ตอนที่ 702 ถ่ายทอดวิชา

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 702 ถ่ายทอดวิชา
พูดตามจริง ในใจของเยี่ยเทียนก็สับสน ด้านหนึ่งก็ครอบครัวและคนรัก อีกด้านหนึ่งก็คือมหามรรคแห่งอายุ วัฒนะ ถ้าจะให้เลือกก็ยากมากจริงๆ หนำซ้ำความรู้สึกลอยล่องเหมือนดั่งเซียนยามที่ฝึกจิตดั้งเดิมนั้น ก็ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกเคลิบเคลิ้มหลงใหล

“เสี่ยวเทียน ลูกคงหิวมากแล้วใช่ไหม?”

เมื่อเห็นลูกชายยืนอยู่หน้าประตูราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ซ่งเวยหลันจึงพูดด้วยความเป็นห่วง “ไป ไปที่ห้องอาหาร แม่ทำข้าวต้มปลาไว้แล้ว ลูกทานข้าวต้มไปก่อน เพราะไม่ได้ทานอะไรมาหลายวัน จะทานมากไม่ได้!”

“ขอบคุณครับแม่!” หัวใจของเยี่ยเทียนรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ถ้าหากไม่มีครอบครัว แล้วมหามรรคแห่งอายุวัฒนะจะสำคัญไปใย? เยี่ยเทียนตัดสินใจในชั่วพริบตาเดียว

แน่นอนว่า เยี่ยเทียนไม่ได้บอกว่าจะไม่ฝึกวรยุทธแล้ว แต่รอหลังจากที่เขาฝึกเข้าสู่ระกับเซียนได้อย่างมั่นคงแล้ว เยี่ยเทียนจึงจะมุ่งความสำคัญไปที่ครอบครัว เพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่และภรรยาอีกหลายสิบปี

ถึงแม้ในสมัยโบราณจะมีสำนวนที่ว่าหนึ่งผู้บรรลุธรรม ไก่หมาพากันขึ้นสวรรค์ก็ตาม แต่เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าหวังมากขนาดนั้น ถึงอย่างไรการเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ต่อให้วรยุทธของเขาสูงแค่ไหน ก็ไม่อาจดูแลครอบครัวได้ทั้งหมด

เมื่อเข้าใจจุดนี้อย่างกระจ่าง จิตใจของเยี่ยเทียนก็เบิกบานทันที หลังจากใช้วิชาการฝึกจิตดั้งเดิมแล้ว มากสุดสามปีเขาก็จะเข้าสู่ระดับเซียนได้อย่างแน่นอน และหลังจากนั้นเขาก็จะอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่และภรรยาได้จริงๆ

“เยี่ยเทียน นายออกมาแล้ว?”

ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังสนทนากับแม่อยู่นั้น ประตูจากห้องเซียงฝางหลักที่อยู่เรือนด้านหลังก็เปิดออก อวี๋ชิงหย่ามองเยี่ยเทียนด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้นดีใจ รีบใส่รองเท้าแตะแล้ววิ่งเข้าไปหา

เยี่ยเทียนอุ้มอวี๋ชิงหย่าที่โผเข้ามากอดแล้วยิ้มพูดว่า “โอ้โห น้ำหนักขึ้นอีกแล้ว แบบนี้ไม่ได้นะ ต้องลดน้ำหนัก ไม่อย่างนั้นต่อไปฉันคงอุ้มเธอไม่ไหวแล้ว!”

“นายก็ ร้ายจริงๆ แม่มองอยู่นะ รีบวางฉันลงเดี๋ยวนี้!” อวี๋ชิงหย่าหน้าแดงก่ำ พลางใช้สองมือเล็กชกไปที่หน้าอกของเยี่ยเทียน

เมื่อเทียบกันแล้ว อวี๋ชิงหย่ารู้ถึงความพิเศษเฉพาะตัวของเยี่ยเทียนมากกว่า ช่วงที่เขาไม่ออกจากห้องหลายวันนี้จึงไม่ได้เป็นห่วงมากเหมือนกับซ่งเวยหลัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอที่ช่วยเกลี้ยกล่อม เกรงว่าซ่งเวยหลันคงจะพังประตูเข้าไปตั้งแต่สองวันแรกแล้ว

“กลัวอะไร พ่อยังเคยอุ้มแม่เลย แค่เธอไม่เคยเห็นก็เท่านั้น!” เยี่ยเทียนยิ้มพูดข้างหูของอวี๋ชิงหย่า “ไปอาบน้ำล้างหน้าสิ อีกสองวันฉันต้องออกไปข้างนอก สองสามวันนี้จึงอยากอยู่เป็นเพื่อนเธอ!”

