ตอนที่ 2111 พวกเราเข้าใจ

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

 

ตอนที่ 2111 พวกเราเข้าใจ

 

“คุณอยากให้ผมช่วยชีวิตคุณ?” จางเซวียนมองไป่ซวนเฉิงด้วยสายตาที่บ่งบอกความขัดใจ

“คือผมก็เป็นแค่นักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์คนหนึ่ง คงยากที่จะสู้กับอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์อย่างเต่าหลังดำได้ อีกอย่าง…สู้ไปผมก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ถ้าคุณมีของล้ำค่าอื่นๆจะมอบให้ล่ะก็ บางทีผมอาจจะพิจารณาเรื่องนั้น…”

“คุณยังคิดจะปล้นผมอีกหรือ?” ไป่ซวนเฉิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนแทบปล่อยโฮ

มันใช่หรือที่ใครสักคนจะหน้าไม่อายขนาดนี้*?*

เต่าหลังดำเป็นอสูรของคุณแล้ว ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็แค่สั่งให้มันหยุด ยังมีหน้ามาเรียกร้องของตอบแทนจากผมอีก?

แถมคุณนั่นแหละที่สั่งมันให้โจมตีผมก่อน!

ถ้าผมรู้ว่าคุณจะไร้ยางอายขนาดนี้ จะไม่มีวันพยายามทวงทรัพย์สมบัติคืนเลย…

สองนาทีให้หลัง จางเซวียนมองไป่ซวนเฉิงที่กำลังร่อแร่อย่างพออกพอใจ “เจ้าสำนักไป่ ถ้าคุณอยากได้ข้าวของคืนก็บอกผมนะ ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอก”

ไป่ซวนเฉิงไม่อยากเสวนากับจางเซวียนอีก

หมอนี่ฉกฉวยของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ไปจากเขาอีก 3 ชิ้น ก่อนจะส่งสัญญาณให้เต่าหลังดำหยุดโจมตี

ขืนเขากล้าทวงของล้ำค่าคืน เหตุการณ์แบบเดิมจะวนมาซ้ำรอยอีกไหม?

เขาเปิดศึกปะทะคารมครั้งนี้ด้วยการใช้คำว่า ‘ความกลมเกลียวระหว่าง 6 สํานักใหญ่’ เพื่อกดดันอีกฝ่ายให้คืนของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่ฉกฉวยไปจากเขา แต่ทุกอย่างกลับลงเอยอย่างเลวร้ายเกินกว่าจะจินตนาการ!

การต้องสูญเสียของล้ำค่าระดับอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ถึง 3 ชิ้นยังไม่เท่าไหร่ ที่แย่กว่าคือเขาเกือบต้องเอาชีวิตมาทิ้ง

“เจ้าสำนักไป่…”

หลังจากจางเซวียนเก็บเต่าหลังดำแล้ว กู้จุ้ยอวิ๋นรีบเข้ามาพยุงไป่ซวนเฉิงให้ลุกขึ้น

“ผมไม่เป็นไร…” ไป่ซวนเฉิงตอบขณะกลืนยาเข้าไปเม็ดหนึ่งเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บ เขากัดฟันกรอดขณะส่งโทรจิตหากู้จุ้ยอวิ๋น “ปล่อยให้พวกนั้นย่ามใจไปก่อน สะพานเบื้องบนเปิดเมื่อไหร่ล่ะก็ เราจะดำเนินการตามแผน สุดท้าย พวกนั้นจะต้องชดใช้การกระทำของตัวเอง!”

กู้จุ้ยอวิ๋นพยักหน้าด้วยแววตาโหดเหี้ยม

แม้ทั้งคู่แทบไม่เคลื่อนไหว แต่สายตาคมกริบของจางเซวียนก็จับจ้องปฏิกิริยาของพวกเขาขณะแอบหัวเราะหึๆ

จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมหอนิรันดร์ถึงอยากขอยืมของล้ำค่าสำหรับการอารักขาของ 6 สำนักใหญ่ แต่สิ่งหนึ่งที่เชื่อได้ก็คือไป่ซวนเฉิงกับกู้จุ้ยอวิ๋นไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับพวกเขาอย่างแน่นอน

มีโอกาสที่ทั้งคู่อาจเป็นศัตรูกันเองด้วยซ้ำ

ถึงจางเซวียนจะข่มขู่ไว้มาก แต่เขาก็รู้ดีว่าหากสังหารผู้นำคนหนึ่งคนใดของ 6 สำนักใหญ่โดยปราศจากเหตุผลอันควร จะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาแน่ ถ้าผิดพลาดขึ้นมา อาจเกิดได้แม้แต่สงคราม และนั่นไม่ใช่สิ่งที่จางเซวียนอยากเห็น

ด้วยเหตุนี้ เจตนาของเขาจึงเป็นแค่การสั่งสอนบทเรียนให้ไป่ซวนเฉิงและใช้โอกาสนี้บีบให้ไป่ซวนเฉิงเปิดเผยไม้ตายที่มี

โชคดีที่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่มีของล้ำค่าขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ชิ้นอื่นนอกจากโซ่โลหะ

บึ้มมมมม!

