ตอนที่ 700 ขอเตือน

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 700 ขอเตือน
“เสี่ยวเทียน เสี่ยวจู้มาหานายสองสามครั้งแล้ว มัวแต่หลบอย่างเดียวก็ไม่ถูก แบบนี้ไม่มีมารยาทเกินไป!”

เมื่อเห็นสีหน้าเก้ๆ กังๆ ของจู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่ อวี๋เฮ่าหรานจึงช่วยพูดแก้สถานการณ์ให้ทั้งสองคน เขาเป็นผู้ให้วิชาความรู้กับเยี่ยเทียนตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ก็เป็นพ่อตาของเขาอีก ดังนั้นการพูดจาจึงไม่ต้องเกรงใจมากนัก

“พ่อครับ ทำไมผมต้องหลบพวกเขาด้วย?” เยี่ยเทียนเบ้ปาก แล้วพูดว่า “สองสามวันก่อนผมออกไปข้างนอก ไม่ได้อยู่บ้าน ใครบอกให้พวกเขามาไม่ถูกจังหวะล่ะ!”

เยี่ยเทียนรู้ดี สำหรับจุดประสงค์ในการมาของจู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่ แต่ทว่าเมื่อก่อนเขาได้พูดจาแย่ๆ ไว้ก่อนแล้ว ทั้งสองคนไม่ฟัง และเยี่ยเทียนก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น

“พวกเรามาผิดเวลาเองครับ ท่านเยี่ย ท่าน…คิดว่าพวกเราควรไปคุยกันที่อื่นได้ไหมครับ?”

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ต่งเซิงไห่จึงรีบยิ้มขอโทษ ถึงแม้เยี่ยเทียนจะไม่มีอำนาจในสมาคมหง เหมิน แต่ตามลำดับอาวุโสแล้ว ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้

“เยี่ยเทียน ฉันผิดเอง ฉันขอโทษนายด้วยนะ!”

จู้เหวยเฟิงก็ประสานมือคารวะเยี่ยเทียนยกใหญ่ พวกเขามาหาเยี่ยเทียนกี่ครั้งก็ไม่ได้เจอหน้า และรู้ว่าความสัม พันธ์ของเยี่ยเทียนกับตระกูลซ่งไม่ดีเท่าไร พอดีเขาได้รู้จักกับอวี๋เฮ่าหรานโดยบังเอิญ จึงถือวิสาสะใช้ความสัมพันธ์นี้

แต่พออวี๋เฮ่าหรานเห็นภาพนี้กลับงงเป็นไก่ตาแตก ถึงแม้เขาจะทำธุรกิจใหญ่ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอย่างจู้เหวยเฟิง ส่วนใหญ่ก็จะมองเขาเป็นเหมือนตู้เอทีเอ็ม จึงไม่มีความรู้สึกมั่นใจเลยสักนิด

แต่คนอย่างจู้เหวยเฟิง กลับทำท่าทีแบบนี้กับเยี่ยเทียน จึงทำให้อวี๋เฮ่าหรานรู้สึกประหลาดใจมาก หากรู้ว่าลูกเขยเก่งขนาดนี้ ตัวเองจะไปสนใจคนพวกนั้นทำไม?

อวี๋เฮ่าหรานรู้เรื่องคุณตาของเยี่ยเทียน และเขาก็รู้ถึงความไม่สามัคคีปรองดองของตระกูลเยี่ยกับตระกูลซ่งเช่น กัน ดังนั้นเยี่ยเทียนไม่มีทางใช้หน้าตาของตระกูลซ่งมาโอ้อวดต่อผู้อื่นแน่นอน เพราะฉะนั้นจึงทำให้เขาตกตะลึงเช่นนี้

เยี่ยเทียนไม่อยากให้พ่อตารู้เรื่องที่ตัวเองไปชกมวยใต้ดิน จึงรีบพูดว่า “พ่อครับ พ่อไปพักผ่อนก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยมาทานข้าวด้วยกัน ผมมีเรื่องต้องคุยกับพวกเขานิดหน่อยครับ”

“ได้ พวกนายไปเถอะ!” อวี๋เฮ่าหรานพยักหน้าหงึกๆ แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง

ตอนแรกได้ยินว่าลูกสาวกับเยี่ยเทียนคบกัน อวี๋เฮ่าหรานไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็เห็นแก่หน้าเพื่อนเก่า ถึงได้ตกลง จวบจนวันนี้ ระดับที่เยี่ยเทียนอยู่นั้น แม้แต่เขาก็ยังมองไม่ชัดเจน

“ตอนนี้พวกคุณสองคนเก่งมากนักเหรอ?”

