ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 91 ประสบพบหน้า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เมื่อเห็นศพลอยอยู่บนผิวทะเลสาบ เทียนไห่จันอีหน้าซีดในทันที ใบหน้าขาวซีดไม่ต่างไปจากกระดาษหรือหิมะ ดูคล้ายกับพี่ชายผู้โด่งดังของเขาขึ้นมาเล็กน้อย

นี่ไม่ได้หมายความว่าเขากลัวแต่เขาโมโห

“อีกครั้ง!” เขาตะโกนไปที่ร่างพร่าเลือนในหมอก

เสียงแตกหักดังขึ้นในอากาศ พวกเขาไม่พยายามที่จะซ่อนตัวในครั้งนี้ ยอดฝีมือตระกูลเทียนไห่หลายคนบนฝั่งพุ่งตัวข้ามระยะทางสิบกว่าจั้งเข้าสู่หมอกหนา

ในครั้งนี้มันก็มีการตอบสนองในที่สุด ตอบสนองอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง มีแสงหลายจุดสว่างขึ้น เหมือนกับถุงใส่น้ำถูกลูกศรคมแทงทะลุ

โผละ โผละ โผละ! ยอดฝีมือตระกูลเทียนไห่ระเบิดออกกลางอากาศ กลายสภาพเป็นเศษเนื้อนับไม่ถ้วนร่วงลงมาราวห่าฝน

ทะเลสาบถูกย้อมจนแดงฉานในทันที คลื่นม้วนตัวอย่างปั่นป่วน

หมอกไม่มีทีท่าจะสลายไป ยังคงหนาแน่น ชายหนุ่มเด็กสาวภายในก็ยังคงพร่าเลือน ทำให้ไม่อาจเห็นว่าพวกเขาทำอะไรกันแน่

หนิงสือเว่ยกับจูเยี่ยสบตากัน เห็นความกังวลในใจของอีกฝ่ายได้ พวกเขารู้ว่าเจ้าของยาจูซาผู้ลึกลับนี้ไม่ใช่คนธรรมดา และเพราะพวกเขาเตรียมใจไว้แล้วกับเรื่องนี้พวกเขาจึงมาเทือกเขาอันห่างไกลแห่งนี้ด้วยตัวเอง แต่ก็ยังไม่คิดว่าคนผู้นี้จะมีระดับการบำเพ็ญเพียรที่ยากหยั่งถึงเช่นนี้ มีวิชาที่ประหลาดยากอธิบายเช่นนี้ ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือเจตจำนงที่ไม่โอนเอนและโหดเหี้ยม

พวกเขาอดที่จะคิดไม่ได้ หรือว่าที่ตระกูลถังถอยไปก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้นเพราะพวกเขารู้อยู่แล้วและต้องการให้พวกตนมาเป็นทัพหน้า

เหมือนกับพวกเขาได้ลอบส่งคนไปที่ศาลานั่น

แต่ในตอนนี้ ก็สายเกินไปแล้วที่จะวางแผนอื่น

“เจ้ากำลังหาที่ตาย!” เทียนไห่จังอีโกรธมากจนร่างสั่น “ธนูไฟ!” เขาตะโกนอย่างเผ็ดร้อน

หนิงสือเว่ยไม่พูดอะไร เขามองไปที่หมอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย น้ำค้างแข็งบนเสื้อเกราะหนาขึ้นในทันที

เสียงสายธนูถูกดึงดังมาจากป่ารอบทะเลสาบ หน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์ร้อยกว่าคันของกองทัพซงซานเล็งไปที่ร่างในหมอกหนา

จูเยี่ยไม่พูดอะไรเช่นกัน ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ขนบนเสื้อขนสัตว์เริ่มชี้ขึ้นแทงใส่ท้องฟ้าราตรี เขาดูเหมือนกับเสือร้ายที่พร้อมกระโจนข้ามลำธารเข้าหาเหยื่อ

เขากับหนิงสือเว่ยต่างรู้ดีว่าหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์ร้อยกว่าคันของกองทัพซงซานนั้นไม่เพียงพอที่จะรับมือกับชายหนุ่มกับเด็กสาวภายในหมอกหนา ในทางกลับกันมันจะเป็นการกระตุ้นความโหดเหี้ยมของพวกเขาขึ้นมา หากทั้งคู่ต้องการเข่นฆ่าตีฝ่าออกไป พวกเขาจะโจมตีอย่างเต็มกำลัง ดังนั้นชัยชนะในวันนี้จะตัดสินด้วยการปะทะครั้งเดียวเท่านั้น

ด้วยการปะทะครั้งนี้ การต่อสู้จะจบลง เป็นธรรมดาที่ไม่มีฝ่ายไหนสามารถอ่อนข้อ ต้องใช้พลังออกมาอย่างเต็มที่