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดกึกก้องขึ้นกลางอากาศ มีพายุใหญ่

ทุกคนเงยหน้ามอง เห็นสะพานขนาดมหึมาค่อยๆเลื่อนลงมาจากท้องฟ้าสีดำสนิท

“สะพานเบื้องบนกำลังลงมาแล้ว…” หานเจี้ยนชิวพึมพำ

สะพานนี้ทอดตัวลงมาช้าๆจากความว่างเปล่าเบื้องบนที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด มันทำจากวัสดุที่มีลักษณะคล้ายหินอ่อน เปล่งประกายเย็นเยือกออกมา แม้ยังอยู่ระหว่างการเคลื่อนไหว ทุกคนก็ยังรู้สึกได้ถึงความทรงพลังของมัน

ฝูงชนถูกบีบให้ถอยไปที่ริมโขดหินสมอสวรรค์

สะพานเบื้องบนทอดตัวลงมาที่โขดหินสมอสวรรค์และหยุดนิ่ง ราวกับเคยเกิดกระบวนการนี้ขึ้นแล้วหลายครั้ง อักษรจารึกบนโขดหินสมอสวรรค์กระพริบครู่หนึ่งก่อนจะหยุดนิ่ง

“สะพานเบื้องบนจะคงอยู่แค่วันเดียว เจ้าสำนักจาง…คุณควรรีบขึ้นไปนะ!” หานเจี้ยนชิวเร่ง

“ขึ้นไป?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

แม้มันจะถูกเรียกว่า ‘สะพาน’ แต่ก็ดูเหมือนจะถูกต้องกว่าหากจะอธิบายว่ามันคือเสาหินที่ทอดยาวลงมาจากท้องฟ้า ยากที่จะจินตนาการได้ว่าจะเดินขึ้นไปอย่างไร

“คุณลองก้าวขึ้นไปก่อน แล้วจะรู้เอง” หานเจี้ยนชิวตอบขณะรุนหลังจางเซวียน

จางเซวียนพยักหน้า จากนั้นก็เรียกผู้อาวุโสหงอู่กับคนอื่นๆให้ตามไปก่อนจะออกเดินสู่สะพานเบื้องบน สองอัจฉริยะจากสำนักอมตะเลือนหายและสำนักป้อมปราการกระจกดำรีบตามไปติดๆ

จางเซวียนสูดหายใจลึก เขายกเท้าขึ้นและก้าวขึ้นไปบนสะพาน

ร่างของเขาซวนเซเล็กน้อยขณะโลกรอบตัวเปลี่ยนไป ยังไม่ทันจะรู้ตัว สะพานก็อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาแล้ว เขากำลังยืนอยู่ด้านบน

เมื่อหันไปมองรอบๆ จางเซวียนพบว่าโขดหินสมอสวรรค์ขยายตัวออกไปด้านข้าง ตั้งฉากกับจุดที่เขายืนอยู่ ดูเหมือนหานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆกำลัง ‘ห้อยโหน’ อยู่บนโขดหินสมอสวรรค์

เป็นภาพที่แปลกประหลาดพิลึกพิลั่นสิ้นดี

ศูนย์กลางของแรงโน้มถ่วงเปลี่ยนไปหรือ*?* จางเซวียนชะงัก

ก็เหมือนกับโลกใบเก่าของเขาที่ไม่ว่าจะยืนอยู่ที่ไหนก็จะรู้สึกว่าตัวเองยืนตรง แม้แรงโน้มถ่วงจะดึงดูดทุกคนเข้าสู่ใจกลางโลก

การที่เขายังคงยืนอยู่บนสะพานเบื้องบนได้อย่างมั่นคงแม้มันจะตั้งฉากกับพื้นดินของทวีปที่ถูกลืมบ่งบอกว่าศูนย์กลางของแรงโน้มถ่วงเปลี่ยนไป ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาก้าวเข้าสู่อีกมิติหนึ่งแล้ว ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงของทวีปที่ถูกลืม