หลังจากเดินมาถึงเซียงฝาง (เรือนตะวันออกและเรือนตะวันตก) ที่อยู่ตรงลานหน้าบ้าน เยี่ยเทียนจึงมีสีหน้านิ่งขรึมทันที แล้วมองจู้เหวยเฟิงอย่างไม่เป็นมิตรพร้อมกับพูดว่า “นายนี่เก่งนักนะ ถึงมาหาพ่อตาของผมได้ คราวหน้าถ้าหาผมไม่เจอ คงไม่ลักพาตัวครอบครัวของผมเลยเรอะ?”

เรื่องของยุทธภพก็คือเรื่องของยุทธภพ เยี่ยเทียนไม่พอใจมากที่สุดก็เพราะตัวเองถึงทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อนไปด้วย การกระทำของจู้เหวยเฟิง ได้ฝ่าฝืนขีดจำกัดต่ำสุดของเขาแล้ว ถ้าหากเมื่อครู่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าอวี๋เฮ่าหราน เยี่ยเทียนคงโกรธไปนานแล้ว

“เยี่ยเทียน ฉันไม่ได้ตั้งใจไปหาลุงจู้จริงๆ นะ”

เมื่อเห็นสายตาเย็นชาของเยี่ยเทียน จู้เหวยเฟิงจึงรู้สึกหนาวถึงก้นบึ้งหัวใจโดยไม่รู้ตัว แล้วรีบพูดว่า “สองสามวันก่อนฉันไปทำธุระที่เซี่ยงไฮ้ แล้วลุงจู้ก็พูดถึงนาย เขาบอกว่าจะมาปักกิ่งพอดี ดังนั้นถึงได้มาด้วยกันยังไงเล่า”

ใช่ว่าจู้เหวยเฟิงจะไม่มีประสบการณ์ในสังคมเสียเมื่อไร ดังนั้นจึงรู้ว่าการที่ตัวเองเชิญอวี๋เฮ่าหรานให้ออกหน้านั้นไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร และเรื่องจริงก็เป็นอย่างที่เขาพูด เขาได้ “เจอ” กับอวี๋เฮ่าหรานในงานเลี้ยงโดยบังเอิญ

แน่นอนว่า ถึงแม้จู้เหวยเฟิงจะไม่ได้พูดให้กระจ่างแจ้งทั้งหมด แต่ก็แอบชี้จุดให้อวี๋เฮ่าหรานอยู่สองสามประโยค ไม่อย่างนั้นคิดว่าอวี๋เฮ่าหรานจะปล่อยธุรกิจของตัวเอง ไม่สนใจ จนว่างมากแล้ววิ่งแจ้นมาหาลูกเขยหรือ?

“อย่ามาเล่นไม้นี้ คิดว่าฉันเยี่ยเทียนโง่นักเหรอ?”

เยี่ยเทียนไม่ฟังการอธิบายของจู้เหวยเฟิงแม้แต่น้อย พลางใช้สายตาที่เย็นชากวาดมองทั้งสองคน แล้วพูดว่า “เรื่องที่ผมไม่อยากทำ ไม่ว่าใครก็บังคับผมไม่ได้ ถ้าหากวุ่นวายมาถึงครอบครัวของผม อย่าโทษที่คนแซ่เยี่ยอย่างผมจะโกรธแล้วไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้นนะ!”

