวเทียนเข้าสู่พลังแฝงมาสองปีแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าอาศัยเพียงปราณวิเศษที่แฝงเร้นอยู่ในลูกท้อ ก็สามารถทำให้โจวเซี่ยวเทียนบรรลุด่านนี้ไปได้

โจวเซี่ยวเทียนส่ายหน้าพลางพูด “ไม่ครับ แต่ผมรู้สึกว่าจะสามารถบรรลุได้ทุกเมื่อนะครับ อาจารย์ ลูกท้อนี้เอามาจากที่ไหนกันแน่ครับ?”

โจวเซี่ยวเทียนไม่ได้โชคดีโดยบังเอิญเหมือนเยี่ยเทียน ทำให้วรยุทธของเขาหยุดอยู่ที่ระดับการฝึกกายให้เป็นปราณมาตลอด

จากการคำนวณของเขาแล้ว ภายในระยะเวลาสิบปีสามารถเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิตได้ก็ไม่เลวแล้ว แต่แค่ลูกท้อเพียงลูกเดียว กลับทำให้เขาประหยัดเวลาการฝึกฝนไปสิบปี โจวเซี่ยวเทียนจึงรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

“อ้อใช่ อาจารย์ครับ เหมาโถวล่ะ? ทำไมไม่เห็นมันเลย?” ตอนนี้โจวเซี่ยวเทียนเพิ่งพบว่า เหมาโถวที่ติดเยี่ยเทียนเป็นเงาตามตัวมาตลอดไม่ได้อยู่ข้างกายของเขา

ถึงแม้เจ้าตัวเล็กจะซุกซนไปบ้าง แต่มันก็เข้าใจนิสัยของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นโจวเซี่ยวเทียนหรือครอบครัวตระกูลเยี่ย ต่างก็รักและโปรดปรานมันเป็นอย่างมาก

“เรื่องนี้ค่อยเล่าให้นายฟังทีหลัง”

เยี่ยเทียนโบกมือแล้วพูดว่า “ตอนนี้นายรีบออกจากภูเขา แล้วขับรถเข้าไปในเขตเมือง ซื้อเหล้าชั้นดีที่พอจะซื้อได้มาให้หมด จากนั้นก็จ้างคนให้ขนเข้ามาในภูเขา!”

เรื่องที่รับปากวานรขาว เยี่ยเทียนจึงต้องจัดการให้เหมาะสมอยู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถือว่าเจ้าลิงก็เป็นตัวเริ่มที่ทำให้เขาเข้าสู่ระดับของการฝึกบำเพ็ญตบะ ถ้าหากไม่รู้จักมัน เกรงว่าเยี่ยเทียนยังคงจะเป็นกบในกะลาครอบเหมือนอย่างทุกวันนี้

“ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้!”

โจวเซี่ยวเทียนมีข้อดีอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องที่เยี่ยเทียนไม่พูด เขาก็จะไม่ซักถามเด็ดขาด จากนั้นจึงสะพายกระเป๋าเป้ทันที หลังจากบอกลาเยี่ยเทียนแล้วจึงเดินออกไปนอกภูเขา

หลังจากโจวเซี่ยเทียนออกไป เยี่ยเทียนก็กลับไปนั่งทำสมาธิที่ห้อง แล้วทำตามวิธีการฝึกฝนของจิตดั้งเดิม

พอได้รู้จักวานรขาวแล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้สึกถึงความเล็กกระจิดริดของตัวเอง เขาไม่เคยเจอยอดฝีมือมาก่อน ไม่อย่างนั้นเกรงว่าแค่เพียงนิ้วเดียวก็สามารถกดเขาให้อยู่หมัดแล้ว

ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงเร่งรีบอยากจะแข็งแกร่งให้เร็วขึ้นกว่าสิ่งอื่นใด และถ้าเป็นไปตามที่วานรขาวพูด หากสามารถฝึกถึงระดับเซียนขั้นปลายได้ อย่างน้อยก็จะมีอายุขัยถึงสามร้อยปี สำหรับเยี่ยเทียนแล้วเป็นสิ่งที่ดึงดูดมาก

พลังปราณชีวิตแห่งฟ้าดินไหลเข้าสู่จิตดั้งเดิมที่อยู่เหนือศีรษะของเยี่ยเทียนไม่ขาดสาย ไม่ช้าเขาก็เข้าสู่การเข้าฌานระดับลึก จนกระทั่งฟ้าสาง เสียงไก่ตัวผู้ในลานบ้านร้องขัน เยี่ยเทียนจึงค่อยๆ ตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ

“ปราณวิเศษน้อยเกินไป ไม่แปลกใจเลยที่ไม่เห็นผู้ฝึกตนสักคนบนโลกใบนี้?”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความจนใจ เขานั่งขัดสมาธิโคจรลมปรารมาเจ็ดแปดชั่วโมง ผลลัพธ์ยังสู้ตอนที่ฝึกวรยุทธอยู่ในถ้ำของวานรขาวไม่ได้ ดูเหมือนจิตดั้งเดิมจะไม่มีการพัฒนาขึ้นเลย

ตรงนี้อยู่ในตำแหน่งของภูเขาลูกใหญ่ ปราณวิเศษจึงเข้มข้นกว่าในเมืองเป็นร้อยเท่า ถึงแม้เป็นเช่นนี้ ก็ยังไม่พอให้เยี่ยเทียนใช้ฝึกวรยุทธ

“เอ๊ะ? น้อง..น้องเยี่ย คุณ กลับมาตั้งแต่เมื่อไร?”