ขณะที่พูด มือใหญ่ของเยี่ยเทียนก็โอบไปที่เอวคอดของอวี๋ชิงหย่าอย่างซุกซน ทำให้อวี๋ชิงหย่าตัวอ่อนยวบยาบขึ้นมาทันที พร้อมกับลมหายใจที่กระชั้นถี่มากขึ้น จากนั้นจึงผลักมือของเยี่ยเทียนออก แล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้อง

ซ่งเวยหลันอาบน้ำร้อนมาก่อน จึงมองออกถึงความร้ายกาจของลูกชาย จึงยิ้มพลางต่อว่า “เจ้าลูกคนนี้ ชอบรังแกชิงหย่าจริงๆ ต่อไปถ้ากล้าทำเรื่องที่ไม่ดีต่อเธอ ระวังแม่จะให้พ่อไปอัดลูกให้น่วมเลย!”

สำหรับลูกสะใภ้คนนี้ ซ่งเวยหลันพอใจเป็นอย่างมาก ยังไม่ต้องพูดถึงการอบรมสั่งสอนทางบ้านของอวี๋ชิงหย่า เพราะเธอเป็นคนมีมารยาทและใจกว้าง ไม่มีมาดหยิ่งของคุณหนู แถมยังเข้ากับคนในบ้านตระกูลเยี่ยได้เป็นอย่างดีอีกต่างหาก

“แม่ครับ จะเป็นไปได้ยังไง ลูกชายของแม่เป็นคนที่เปลี่ยนใจง่ายแบบนั้นเหรอครับ?” เยี่ยเทียนลูบท้องแล้วพูดว่า “ไม่ได้แล้ว หิวมากจริงๆ ต้องรีบหาอะไรทานเสียหน่อย!”

เยี่ยเทียนเหมือนจับเส้นชีพจรของซ่งเวยหลันได้แม่นยำ พอพูดเช่นนี้ ซ่งเวยหลันก็ย้ายความสนใจไปที่อื่นทันที แล้วจึงลากลูกชายเดินไปที่ห้องอาหารของเรือนกลาง

“เอ๊ะ เซี่ยวเทียน นายกลับมาจากฮ่องกงตั้งแต่เมื่อไร?” พอเพิ่งจะก้าวเข้ามาที่เรือนกลาง เยี่ยเทียนก็มองเห็นโจวเซี่ยวเทียนที่กำลังหยิบไม้กวาดกวาดใบไม้ที่ร่วงเต็มสวนอยู่พอดี

“อาจารย์ ผมกลับมาเมื่อวานซืนครับ”

เมื่อเห็นเยี่ยเทียนออกมาแล้ว โจวเซี่ยวเทียนจึงดีใจมาก พลางชี้ไปที่เรือนด้านหน้าแล้วพูดว่า “ท่านลุงทั้งสามมากันหมดเลยครับ แต่พวกเขาได้ยินว่าอาจารย์เก็บตัวถือศีล จึงไม่ให้ไปรบกวนท่านครับ!”

“ศิษย์พี่ทั้งสามมากันหมดเลย?”

เยี่ยเทียนได้ยินก็ตกตะลึง แล้วจึงหันไปพูดกับแม่ว่า “แม่ครับ ผมกับศิษย์พี่จะทานข้าวด้วยกัน ให้เซี่ยวเทียนยกอาหารไปทางโน้นนะครับ!”

เมื่อมาถึงเรือนด้านหน้า เยี่ยเทียนก็เห็นศิษย์พี่ทั้งสามคนกำลังยืนท่าควบม้าโคจรลมปราณอยู่ เมื่อเห็นเขาเข้ามา โก่วซินเจียและคนอื่นๆ จึงหยุดเดินโคจรลมปราณแล้วลุกขึ้น เข้ามาทักทาย

“ศิษย์น้องเล็ก ลูกท้อที่เธอให้เซี่ยวเทียนเอาไปให้ เธอได้มันมาจากที่ไหน?”