ก่อนที่จะเจอวานรขาว เยี่ยเทียนรู้สึกภาคภูมิใจแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้เป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้ ว่าตัวเองเป็นเพียงกบในกะลาเท่านั้น โลกที่กว้างใหญ่ ยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเขามากมายนัก

ดังนั้นพฤติการณ์ของเยี่ยเทียนจึงไม่กำเริบเสิบสานเหมือนเมื่อก่อน กฎของยุทธภพคือการไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนในครอบครัว แล้วใครจะรู้ว่าผู้บำเพ็ญตบะจะทำตามกฎด้วยหรือไม่?

“ท่านเยี่ย ครั้งนี้ผมแซ่ต่งกับจู้เหวยเฟิงทำไม่ถูกเอง ท่านวางใจได้ ครั้งหน้าจะทำอีกอย่างเด็ดขาด!”

เมื่อนึกถึงฝีมือในการชกมวยบนเวทีมวยใต้ดินของเยี่ยเทียนแล้ว ต่งเซิงไห่จึงไม่กล้าอธิบาย และได้แต่ขอโทษด้วยความเฉลียวฉลาด เพราะคนอย่างเยี่ยเทียน จะมาเล่นแง่กับเขา ก็คงจะนำมาซึ่งความอัปยศแก่ตัวเอง

“ครั้งนี้ไม่เป็นไร ครั้งต่อไปจะทำไม่ได้อีก”

เยี่ยเทียนโบกมือแล้วพูดว่า “ถ้าหากจะพูดเรื่องชกมวยใต้ดินที่ประเทศไทย ก็ไม่ต้องพูดแล้ว เหล่าถังน่าจะบอกคำพูดของฉันไปแล้วใช่ไหม?”

เมื่อได้พบหน้า เยี่ยเทียนก็มองออกถึงสีหน้าของต่งเซิงไห่กับจู้เหวยเฟิง จู้เหวยเฟิงยังพอได้ เคราะห์ในครั้งนี้ถึงแม้จะเป็นเหตุการณ์รุนแรงและอันตราย แต่ก็ไม่ถึงแก่ชีวิต ทว่าต่งเซิงไห่นั้นอันตราย ไม่แน่อาจจะเสียชีวิตที่นั่น

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ต่งเซิงไห่จึงรีบอธิบายทันที “ท่านเยี่ย พวกเรารู้ว่าอาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดี ผมแค่อยากจะเชิญท่านไปเพื่อสร้างความกดดันในสนามเสียหน่อย ไม่ได้ต้องการให้ท่านลงมืออย่างแน่นอน!”

ต่งเซิงไห่กับจู้เหวยเฟิงจัดการแข่งขันชกมวยใต้ดินในเอเชียอย่างยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ อุตส่าห์นำเรือสำราญควีนอลิซาเบธออกมาด้วย และจนกระทั้งตอนนี้ ก็มีนักชกสี่คนที่เป็นสิบอันดับแรกของโลกยอมตกลงเข้าสังเวียนแล้ว

แต่ระหว่างที่ทั้งสองคนดีใจก็รู้สึกเป็นกังวลไปด้วย ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีนักมวยที่เก่งถึงขนาดกดดันสนามได้ และกลัวว่าถึงตอนนั้นจะถูกท้าทาย จึงได้มาหาเยี่ยเทียนนั่นเอง

จากมุมมองของต่งเซิงไห่ การแสดงออกของเยี่ยเทียนตอนที่อยู่ในเรือสำราญควีนอลิวาเบธ ขอเพียงเขาสามารถไปเที่ยวชมการชกในครั้งนี้ได้ ก็ไม่มีใครกล้าทำให้พวกเขาลำบากใจในการแข่งขันครั้งนี้ ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุหลักที่เขามาเชิญเยี่ยเทียน

“กดดันสนามฉันก็ไม่ไป อะไรที่ควรพูด ฉันก็พูดตอนอยู่บนเรือสำราญควีนอลิซาเบธไปแล้ว คนที่กล้าหาเรื่องพวกคุณ ก็คงไม่ไว้หน้าผมเช่นกัน ผมไปก็ไม่มีประโยชน์”

เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “เหล่าต่ง ผมขอเตือนพวกคุณทั้งสองคน ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปัญหา ไปไม่ได้เด็ดขาด พวกคุณไปครั้งนี้ล้วนมีเคราะห์ หากเบาหน่อยก็บาดเจ็บหนัก หากรุนแรงก็ถึงแก่ชีวิต!”