เยี่ยเทียนเดินออกมาจากประตู แล้วจึงเจอกับเหล่าฉีที่ตื่นแต่เช้าตรู่พอดี ทำให้เหล่าฉีตกใจมาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะฟ้าสว่างแล้ว เขาคิดว่าคงจะเห็นผีจริงๆ

เยี่ยเทียนยิ้มพูด “กลับมาเมื่อคืนครับ พวกคุณพักผ่อนกันหมดแล้ว ผมจึงไม่อยากรบกวนครับ”

“แล้วเสี่ยวโจวล่ะ?” เหล่าฉีชะโงกศีรษะมองเข้าไปในลานบ้าน

“ลงจากภูเขาไปแล้วครับ”

เยี่ยเทียนกดเสียงพูดให้ต่ำลง พร้อมกับแสดงสีหน้าลึกลับออกมา พลางพูด “เหล่าฉี ตอนที่ผมอยู่ในภูเขาผมเจอเทพเซียนเข้าฝัน เทพเซียนบอกว่าอยากดื่มเหล้า ดังนั้นผมจึงให้เซี่ยวเทียนลงจากภูเขาไปซื้อเหล้าครับ!”

เยี่ยเทียนกลัวว่าโจวเซี่ยวเทียนเมื่อเอาเหล้าเข้ามาในภูเขาแล้วจะพูดไม่ถูก เขาจึงกุเรื่องขึ้นมาดื้อๆ ถึงอย่างไรเหล่าฉีก็เคยกล่าวคำสาบานกับเทพพยาดาที่อยู่ในภูเขามาก่อน หากพูดแบบนี้เขาจะยอมรับและเข้าใจง่าย

“เทพ..เทพเซียนเข้าฝัน?”

เหล่าฉีตะลึงกับคำพูดของเยี่ยเทียน ถึงแม้เขาจะเคยได้ยินคำเล่าขานที่อยู่ในภูเขามาบ้าง แต่พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดเท่านั้น ก็รู้สึกเหมือนฟังนิทานพันหนึ่งราตรีก็ไม่ปาน

“ใช่แล้ว อาจจะเป็นเพราะนิทานที่คุณพูดก็ได้” เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้นมา แล้วพูดว่า “ถึงยังไงผมก็พอมีเงิน พวกเราก็ขอพรเพื่อความสบายใจก็แล้วกันดีไหม?”

“ใช่ ใช่ จะผิดใจกับเทพเซียนไม่ได้ น้องเยี่ย คุณทำธุระของคุณไปนะ ฉันจะไปให้อาหารหมูแล้ว!”

เหล่าฉีถูกเยี่ยเทียนพูดใส่จนงง ตอนที่เขาเดินไปที่ลานหลังบ้าน ก็เดินสะดุดก้อนหินจนล้มลงไป

“เหล่าฉีคนนี้ เป็นคนตลกจริงๆ!” มองดูเหล่าฉีคลานลุกขึ้นมา พร้อมกับในปากที่ยังบ่นพึมพำว่าเทพเซียนเข้าฝันไปด้วย ทำเอาเยี่ยเทียนได้ยินจนกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้

ตลอดทั้งวัน เหล่าฉีสองสามีภรรยาต่างมองเยี่ยเทียนด้วยสายตาที่แปลกประหลาด จนกระทั่งเวลาพลบค่ำ หลังจากที่โจวเซี่ยวเทียนพาคนจำนวนสามสิบกว่าคนเข้ามาในภูเขาแล้ว เหล่าฉีถึงได้เชื่อคำพูดของเยี่ยเทียน

“เฮ้ นายซื้อเหล้าไปเท่าไรกัน?”

เมื่อเห็นคนสามสิบคนนั้นหาบเหล้ามาคนละสามสี่ลัง คราวนี้เยี่ยเทียนถึงกับงงมาก ต่อให้เป็นหกขวดต่อหนึ่งลัง ทว่าทั้งหมดก็มีมากถึงเจ็ดแปดร้อยขวด ถ้าวานรขาวดื่มวันละสองขวดก็มากพอที่จะให้มันดื่มได้เป็นปีเลยทีเดียว

“อาจารย์ ผมซื้อเหล้าดีมาจากในเมืองตามที่อาจารย์บอกแล้วครับ!”

