เส้นผมสีเหลืองหนาของอสูรยักษ์กลายเป็นเชือกที่พันล้อมรอบฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไว้อย่างรวดเร็ว
ทุกคนไม่คาดคิดว่าอสูรตรงหน้าจะใช้วิธีการนี้และพยายามหลบหลีกจากมัน แต่แล้วก็ต้องพบว่าเชือกจากเส้นผมจากอสูรแผ่ปกคลุมไปทุกทิศทางรอบตัวจนไม่มีโอกาสรอดพ้นได้เลย
หลังจากพยายามดิ้นรนหลบหนีเพียงไม่นาน ทุกคนก็ถูกพันรอบตัวโดยเชือกเหล่านั้นและแทบขยับตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ
ตึบ ! ตึบ ! ตึบ !
คนทั้งกลุ่มล้มทรุดลงกระแทกพื้นทีละคน ๆ จนเกิดเสียงดังขึ้นมา
“เราจะทำอย่างไร เราจะทำอย่างไรกันดี ?! ข้ายังไม่อยากตาย !”
เสี่ยวยวี่ยวี่ตื่นตระหนกจนไม่อาจเก็บความรู้สึกไว้ได้ขณะมองไปที่อวิ๋นซื่อเทียนและกล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว
ในขณะที่หวังอวิ๋นเย่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่นั้น สายตาของเขาก็มองไปที่อวิ๋นซื่อเทียนเช่นกัน ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้เพื่อคลี่คลายสถานการณ์นี้เลย
“นี่มันเชือกอะไรกัน?”
อวิ๋นซื่อเทียนพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อหาทางเอาตัวรอด อย่างไรก็ตาม เชือกเส้นผมที่พันรอบตัวก็มัดแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับต้องการจะรัดพวกนางจนขาดอากาศหายใจและตายไป
“ท่าไม่ดีแล้ว ข้าใช้เพลิงอสูรของซิวไม่ได้”
ฉินอวี้โม่พยายามเรียกใช้เพลิงแห่งชีวิตของซิวทว่าพบว่าสายใยระหว่างตนและซิวถูกตัดขาดไปโดยพลังประหลาดบางอย่างและไม่สามารถใช้เพลิงทรงพลังนั้นได้เลย
“พลังแสงของข้าก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน”
เซิ่งเซียวพยายามใช้พลังแสงที่บริสุทธิ์ของตนเพื่อทำลายเชือกเหล่านี้ ทว่ามันกลับไม่มีผลแม้แต่น้อย
“โฮกกก !”
อสูรยักษ์คำรามเสียงดังก่อนยกเท้าขึ้นเพื่อเตรียมเหยียบย่ำลงไปที่ฉินอวี้โม่และทุกคน
หากถูกเหยียบโดยฝ่าเท้าขนาดมหึมานั้น ไม่ว่าพวกนางจะแข็งแกร่งเพียงใด พวกนางก็จะต้องกลายเป็นก้อนเนื้อบดในทันที
แน่นอนว่าไม่มีทางที่ฉินอวี้โม่จะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น นางประเคนหมัดกระแทกเข้าที่ฝ่าเท้าของอสูรยักษ์ไปโดยตรงและทำให้เท้าของมันกระเด็นไปด้านข้าง
เท้าของอสูรยักษ์ใหญ่จึงไม่ได้เหยียบลงบนร่างของทุกคนและเซออกไปเล็กน้อยก่อนเหยียบลงบนพื้นดินด้านข้างอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมา
มารยาก็ไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนเปลี่ยนร่างของตนเองให้กลายเป็นก้อนผลึกน้ำแข็ง
และก็เป็นจริงดังที่มันคิดไว้ เชือกรอบตัวแทบไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดและไม่สามารถควบคุมมันไว้ได้อีก
หลังจากหลุดออกไปจากเชือกรอบตัวและกลับคืนร่างมนุษย์อีกครั้ง กริชที่ดูแหลมคมก็ปรากฏขึ้นในมือของมัน
ฉับ !
กริชเล่มนั้นตัดเข้าไปที่เชือกซึ่งพันรอบร่างของฉินอวี้โม่ ทว่ามันกลับไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ เชือกจากเส้นผมของยักษ์ตนนี้เหนียวแน่นจนอาวุธธรรมดาไม่สามารถตัดขาดได้
“ข้าจัดการเอง !”
เสียงของเนตรปีศาจดังขึ้นพร้อมกับร่างของมันที่ปรากฏด้านข้างหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่
แสงสีแดงสว่างจ้าปรากฏในดวงตาของมันก่อนที่จะปล่อยลำแสงร้อนระอุตรงไปบนเชือกที่พันรอบตัวหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ไว้
เมื่อเผชิญกับลำแสงจากเนตรปีศาจ เชือกที่เหนียวแน่นนั้นก็คลายตัวอย่างรวดเร็วส่งผลให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหลุดเป็นอิสระจากพันธนาการนั้นได้
ทั้งสองสบตากันเล็กน้อยก่อนพุ่งตรงไปโจมตีอสูรยักษ์อย่างไม่ลังเล
เนตรปีศาจก็ลอยตัวไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยปลดปล่อยอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ
ตูมมม !
การโจมตีของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็กระทบเข้าไปที่ร่างของอสูรยักษ์อย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม มันเพียงเกิดเสียงดังสนั่นและแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยเท่านั้นโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บแต่อย่างใด
ยักษ์มหึมาตรงหน้าไม่เพียงแต่มีขนาดใหญ่เท่านั้นทว่ามันยังมีพลังป้องกันที่แกร่งกล้า แม้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของตนออกไป ทว่าก็ยังไม่สามารถทำลายการป้องกันของมันได้เลย
ในเวลานี้ อวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวก็เป็นอิสระจากเชือกแน่นหนาแล้วเช่นกัน ทั้งสองไม่รอช้าและปล่อยการโจมตีเข้าใส่อสูรยักษ์ใหญ่ทันที
“ทุกคนหลบไป !”
อวิ๋นซื่อเทียนตะโกนขึ้นเบา ๆ ก่อนระเบิดพลังมายาขนาดเล็กหลายลูกจะถูกโยนตรงไปยังคู่ต่อสู้
ตูมม ตูมม ตูมมม !
เมื่อเสียงระเบิดหลายคราเงียบลง เส้นผมและเส้นขนทั่วร่างอสูรยักษ์ก็กลายเป็นยุ่งเหยิงอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของมันในตอนนี้ก็มีรอยดำไหม้ปรากฏอยู่ซึ่งดูน่าเวทนาไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ลมหายใจของมันยังคงมั่นคงเช่นเดิมและไม่ได้รับความเสียหายที่รุนแรงใด ๆ
“นายท่าน ยักษ์ตนนี้ดูดซับพลังงานปีศาจเข้าไปมากเกินไปและสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว มันจะไม่รู้สึกกลัวหรือรู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย หากเราไม่หาจุดอ่อนของมันให้พบโดยเร็ว ข้าว่าเราควรถอยไปตั้งหลักกันก่อน”
เนตรปีศาจได้ตรวจสอบอสูรยักษ์ตนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาที่จริงจัง
ยักษ์ตนนี้กลายพันธุ์ไปจากเดิมมากและแทบจะไม่มีจุดอ่อนใดส่งผลให้ยากที่จะเอาชนะมันได้
แม้ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และทุกคนจะถือว่ายอดเยี่ยมพอสมควร พวกนางก็มิใช่ยอดฝีมือที่แกร่งกล้าที่สุด เพราะเหตุนั้นพวกนางจะไม่มีทางทำอันตรายใด ๆ ต่อยักษ์ตนนี้ได้หากไม่พบจุดอ่อนของมันเสียก่อน ต่อให้มีระเบิดพลังมายาที่ร้ายแรงกว่านี้ก็ไม่สามารถทำให้ยักษ์มหึมาบาดเจ็บสาหัสได้
“พี่อวิ๋นเย่ เราไปกันก่อนเถอะ ข้ายังไม่อยากตาย”
ในหัวใจของเสี่ยวยวี่ยวี่มีเพียงความต้องการที่จะหลบหนีขณะดึงแขนเสื้อของหวังอวิ๋นเย่เบา ๆ พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวลและน้ำเสียงสั่นเครืออย่างชัดเจน
หวังอวิ๋นเย่เงยหน้าขึ้นมองอสูรยักษ์ใหญ่ตรงหน้าก่อนกวาดสายตามองอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ที่กำลังต่อสู้และกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
“เข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ”
เขาละสายตาและหันหลังเดินจากไปอย่างไม่ลังเล
แม้ชื่นชอบและหมายปองอวิ๋นซื่อเทียนอยู่ หวังอวิ๋นเย่ก็รู้สึกว่าชีวิตของตนสำคัญกว่า ยักษ์ใหญ่ตนนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุดจนเขาอาจต้องตายอยู่ที่นี่หากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อต่อไป เพราะเหตุนั้นเขาจึงต้องการหลบหนีออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็กลัวว่าอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ จะตัดสินใจหลบหนีออกไปเช่นกัน เขาจึงไม่ได้กล่าวบอกกับพวกนางและหวังว่าพวกนางจะอยู่รับมือกับยักษ์ตนนี้ไว้เพื่อที่เขาจะได้หลบหนีออกไปอย่างปลอดภัยหายห่วง
เสี่ยวยวี่ยวี่ก็ตามไปอย่างรวดเร็วก่อนที่ทั้งสองจะหายไปจากระยะการมองเห็นของทุกคน
“น่ารังเกียจชะมัด กล้าพูดมาได้เต็มปากว่าหลงรักข้า ช่างหน้าไม่อายเลยจริง ๆ”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็สังเกตเห็นการกระทำของทั้งสองและไม่คิดขัดขวางแต่อย่างใด ทว่าอวิ๋นซื่อเทียนก็ถึงกับอดกลั้นไม่ไหวและกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์อย่างที่สุด
“ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาหรอก ตอนนี้เราควรจะสู้หรือหนีไปจากที่นี่ดี ?”