ถึงแม้เยี่ยเทียนตัดสินใจว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นแล้ว แต่ก็รู้สึกดีตอนที่อยู่บนเรือสำราญควีนอลิซาเบธกับทั้งสองคน เยี่ยเทียนจึงเผยความลับสวรรค์ออกมาอีกแล้ว

“เบาหน่อยก็บาดเจ็บหนัก หากรุนแรงก็ถึงแก่ชีวิต? เยี่ยเทียน นายล้อเล่นใช่ไหม?”

จู้เหวยเฟิงได้ยินจึงตกตะลึง ประเทศไทยและประเทศจีนมีพรมแดนติดต่อกัน ทั้งสองประเทศมีการไปมาหาสู่กันไม่น้อย จู้เหวยเฟิงก็มีเพื่อนทหารที่ประเทศไทยพอสมควร เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเกิดเรื่องอะไรเวลาที่อยู่ในประเทศไทย

“ใช่แล้ว ท่านเยี่ย ท่านคิดมากเกินไป การแข่งขันมวยใต้ดินครั้งใหญ่นี้ถูกจัดขึ้นโดยราชวงศ์ของประเทศไทย จึงไม่มีข้อผิดพลาดอย่างเด็ดขาด ท่านวางใจเถอะครับ”

ต่งเซิงไห่ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเยี่ยเทียนเท่าไร เขาไม่เชื่อว่าฟรุสจะกล้าเล่นตุกติกลงมือกับเขาที่ประเทศไทยได้ เพราะสมาคมหงเหมินที่อยู่เบื้องหลังเขาก็ไม่ได้มีไว้เฉยๆ

“อะไรที่ควรพูดผมก็พูดแล้ว เชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่พวกคุณ”

เมื่อเห็นต่งเซิงไห่ยังอยากจะพูดต่อ เยี่ยเทียนจึงโบกมือ แล้วพูดว่า “พวกคุณไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เรื่องสกปรกครั้งนี้ผมไม่ขอเข้าไปยุ่ง พวกคุณระวังตัวให้ดีๆ ก็แล้วกัน อ้อ ตอนกลางวันผมคงไม่เชิญให้ทานข้าวด้วยกันนะครับ!”

เยี่ยเทียนไม่ให้โอกาสทั้งสองคนได้พูด และรีบส่งแขกทันที เมื่อเห็นเยี่ยเทียนยืนกรานขนาดนั้น ต่งเซิงไห่กับจู้เหวยเฟิงจึงถูกเยี่ยเทียนส่งออกมาจากเรือนสี่ประสานด้วยความแค้นใจ

“เหวยเฟิง นายคิดว่าเรื่องนี้จะทำยังไงดี?”

พอหันกลับไปมองประตูใหญ่ที่ปิดสนิทแล้ว ต่งเซิงไห่จึงยิ้มเจื่อนๆ เขาคาดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะไม่นึกถึงความสัมพันธ์ครั้งเก่า นึกจะโกรธก็โกรธแบบไว้หน้ากันเลย

“จะทำยังไงได้? ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน!”

จู้เหวยเฟิงเบ้ปาก ถึงแม้เขาจะเคยถือปืนถือมีดอยู่ในสนามรบมาก่อน แต่ในสายเลือดของเขาก็ยังมีนิสัยของผู้ลากมากดีอยู่ ไม่เคยถูกใครไล่ออกมาแบบนี้เลยสักครั้ง เวลานี้จึงรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

“ไม่มีคนฆ่าหมูแซ่จาง แล้วคิดว่าจะยังได้กินหมูติดขนอีกหรือ?”

จู้เหวยเฟิงพูดเสียงสูงว่า “ท่านไห่ ผมไม่เชื่อหรอกว่า ขาดเยี่ยเทียนไป แล้วพวกเราจะทำเรื่องอะไรไม่ได้? ทำตามแผนเดิม ผมจะไปประเทศไทยพรุ่งนี้ เพื่อยืนยันกับฟรุสอีกที!”

“ตกลง งั้นก็ตามนี้!”