โจวเซี่ยวเทียนพูดอย่างละอายนิดหน่อย “ในเมืองนี้มีเหล้าเหมาไถกับอู่เหลียงเย่ไม่มาก จึงหามาได้สองสามลัง ส่วนอย่างอื่นก็มีเหล้าหลูโจวเหล่าเจี้ยนกับเจียนหนานชุน และจ่ายเงินไปทั้งหมดสามแสนกว่าหยวนครับ”

โจวเซี่ยวเทียนเข้าไปในเขตเมืองตั้งแต่เช้า เที่ยวเคาะประตูร้านขายส่งเหล้าบุหรี่รายใหญ่ของแต่ละเขต เขาเหมาเหล้าทั้งระดับกลางและระดับสูงที่อยู่ในร้านใหญ่ๆ จนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ ถ้าหากหาคนที่เต็มใจยอมขนย้ายเข้ามาในภูเขาไม่เจอ คาดว่าจำนวนน่าจะมีมากกว่านี้

“ตกลง เอาไปวางในลานบ้านก่อน!”

เยี่ยเทียนส่ายหน้าด้วยความขมขื่น หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้เยี่ยเทียนคงจะให้เขาซื้อเอ้อร์กัวโถวมาเลยจะดีกว่า เพราะหลังจากที่เอาเหล้าดีเหล่านี้มาเลี้ยงวานรขาวคนเคยตัว ไม่แน่คงจะต้องเอามาส่งแบบนี้ทุกปีเป็นแน่

หลังจากรอให้โจวเซี่ยวเทียนจ่ายเงินให้กับคนงานขนของเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนจึงมองไปที่เหล่าฉีที่กำลังอึ้งอ้าปากค้าง พลางยิ้มพูด “เหล่าฉี คุณชอบดื่มแบบไหน มาเลือกเอาไปไว้ในบ้านสักสองสามลังสิ ส่วนอย่างอื่นผมจะเอาเข้าไปส่งในภูเขาเย็นๆ หน่อย!”

“ไม่…ไม่ เหล้าที่ให้เทพเซียน ผมจะกล้าดื่มได้ยังไง?” เหล่าฉีรีบโบกมือเป็นพัลวัน พร้อมกับตกใจจนหน้าขาวซีด

“มีเทพเซียนจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้”

เยี่ยเทียนจึงพูดว่า “เหล่าฉี เดี๋ยวคุณช่วยผม เอาเหล้าเข้าไปส่งด้วย แล้วอีกสองสามวันคุณค่อยเข้าไปดูอีกที ถ้าหากเหล้าไม่หายไป คุณก็ขนกลับบ้านได้เลย!”

เมื่อไม่มีคนนอก โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่กลัวที่จะทำให้เหล่าฉีตกใจ จากนั้นจึงมัดลังเหล้ายี่สิบลังเข้าด้วยกัน ต้องเดินไปกลับสี่ห้ารอบ ถึงได้นำเหล้าไปส่งตามตำแหน่งที่เยี่ยเทียนระบุไว้ การเดินกลับไปกลับมาแบบนี้ เกือบจะเดินกันถึงดึกดื่นเที่ยงคืน

“ไม่เลว ถือว่าเจ้ายังมีคุณธรรมนะ” แสงสีขาวผ่านแวบหนึ่ง แล้วเหล่าฉีกับโจวเซี่ยวเทียนที่นั่งอยู่ข้างกองลังเหล้าก็สลบไปทันที จากนั้นวานรขาวก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเยี่ยเทียน

วานรขาวมองดูเหล้าขาวเหล้านั้นทีละลัง แล้วจึงเกาหน้าเกาแก้มด้วยความดีใจ แต่ก่อนมันได้แต่ขโมยเหล้าที่อยู่รอบๆ หมู่บ้านเท่านั้น ทว่าตอนนี้มันรู้สึกตื่นเต้นดีใจจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้ว

“จี จี!” เหมาโถวกระโดดลงมาจากไหล่ของวานรขาว แล้วกระโจนไปอยู่ที่ไหล่ของเยี่ยเทียน พลางใช้กรงเล็บเกาไปที่เส้นผมของเยี่ยเทียนอย่างอาลัยอาวรณ์

“ท่านผู้อาวุโส รบกวนท่านช่วยดูแลเหมาโถวให้ดีด้วยนะครับ วันนี้ของปีหน้า ผมจะเอาเหล้ามาส่งให้อีก!” เยี่ยเทียนโค้งคำนับให้วานรขาวอย่างเต็มที่

ความสนใจของวานรขาวล้วนอยู่ที่เหล้าทั้งหมด มันจึงโบกมืออย่างรำคาญแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ มันแข็งแกร่งกว่าข้าและเจ้ามากนัก!”

เหล้ามากมายขนาดนี้ ต่อให้เป็นความสามารถของวานรขาว ก็ต้องขนไปขนมาสามรอบ ตอนที่ใกล้จะจากกัน เหมาโถวก็แอบยัดเหอโส่วอูที่มีอายุเกือบร้อยปีหนึ่งก้านใส่ในมือของเยี่ยเทียน