เซิ่งเซียวเผชิญกับการโจมตีของยักษ์ใหญ่และพยายามทรงตัวให้มั่นคงขณะกล่าวพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
ยักษ์ตนนี้มีพลังที่เรียกได้ว่าไร้ขีดจำกัดและไม่มีทางที่จะพ่ายแพ้ได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้น การทุ่มเทเพื่อเอาชนะต่อไปอาจเป็นอันตรายต่อตัวพวกเขาเอง
“ลองรับนี่ดูก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวออกมาในขณะที่เปลวเพลิงร้อนระอุของซิวปรากฏในมือ
พลังมายารอบตัวก็ก่อตัวรวมกันจนเพลิงมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และกลายเป็นก้อนเพลิงขนาดใหญ่ก่อนพุ่งตรงเข้าใส่อสูรยักษ์ใหญ่ตรงหน้า
“วู้…”
ทั้งร่างของอสูรยักษ์สั่นสะเทือนและเส้นขนทั่วร่างไหม้เกรียมไปเป็นวงกว้างพร้อมเสียงร้องโหยหวนที่ดังขึ้น
อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วอสูรยักษ์ก็ยังไม่ได้รับความเสียหายที่รุนแรงแต่อย่างใด พลังในการป้องกันของยักษ์ตนนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก
หลังจากปะทะกันอย่างต่อเนื่องอีกพักใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็ยังทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บหนักไม่ได้
ในทางตรงกันข้าม กระบวนท่าทรงพลังของอสูรยักษ์ก็พุ่งตรงมาที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จนได้รับผลกระทบไปตาม ๆ กัน นอกจากนี้ เซิ่งเซียวก็รับหมัดของอีกฝ่ายเข้าไปอย่างจังจนเลือดในร่างคุกรุ่นพลุ่งพล่านไปทั่ว หากมิใช่เพราะความแข็งแกร่งของเขา เกรงว่าเขาคงจะบาดเจ็บสาหัสไปนานแล้ว
“ข้าคิดหาวิธีได้แล้ว แต่ทุกคนต้องช่วยข้าเบี่ยงเบนความสนใจของมันไว้”
หลังจากไตร่ตรองพักใหญ่ ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็คิดหาวิธีขึ้นมาได้
“ข้าก็คิดหาวิธีได้แล้วเช่นกัน แต่คงจะเป็นวิธีที่แตกต่างไปจากเจ้า”
หานโม่ฉือกล่าวขึ้นมาเช่นกัน เขาพยายามจับตาดูการเคลื่อนไหวของอสูรยักษ์มาโดยตลอดและในเวลานี้เขาก็ค้นพบสิ่งที่น่าจะเป็นจุดอ่อนของมัน
เมื่ออสูรยักษ์ใหญ่ยกมือขึ้นสูง มันมักจะพยายามปกป้องบริเวณรักแร้ของตนไว้และนั่นอาจเป็นจุดอ่อนที่เขากำลังตามหา ตราบใดที่อสูรยกแขนขึ้นสูงในครั้งต่อไปและโจมตีตรงเข้าไปที่จุดรักแร้ของมัน มันก็อาจจะทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บได้พอสมควร
ทว่าวิธีการของฉินอวี้โม่เป็นการมุ่งเน้นโจมตีจากภายใน นางเชื่อว่าข้างในร่างกายของอสูรยักษ์จะไม่แข็งแกร่งเท่ากับภายนอก ตราบใดที่ปีนขึ้นหัวไหล่และขึ้นไปถึงข้างในหูของอสูรยักษ์ได้สำเร็จ จากนั้นนางก็จะสามารถโจมตีแก้วหูของมันได้
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าทั้งสองก็โจมตีด้วยกัน ส่วนพวกข้าจะรับหน้าที่เบี่ยงเบนความสนใจเอง”
อวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวมองหน้ากัน เพื่อรับประกันความแน่นอน พวกนางก็ควรที่จะลองใช้ทั้งวิธีการของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไปพร้อมกัน อย่างน้อยหากวิธีหนึ่งล้มเหลว พวกนางก็ยังเหลืออีกวิธีหนึ่งอยู่
“ตกลง !”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือพยักศีรษะทันที เวลานี้มารยาก็พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของอสูรยักษ์เช่นกัน
“โฮกกก !”
อสูรยักษ์ใหญ่คำรามดังสนั่นและยกแขนขึ้นสูงเพื่อเตรียมโจมตีอวิ๋นซื่อเทียนอีกครั้ง ทว่าในขณะเดียวกันนั้น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็เคลื่อนไหวออกไปตามแผนที่วางไว้ทันที