ต่งเซิงไห่พยักหน้าแล้วพูดว่า “ผมจะไปโน้มน้าวบรอดฟิลด์อีกที มีเขาเป็นอันดับที่ห้าของโลกอยู่ ก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร”

เพื่อการจัดการแข่งขันการชกมวยใต้ดินในเอเชียครั้งนี้ ต่งเซิงไห่กับจู้เหวยเฟิงได้ทุ่มเทเป็นอย่างมาก ติดต่อประสานงานทุกฝ่ายเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงไม่อยากยกเลิกเพราะประโยคเดียวของเยี่ยเทียน

และที่สำคัญก็คือ ในสายตาของพวกเขา เยี่ยเทียนแค่มีเบื้องหลังและฝีมือที่น่าตกใจเท่านั้น ส่วนเรื่องเคราะห์ร้ายอะไร ทั้งสองคนไม่เชื่อเลยสักนิด พวกเขาสองคนผ่านเรื่องราวใหญ่โตมามากมาย แล้วจะตกใจกับคำพูดของเยี่ยเทียนหรือ

แน่นอนว่า ถ้าหากต่งเซิงไห่กับจู้เหวยเฟิงรู้เรื่องที่เยี่ยเทียนเคยทำนายเหตุการณ์ “โศกนาฏกรรม 9/11” เกรงว่าคงจะไม่ทำตัวสบายใจเช่นนี้ เพียงแต่คนที่รู้เรื่องนี้มีน้อยมาก ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเขากับเยี่ยเทียน จึงไม่มีทางรู้อยู่แล้ว

……

“เยี่ยเทียน พวกเขาสองคนล่ะ?” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนกลับมาที่เซียงฝางคนเดียว อวี๋เฮ่าหรานจึงตกตะลึงเล็กน้อย

“พวกเขากลับไปแล้วครับ”

เมื่อเห็นสีหน้าของพ่อตาดูเหมือนไม่ค่อยดี เยี่ยเทียนจึงยิ้มพูด “พ่อครับ ไม่เป็นไรหรอก ต่อไปไม่ต้องสนใจคนแซ่จู้อีก ถ้าเขามาหาเรื่องพ่อ เดี๋ยวผมจะจัดการให้!”

“ไอ้ลูกเวร ไม่มีมารยาทเลยสักนิด นี่มันก็เที่ยงแล้ว เชิญคนมาทานข้าวหน่อยจะกลัวอะไร?” เยี่ยตงผิงสั่งสอนลูกชายอยู่ข้างๆ เพราะไอ้ลูกคนนี้ไม่ค่อยจะไว้หน้าคนในครอบครัวเลย

เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีเรื่องอะไรหรอกครับ พ่อ เรื่องที่พวกเขาทำมันอันตรายมาก ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามอย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า”

“เหรอ? อย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ แกพักอยู่ที่บ้านให้สงบสุขสักวันสองวันเถอะ”

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เยี่ยตงผิงจึงไม่พูดอีก เรื่องที่อเมริกาก็ได้เป็นบทเรียนมาแล้ว ถ้าหากเยี่ยเทียนเป็นอะไรไปอีกครั้ง ซ่งเวยหลันคงต้องตามหาเขาจนสุดชีวิตอีก

ความสามารถของลูกเขย คนที่เป็นพ่อตาจึงได้แต่เชิดหน้าชูตา บวกกับเยี่ยเทียนก็เป็นนักเรียนของตัวเองอีก ฉะนั้นอวี๋เฮ่าหรานจึงไม่พูดอะไรมาก ถือเสียว่าปล่อยให้เรื่องนี้มันผ่านไปก็พอ

หลังจากทานข้าวกับพ่อตาและอยู่คุยเป็นเพื่อนพักหนึ่ง เยี่ยเทียนจึงให้อวี๋ชิงหย่าอยู่ต่อ แล้วตัวเองก็กลับไปที่ห้องหนังสือที่เรือนด้านหลังบ้าน ตั้งแต่จู้เหวยเฟิงสองคนมาจนถึงตอนนี้ จิตใจของเยี่ยเทียนยังคงอยู่ที่หินหยกดำนั่นอยู่