คนอื่นๆที่ก้าวเข้าสู่สะพานเบื้องบนต่างประหลาดใจกับประสบการณ์แปลกใหม่ที่ได้รับ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองรอบตัวอย่างสงสัย

แต่รู้ดีว่าเวลาไม่คอยท่า ทุกคนจึงรีบออกเดิน

ไม่ช้าพวกเขาก็ถูกความมืดมิดของท้องฟ้ากลืนกิน ดูเหมือนทุกอย่างยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือเดินหน้าต่อไป

ความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรอยู่เลย…พื้นที่ที่เงียบงันจนเหมือนดินแดนแห่งความตาย…มีก็แต่เสียงหายใจอย่างระมัดระวังของคนทั้งหก

พวกเขารู้ดีว่านักรบจากหอเทพเจ้าอาจปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ร่างกายของทุกคนแข็งทื่อ ไม่กล้าปล่อยตัวตามสบายแม้แต่ชั่วขณะเดียว

ฟึ่บ!

ทันใดนั้น ท่ามกลางความมืดมิด ชายสวมชุดเกราะเต็มยศ 5 คนก็เดินมาจากฝั่งตรงข้ามของสะพานเบื้องบน

พวกเขาล้วนเป็นนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์

“ด้วยการเอาชนะนักรบเหล่านี้เท่านั้น พวกเราถึงจะได้เดินหน้าและมีโอกาสเข้าถึงวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์” ผู้อาวุโสหงอู่พึมพำขณะกำหมัดแน่นอย่างมุ่งมั่น

ในเวลาเดียวกัน คนอื่นๆที่อยู่รอบตัวเขาก็หรี่ตาขณะประเมินนักรบทั้ง 5 อย่างถี่ถ้วน

พวกเขารู้กฎเกณฑ์ของสะพานเบื้องบนดี ผู้เข้าท้าทาย 6 คนต่อสู้กับนักรบ 5 คน

โดยปกติ ผู้เข้าท้าทาย 5 คนจะตรงเข้าเล่นงานนักรบทั้ง 5 โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าท้าทายคนสุดท้ายล่วงหน้าออกไป

“เจ้าสำนักจาง พวกเราจะรั้งพวกเขาไว้ เปิดโอกาสให้คุณผ่านเข้าไปได้” ผู้อาวุโสหงอู่พูดขณะรวบรวมพลังปราณ

“เจ้าสำนักจาง พวกเราขอรบกวนคุณด้วย” อีก 2 คนพยักหน้า

ตลอด 2-3 วันที่ผ่านมา พวกเขายอมรับในตัวชายผู้นี้ ทุกคนเชื่อว่าชายหนุ่มคือผู้ที่จะสามารถนำพาทั้ง 4 สำนักไปสู่ความรุ่งโรจน์สูงสุด

“อยากทำอะไรก็ทำเถอะ พวกเราไปก่อนนะ!”

ขณะที่พวกเขาสนทนากัน สองอัจฉริยะจากสำนักป้อมปราการกระจกดำและสำนักอมตะเลือนหายก็พุ่งปราดถึงตัวนักรบทั้ง 5 จากหอเทพเจ้าในชั่วพริบตา

นักรบ 2 คนก้าวออกมาเผชิญหน้ากับ 2 อัจฉริยะ ขณะที่อีก 3 คนยังคงยืนนิ่ง รอให้จางเซวียนกับคนอื่นๆเข้ามา

พลั่ก! พลั่ก!

มีความแตกต่างที่เด่นชัดระหว่างพละกำลังของสองอัจฉริยะกับสองนักรบจากหอเทพเจ้า แต่สองอัจฉริยะก็ยืนหยัดต้านทานได้ ราวกับพวกเขารู้ล่วงหน้าว่าสองนักรบจะทำอะไร จึงสามารถยับยั้งอีกฝ่าย

ภายใน 3 กระบวนท่า พวกเขาก็ผลักดันสองนักรบได้สำเร็จ ทั้งคู่ถอยกรูดไปหลายก้าว

ฟึ่บ!