ถ้าหากพูดถึงศิษย์พี่ทั้งสองของเยี่ยเทียนบวกกับหนานไหวจิ่นแล้ว คนที่อดรนทนไม่ไหวมากที่สุดก็คือจั่วเจียจวิ้น พอเจอหน้า ก็ถามออกมาตามตรง

แค่ลูกท้อเพียงหนึ่งลูก ก็ทำให้การหลอมปราณสู่จิตในขั้นต้นของจั่วเจียจวิ้นเลื่อนระดับไปอยู่ขั้นกลาง และขาดอีกนิดเดียวก็จะสามารถบรรลุได้แล้ว

“พวกศิษย์พี่ทั้งหลาย หลายวันมานี้ผมไม่ได้ทานข้าวทานน้ำเลย พวกเราทานข้าวไป แล้วก็พูดไปด้วยดีกว่านะครับ”

เยี่ยเทียนพูดพลางยิ้มเจื่อน แล้วจึงพาคนสองสามคนเดินมาที่เซียงฝางของเรือนด้านหน้า ตรงนั้นโจวเซี่ยวเทียนได้ยกหม้อโจ๊กเดินเข้ามา และซ่งเวยหลันก็ถือจานที่มีอาหารพวกกับแกล้มเดินตามหลังมาด้วย

เยี่ยเทียนรับหม้อโจ๊กเข้ามาแล้วพูดว่า “เซี่ยวเทียน แม่ครับ พวกคุณไปทานข้าวเถอะ ผมมีเรื่องจะคุยกับพวกศิษย์พี่!”

เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเสินหนงเจี้ย (อาณาเขตแห่งเทพกสิกร) เยี่ยเทียนไม่ได้ปิดบังศิษย์พี่เหล่านี้อยู่แล้ว แต่คำพูดพวกนี้ไม่เหมาะที่จะให้แม่กับลูกศิษย์นั้นได้ยิน

หลังจากรอให้ซ่งเวยหลันกับโจวเซี่ยวเทียนออกไปจากห้อง โก่วซินเจียจึงมองสีหน้าของเยี่ยเทียนอย่างละเอียดแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก ฉันว่า ถึงแม้เธอจะไม่ได้ทานอาหารมาหลายวัน แต่เธอก็ดูมีชีวิตชีวามากนะ”

หนานไหวจิ่นก็พยักหน้าเช่นกัน “ถูกแล้ว ใบหน้าของศิษย์น้องเยี่ยเปล่งปลั่งและสดชื่น เวลาพูดก็มีกำลัง สงสัยคราวนี้จะได้ของดีมาไม่น้อย?”

“ศิษย์พี่ทั้งหลาย ให้ศิษย์น้องได้ทานอะไรนิดหน่อยก่อนนะครับ!”

เมื่อได้กลิ่นหอมของข้าวต้มปลา เยี่ยเทียนจึงไม่อยากพูดแล้ว หลังจากตักข้าวต้มให้ตัวเองจนเต็มถ้วย เขาก็ตักเข้าปากอย่างรวดเร็ว แล้วทานติดต่อกันสองถ้วย จากนั้นเยี่ยเทียนถึงได้วางตะเกียบลง

“การเดินทางไปเสินหนงเจี้ยครั้งนี้ ศิษย์น้องเพิ่งจะรู้ว่าอะไรคือกบในกะลา!”

เยี่ยเทียนถอนหายใจแล้วพูด “ศิษย์พี่ทั้งหลาย วิชาหลังจากการหลอมปราณสู่จิต ผมได้มาแล้วจริงๆ แต่สำหรับพวกเราแล้ว การหลอมปราณสู่จิตเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ยังห่างจากเส้นชัยมากนัก…”

อายุของทั้งสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน หากรวมกันก็มีอายุเกือบสองร้อยห้าสิบปี เยี่ยเทียนเชื่อว่าคำพูดของตัวเองได้ทำให้พวกเขาตกใจ แล้วจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองประสบพบเจอตอนที่อยู่เสินหนงเจี้ยให้ฟังอย่างละเอียด