จูเยี่ยและหนิงสือเว่ยดูเหมือนจะเป็นปกติจากภายนอก แต่ในความเป็นจริงพวกเขาได้ขับเคลื่อนปราณแท้ เร่งปราณจนถึงจุดสูงสุด ตั้งใจจะสังหารหรือสยบคู่ต่อสู้เอาไว้ในการโจมตีครั้งเดียว

คนหนึ่งเป็นผู้นำตระกูลจู อีกคนเป็นขุนพลเทพแห่งต้าโจว ทั้งสองนั้นเป็นยอดฝีมือขั้นสูงของขั้นรวบรวมดวงดาวอย่างไม่ต้องสงสัย หน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์ร้อยกว่าคันกับการโจมตีของคนทั้งสองทำให้แม้แต่ยอดฝีมือบนประกาศเซียวเหยาอย่างเซียวจางหรือเหลียงหวังซุนต้องล่าถอย อย่าว่าแต่ชายหนุ่มกับเด็กสาว

เมื่อพวกเขาเตรียมที่จะโจมตีได้ทุกขณะ สายลมเย็นก็พัดผ่านมา

เทือกเขานี้อยู่ทางตอนเหนือสุด ใกล้กับแผ่นดินเผ่ามารอย่างมาก และตอนนี้ก็อยู่กลางฤดูหนาว ดังนั้นสายลมที่พัดผ่านภูเขาจึงเย็นเยียบอย่างที่สุด ถึงกับเสียดกระดูก อย่างไรก็ตาม สวนกับศาลาบนทะเลสาบตั้งอยู่ในจุดที่มีน้ำพุร้อน ดังนั้นต่อให้ลมที่เย็นที่สุดก็ต้องเสียความหนาวเย็นเมื่อมันผ่านทะเลสาบกลายเป็นแค่สายลมเย็นเท่านั้น

ลมเย็นนี้พัดใบบัวบนทะเลสาบและเสื้อผ้าบนศพ หมอกหนาที่ดูเหมือนจะไม่จางหายไปก็จางลงไปมาก

แสงดาวสาดส่องลงมาจากท้องฟ้า สะท้อนบนหิมะขาวที่ปกปิดป่าและส่องสว่างทะเลสาบให้ชัดเจนขึ้นมาก

ที่แห่งนี้เป็นสวนในแดนเหนือสุด ภูเขาทะเลสาบสร้างความแตกต่างอันงดงาม ต้นไม่ดอกไม้ปกคลุมลานบ้าน มีบัวอยู่ในทะเลสาบ ท่ามกลางดอกบัวมีศาลา สะพานไม้ทอดตัวจากเหนือลงใต้เชื่อมชายฝั่งกับศาลาเข้าด้วยกัน ในตอนนี้สะพานได้ขาดไปแล้ว

แสงดาวส่องลงบนที่ซึ่งสะพานได้ขาดลง ส่องบนมือข้างหนึ่งก่อน

เป็นมือเล็กๆ ข้างหนึ่ง ขาวบริสุทธิ์ราวกับหยกขาว อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้มันปกคลุมไปด้วยเลือด

เด็กสาวชุดดำมองดูมือนางและขมวดคิ้ว ปากเล็กๆ ของนางอ้าขึ้นเล็กน้อยมองเห็นลิ้นของนางได้รางๆ นางดูลังเลว่าจะเลียมือดีหรือไม่

ชายหนุ่มด้านข้างนางก้มหน้าและใช้ผ้าเช็ดน้ำออกจากร่าง เขาน่าจะเปียกจากน้ำที่กระเซ็นขึ้นมาเพราะก้อนหินใหญ่ที่ทำลายสะพาน

หลังจากนั้นเขาก็ส่งผ้าให้กับเด็กสาว น่าจะต้องการให้นางเช็ดเลือดออกจากมือ

เงียบงัน

ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถูกผนึกไว้ในศาลาหรือคนบนฝั่ง พวกเขาล้วนเห็นภาพนี้และมองดูด้วยสีหน้าซับซ้อนอยู่เงียบๆ

ผู้คนในศาลานิ่งเงียบเพราะพวกเขานึกบทของตนเองในแผนนี้ออก ทหารกับยอดฝีมือบนฝั่งนิ่งเงียบเพราะพวกเขาตกใจที่เห็นคู่ต่อสู้เป็นชายหนุ่มกับเด็กสาวคนหนึ่งจริงๆ แม้ว่าพวกเขาจะมีรูปร่างหน้าตางดงามแต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ

ที่สับสนก็คือหนิงสือเว่ยกับจูเยี่ยได้นิ่งเงียบตลอดเวลาจนพวกเขาได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มตรงๆ