เมื่อมีโอกาส, สองอัจฉริยะรีบฝ่าการคุ้มกันและบุกเข้าไป

นักรบสองคนที่ต่อสู้กับพวกเขากำลังจะไล่ตามทั้งคู่ไป ก็พอดีกับที่อัจฉริยะคนหนึ่งพูดขึ้น “ยังเหลือพวกเราอีกสี่คนอยู่ตรงนั้น ถ้าคุณไล่ตามเราล่ะก็ จะเป็นการเปิดโอกาสให้พวกนั้นรอดไปได้นะ”

เมื่อได้ยินคำนั้น นักรบทั้งสองลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับเข้าประจำตำแหน่งเดิม รอให้จางเซวียนกับคนอื่นๆเคลื่อนไหว

“เจ้าสองคนนั่น…”

นึกไม่ถึงว่าจะเจอสถานการณ์แบบนี้ ผู้อาวุโสหงอู่กับคนอื่นๆหน้าดำคร่ำเครียด

สถานการณ์กำลังพลิกผันอย่างเลวร้ายที่สุด จากเดิมที่ผู้เข้าท้าทาย 6 ปะทะกับนักรบ 5, กลับกลายเป็นผู้เข้าท้าทาย 4 ต้องปะทะกับนักรบ 5 แทน

ถ้าเขารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ คงจะพุ่งเข้าไปพร้อมสองคนนั้นแล้ว

“เราจะเสียเปรียบกว่านี้ถ้าเดินหน้าพร้อมกับพวกเขา พวกนั้นรู้ข้อบกพร่องของนักรบทั้ง 5 ดี จึงอาจหาวิธีให้นักรบพวกนั้นหันมาเล่นงานเราขณะกำลังชุลมุนก็ได้” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต

ถ้าสองอัจฉริยะนั้นไว้วางใจได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ก็เห็นชัดแล้วว่าไม่ได้ คงอันตรายมากหากคิดจะพึ่งพาใครสักคนที่พร้อมหักหลังคุณตลอดเวลา!

“เจ้าสำนักจาง แล้วเราควรทำอย่างไร?” อัจฉริยะจากหอนานาอสูรถามจางเซวียนอย่างกระวนกระวาย

“ในเมื่อพวกนั้นบุกเข้าไปได้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเราจะทำไม่สำเร็จ วางใจเถอะ สู้ให้สุดความสามารถของพวกคุณก็แล้วกัน นักรบจากหอเทพเจ้าไม่ได้น่าสะพรึงอย่างที่พวกคุณคิดหรอก” จางเซวียนตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ

แน่นอนว่าตัวเขาเล่นงานนักรบทั้ง 5 ได้สบาย แต่ไม่คิดจะทำแบบนั้น

จางเซวียนรู้ดีว่ามิติเบื้องบนเป็นแค่จุดแวะพักชั่วคราวของเขา เมื่อไรก็ตามที่เขามีโอกาสเข้าสู่โลกของเทพเจ้า, คือสรวงสวรรค์ ก็จะคว้าโอกาสนั้นไว้ทันที

นั่นหมายความว่าเขาจะต้องสละทุกตำแหน่งที่มีอยู่ในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งก็ตั้งใจจะทำทุกอย่างให้เรียบร้อย น่าจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาทำให้สำนักเหล่านี้ได้ในฐานะ ‘ผู้นำชั่วคราว’

ในการจะได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำของแต่ละสำนัก ตัวเลือกทุกคนจะต้องมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในตัวเอง หากพวกเขาหวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักรบจากหอเทพเจ้า แล้วจะดูแลและนำพาความรุ่งเรืองมาสู่สำนักได้อย่างไร?

สิ่งนี้ไม่ได้เป็นแค่บททดสอบพละกำลัง เพราะหากพวกเขาก้าวข้ามความท้าทายนี้ได้ ก็จะมีความมั่นใจและได้รับความเชื่อถือจากใครๆให้ขึ้นเป็นผู้นำ

“พวกเราเข้าใจ!”

ผู้อาวุโสหงอู่พยักหน้าก่อนจะพุ่งเข้าใส่นักรบคนหนึ่ง

กระแสลมเกรี้ยวกราดพัดวู่หวิวโดยรอบ ผู้อาวุโสหงอู่สำแดงเทคนิคการต่อสู้ของเขาอย่างสุดกำลัง แล้วก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าตัวเขาถือไพ่เหนือกว่านักรบของหอเทพเจ้า

“ฮะ…” ผู้เข้าท้าทายอีก 2 คนผงะเมื่อเห็นภาพนั้น

เทคนิคการต่อสู้ที่ผู้อาวุโสหงอู่กำลังสำแดงออกมาคือเทคนิคที่จางเซวียนเคยถ่ายทอดให้พวกเขา ถ้าผู้อาวุโสหงอู่ยืนหยัดต้านทานนักรบจากหอเทพเจ้าได้ พวกเขาก็ต้องทำได้เหมือนกัน!

เมื่อเกิดความคิดนั้น ทั้งคู่พุ่งออกไป