“วานรเป็นเซียน? เป็นความจริงรึ?” ตอนที่เยี่ยเทียนพูดว่าได้เจอวานรขาวนั้น ต่อให้เป็นโก่วซินเจียและคนอื่นๆ ที่มีวรยุทธสูงส่ง ต่างก็อดลุกขึ้นยืนไม่ได้

ในหนังสือและคัมภีร์โบราณของลัทธิเต๋าสมัยโบราณมีบันทึกสัตว์เทพเจ้าที่คอยปกปักรักษาถ้ำอยู่ แต่ใครก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง และจากการบรรยายของเยี่ยเทียน ก็ทำให้ความรู้สึกของพวกเขานั้นกลับตาลปัตรไปหมด

“ถูกแล้ว วรยุทธของเจ้าลิงนั่นสูงกว่าผมมาก เกรงว่าแค่ฝ่ามือเดียวก็ตบผมตายได้!”

เยี่ยเทียนพยักหน้าอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “พอเข้าสู่ระดับเซียน ฝึกจิตดั้งเดิม ให้กลายเป็นปราณแท้ แล้วจึงจะเข้าสู่เส้นทางของผู้บำเพ็ญพรต ตอนนี้พวกเรา ก็เป็นแค่ปุถุชนที่ยังอยู่ในโลกมนุษย์เท่านั้น

ระดับเซียนนั้นแบ่งออกเป็นขั้นต้น ขั้นกลางและขั้นปลายสามระดับ เหนือสุดนั้นยังมีบรรลุจินตันสำเร็จมหามรรค และถ้ามากไปกว่านั้นสามารถสลายแกนทองก่อตั้งวิญญาณได้ นั่นถึงจะเป็นเซียนอย่างแท้จริงดังที่วานรขาวกล่าว!”

เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของเยี่ยเทียนแล้ว สีหน้าของโก่วซินเจียและคนอื่นๆ ก็ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น พวกเขาคิดไม่ถึงว่า การฝึกวรยุทธของตัวเองมาทั้งชีวิต ในสายตาของคนอื่นแล้วแม้แต่ประตูก็เหยียบเข้าไปไม่ได้

“พี่หยวนหยาง ศิษย์น้องเจียจวิ้น สงสัยคุณสมบัติของพวกรา จะยังไม่ถึงจริงๆ!”

หลังจากฟังเยี่ยเทียนพูดจบ หนานไหวจิ่นจึงถอนหายใจยาว เวลานี้เขาเพิ่งจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของยอดฝีมือท่านนั้นขณะที่ถ่ายทอดวิชาให้กับเขา ยามเป็นวัยรุ่นหากไม่อาจบรรลุระดับเซียนได้ เกรงว่าได้เสียความหวังของการเข้าสู่มหามรรคแห่งอายุวัฒนะแล้ว

ความจริงหนานไหวจิ่นก็ดูถูกตัวเองมากเกินไป พวกเขาสามคน รวมทั้งหลี่ซั่นหยวนอาจารย์ของเยี่ยเทียนที่จากไปแล้ว ล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติชั้นเลิศ ถ้าหากอยู่ในยุคโบราณ จะต้องเป็นของมีค่าที่ถูกผู้คนแย่งชิงอย่างแน่นอน

เพียงแต่พวกเขาเกิดมาไม่ถูกเวลา ช่วงกลางราชวงศ์ชิง มีหลายสิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกมนุษย์ เป็นผลทำให้ฟ้าดินเกิดเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ ปราณวิเศษมีน้อย ต่อให้เป็นคนที่มีความสามารถและพรสวรรค์ คนที่เกิดมาหลัง จากนี้ ก็ยากที่จะฝึกฝนวรยุทธต่อไปได้

และคนที่โชคดีโดยบังเอิญอย่างเยี่ยเทียน เกรงว่าร้อยปีก็คงจะมีเขาเพียงคนเดียว แน่นอนว่า ตอนนี้การฝึกจิตดั้ง เดิมของเยี่ยเทียนก็ยังอยู่ครึ่งๆ กลางๆ แต่ก็พอฝืนให้ตัวเองผ่านคุณสมบัติได้อยู่

เมื่อเห็นหนานไหวจิ่นมีท่าทีเงียบเหงาไม่มีความสุข เยี่ยเทียนจึงปลอบใจว่า “ศิษย์พี่หนาน อาจจะเริ่มต้นช้าไปเสียหน่อย แต่คนที่มาทีหลังใช่ว่าจะตามไม่ทันนะครับ ถ้าหากทุกท่านเข้าสู่ระดับเซียนแล้ว ความสำเร็จในภายภาคหน้าก็ไม่แย่กว่าคนพวกนั้นหรอกครับ!”