ในเวลาอันสั้น พวกเขาหน้าเปลี่ยนไปสารพัดแบบ ราวกับว่ามองเห็นบางสิ่งที่นึกไม่ถึง ในที่สุดพวกเขาก็เค้นเสียงออกมาจากริมฝีปากได้

มันเป็นเสียงที่ซับซ้อนและประหลาดมาก ประดุจเสียงถอนหายใจแต่ก็ให้ความรู้สึกสิ้นหวังและเจ็บปวดอยู่บ้าง และก็เหมือนกับเสียงคำราม

จากนั้นร่างกายของพวกเขาก็จมลงไปในดินในทันที

ไม่ลึกนักแค่ครึ่งฉื่อเท่านั้น

เท้าของพวกเขาปักลงไปในชายฝั่ง

ปราณทรงพลังและน่ากลัวสองสายระเบิดออกจากร่างกายของพวกเขา

เศษดินหินจำนวนนับไม่ถ้วนถูกส่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกันลูกธนู

ทหารและยอดฝีมือพรรคไร้รักที่อยู่ใกล้กับพวกเขาอยู่บ้างถูกบดเป็นกองเลือดในขณะที่พวกที่ยืนอยู่ไกลออกไปได้รับบาดเจ็บและเริ่มร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด

ศรหน้าไม้ที่กำลังจะยิงออกหายไปท่ามกลางความโกลาหล

ชุดเกราะของหนิงสือเว่ยปกคลุมไปด้วยฝุ่นแต่ใบหน้าซีดขาวอย่างไม่น่ามอง

จูเยี่ยไออย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าจะเจ็บปวดมากจนตัวงอ

เพิ่งเกิดอะไรขึ้น

อารมณ์ของเทียนไห่จังอีโกลาหลคล้ายคลึงกัน

ระดับการบำเพ็ญตนของเขาไม่สูงพอ แต่เขาก็ยังเป็นทายาทของตระกูลสูงศักดิ์ที่ได้รับการศึกษาอย่างดีและเห็นยอดฝีมือมามากมาย ทำให้เขาพอจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

เมื่อครู่ที่ผ่านมาจูเยี่ยกับหนิงสือเว่ยได้ดึงปราณจนถึงจุดสูงสุดทำให้พวกเขาสามารถผ่าภูเขาฉีกเมฆาในกระบวนท่าเดียว

แต่ก็เหมือนกับแม่น้ำใหญ่ที่ไหลสู่ตะวันออก หากพวกเขาต้องการจะหยุดการเคลื่อนไหว พวกเขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่คู่ควรกัน

ในเวลาปกติ พวกเขาก็แค่ค่อยๆ สลายมันไป แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาจำเป็นต้องทำในทันทีดังนั้นจึงมีปัญหาเกิดขึ้น แม้ว่าปราณส่วนใหญ่จะถูกระบายใส่พื้นดิน พวกเขาก็ยังต้องสะเทือนกับคลื่นกระแทก

แล้วพลังของยอดฝีมือที่จุดสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาวน่ากลัวขนาดไหน ต่อให้มันเป็นแค่คลื่นกระแทกก็ตาม

ดังนั้นจึงเกิดความปั่นป่วนขึ้น พวกเขาเองก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน

เทียนไห่จังอีเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นี่ทำให้เขาสับสนยิ่งขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้น

ทำไมจูเยี่ยกับหนิงสือเว่ยต้องพลันสลายปราณของตัวเอง และทำไมพวกเขาถึงต้องทำอย่างยืนกรานเช่นนี้

ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป แต่เป็นถึงผู้นำตระกูลสูงศักดิ์และแม่ทัพมีชื่อ ล้วนเป็นบุคคลที่น่าเกรงขาม!

เมื่อพวกเขาเผยเจตจำนงในการต่อสู้ ต่อให้บุตรชายมาขวางทาง พวกเขาก็จะโจมตีออกไปเช่นเคย!

แต่เมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าของชายหนุ่ม พวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาไม่อาจโจมตี มันมากขนาดที่พวกเขายอมสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาที่ซื่อสัตย์และทำให้ตัวเองบาดเจ็บ พวกเขายังตั้งใจให้ชายหนุ่มรู้ว่าพวกเขาไม่ได้โจมตีในทันที!

ชายหนุ่มบนสะพานเป็นใครกันถึงได้ทำให้ผู้นำตระกูลสูงศักดิ์กับขุนพลเทพแห่งต้าโจวหวาดหวั่นจนถึงขั้นหวาดกลัวได้

เทียนไห่จังอีก็คิดได้ว่าชายหนุ่มบนสะพานเป็นใครได้ในทันที

ใบหน้าของเขาซีดขาวในทันที บางทีเพราะความโกรธบางทีเพราะความตกตะลึงและหวาดกลัวที่พุ่งขึ้นในใจของเขา