หนานไหวจิ่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พวกเรายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี? ต่อให้เข้าสู่ระดับเซียน กลัวว่าจะเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว”

เยี่ยเทียนได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมาแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่หนาน วรยุทธเข้าสู่ระดับเซียน อย่างน้อยก็เพิ่มอายุขัยได้ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบปีขึ้นไป พวกท่านยังถือว่าเป็นคนหนุ่มนะครับ”

“เอ๋? มีเรื่องแบบนี้ด้วย?”

หนานไหวจิ่นตาเป็นประกาย แต่ก็ยิ้มอย่างขมขื่นต่อและพูดว่า “ฉันกับศิษย์พี่ของเธอต่างก็ติดอยู่ที่การหลอมปราณสู่จิตมาเกือบยี่สิบปีแล้ว แค่อีกก้าวเดียวกลับก้าวไม่ออกน่ะสิ!”

“ใช่แล้ว ศิษย์น้องเล็ก เธอบรรลุขั้นได้อย่างสับสนมึนงง อย่างนั้นพวกเราก็ยิ่งไม่มีทางบรรลุได้ ไม่แน่ทั้งชีวิตนี้ก็คงหยุดอยู่แค่นี้แหละ!” โก่วซินเจียก็ถอนหายใจเช่นกัน เขาอายุเกือบเก้าสิบปีแล้ว ความหวังในการบรรลุยิ่งดูเลือนรางมากกว่าหนานไหวจิ่นเสียอีก

“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมได้ยินวานรขาวพูดว่า พอเข้าระดับเซียน อย่างแรกต้องก่อสร้างจิตดั้งเดิม จากนั้นนำปราณ โฮ่วเทียนที่อยู่ในร่างกายเปลี่ยนเป็นปราณแท้ของเซียน สงสัยถ้าอยากจะบรรลุ ก็ควรจะต้องเริ่มจากการฝึกฝนพลังจิตเสียก่อน”

เยี่ยเทียนพึมพำเล็กน้อยแล้วจึงพูดว่า “เคล็ดวิชาที่ผมได้รับนั้น มีวิชาของการฝึกพลังจิต เน้นการฝึกพลังจิตโดย เฉพาะ พี่กับศิษย์พี่หนานก็ได้วิชาการใช้พลังจิตมาไม่มากก็น้อย ผมรู้สึกว่าสามารถลองดูได้นะครับ!”

พอถึงขั้นปลายของการหลอมปราณสู่จิต ระดับของพลังจิตจะมีมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป อย่าว่าแต่โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นเลย แม้แต่จั่วเจียจวิ้นก็ยังสามารถใช้พลังจิตในการใช้วิชาทำนายและการสัมผัสได้

“มีวิธีการฝึกพลังจิตจริงหรือ? หลายปีมานี้ฉันก็ยังบรรลุไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าพลังจิตมีไม่มากพอ”

พอได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน หนานไหวจิ่นก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที แล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก นายเขียนวิธีการฝึกออกมา ให้พวกเราได้ลองดูแล้วค่อยว่ากัน!”

“ได้ครับ แต่ไม่ต้องเขียน เพราะผมสามารถถ่ายทอดวิชาให้พวกศิษย์พี่ได้เลยครับ!”

เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วจึงใช้วิธีการใช้เสียงถ่ายทอดด้วยพลังจิตที่วานรขาวได้สอนมาทั้งหมด นำข้อความหนึ่งย่อหน้าแยกส่งไปยังสตินึกรู้ของทั้งสามคน

“นี่คือความมหัศจรรย์ของพลังจิตใช่ไหม?”

ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าข้อความนั่นได้ปรากฏอยู่ในหัวอย่างกะทันหัน ต่อให้เป็นโก่วซินเจียที่มีจิตใจสงบนิ่งเหมือนขุนเขา ก็ยังมีสีหน้าที่ตื่นเต้นไม่หยุด

……………………………………………