ตอนที่ 2,153 : กับดัก!
“เผยซื่อไห่!”
ในฐานะผู้นำมหาธรรมราชาแห่งลัทธิอารามทมิฬ พญามังกรเสื้อม่วงย่อมมีความถือดีในตัวไม่น้อย…
เมื่อเห็นว่าเผยซื่อไห่กล้าเมินนางไม่ยอมตอบคำอยู่นานสองนาน หน้างามใต้ม่านผ้าก็เริ่มถมึงทึงขึ้นมา
ได้ยินเสียงเรียกด้วยความไม่พอใจของพญามังกรเสื้อม่วง เผยซื่อไห่ที่เหม่อคิดเรื่องราววอยู่พลันดึงสติกลับเข้าร่าง ค่อยหันมองไปยังพญามังกรเสื้อม่วงทันที
ทันใดนั้นยอดฝีมือที่อยู่ใน 10 อันดับแรกของรายนามยอดเซียน ก็มองหน้าสบตากัน
แววตาของพญามังกรเสื้อม่วงใต้ม่านผ้าฉายชัดถึงความโกรธเกรี้ยว หากแต่สายตาของเผยซื่อไห่กลับสงบนัก ไม่ได้แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อยแม้จะถูกพญามังกรเสื้อม่วงมองมาด้วยสายตาเอาเรื่องก็ตาม
สองคนนี้ หนึ่งคือศิษย์ของสุดยอดฝีมืออันดับ 1 ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า พลังฝีมือรั้งอยู่ในอันดับที่ 7 ของรายนามยอดเซียน ส่วนอีกหนึ่งคือผู้นำ 4 มหาธรรมราชาแห่งลัทธิอารามทมิฬ รั้งอยู่ในอันดับที่ 10 ของรายนามยอดเซียน
จังหวะนี้ทุกผู้คนอดสัมผัสถึงไม่ได้…กลิ่นดินปืนที่ฟุ้งตลบในบรรยากาศระหว่างทั้งคู่นั่น!
แน่นอนว่าพวกมันย่อมแลเห็นชัดเจน
ส่วนใหญ่แล้วบรรยากาศอึมครึมนั้นแผ่ออกมาจากร่างพญามังกรเสื้อม่วงมากกว่า!
“ใต้เท้ามหาธรรมราชา!”
เมื่อเห็นฉากดังกล่าวเหล่าอาวุโสลัทธิอารามทมิฬหลายคนอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลอย่างหนัก พวกมันเร่งส่งเสียงผ่านพลังไปหาพญามังกรเสื้อม่วงทันที
“เผยซื่อไห่ผู้นี้จะอย่างไรก็เป็นถึงอันดับ 7 ในรายนามยอดเซียน ท่านอย่าได้เป็นศัตรูกับมัน!”
“ใต้เท้ามหาธรรมราชาพลังฝีมือสูงส่งผู้น้อยรับทราบดี…หากแต่เผยซื่อไห่ผู้นี้ก็มิใช่ธรรมดา ขอท่านอย่าได้ตอแยมันด้วยเรื่องเท่านี้เลยขอรับ!”
“ใต้เท้ามหาธรรมราชา เผยซื่อไห่ผู้นี้เพียงสามารถเป็นสหาย…แต่มิอาจเป็นศัตรู!”
…
น้ำเสียงของอาวุโสลัทธิอารามทมิฬที่ส่งมานั้น เต็มไปด้วยความหวั่นเกรงและหวาดกลัวทั้งสิ้น
เพราะพวกมันหวั่นเกรงพลังฝีมือของเผยซื่อไห่ อีกทั้งยังหวาดกลัวสุดยอดฝีมืออันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าที่อยู่เบื้องหลังเผยซื่อไห่อย่างเนี่ยอู๋เทียน!
ไม่ทราบว่าคำโน้มนาวแนะนำของเหล่าอาวุโสลัทธิอารามทมิฬได้ผลหรืออย่างไร หากแต่พญามังกรเสื้อม่วงราวกับตระหนักได้ว่าการขัดแย้งกับเผยซื่อไห่เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเลย นางจึงลดสายตาลง ไม่ได้ดุร้ายเอาเรื่องเหมือนตอนแรกสืบไป
“เป็นระฆังสุญตา…”
เมื่อพญามังกรเสื้อม่วงลดสายตาท่าทีลง เผยซื่อไห่ก็กล่าวตอบออกมาอย่างไม่แยแส
ขณะเดียวกันสายตามันก็ลดลงไปมองระฆังสีทองในมืออีกครั้ง พลางถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ระฆังสุญตา ในตอนนี้แม้จะยังเป็นยอดศาสตราเซียน ทว่าก็เป็นได้แค่ยอดศาสตราเซียนที่แตกร้าว…
เกรงว่าหากเจอการโจมตีที่ทรงพลังเหมือนก่อนหน้าอีกสักรอบ ระฆังสุญตา คงได้แหลกสลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยแน่นอน!
เสียงเผยซื่อไห่ดังเข้าหูพญามังกรเสื้อม่วงและคนอื่นๆชัดถ้อยชัดคำ ถึงแม้จะไม่ได้ดังอะไรมากมาย ทว่าสำหรับผู้ที่ได้ยินก็เสมือนอัสนีบาตฟาดลั่น
“ระฆังสีทองอันเท่ากระดิ่งนั่น…มันคือระฆังสุญตา 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนจริงๆหรือ?”
เมื่อได้รับคำยืนยันจากเผยซื่อไห่ ผู้คนพลันหวนกลับมารู้สึกตัว ลูกตาต่างหดเล็กลง ใบหน้าฉายออกถึงความเหลือเชื่อประหลาดใจ
ระฆังทองที่แตกร้าวในมือของเผยซื่อไห่ กลับเป็น ระฆังสุญตา ยอดศาสตราเซียนประเภทป้องกันจริงๆ?
เป็น 1 ใน 10 ยอดศาสตราเซียนที่ติดอันดับในรายนามศาสตราเซียนผู้ยิ่งใหญ่?
“พลังอันใดกันที่ร้ายแรงถึงขั้นสร้างความเสียหายให้ยอดศาสตราเซียนอย่างระฆังสุญตาได้ถึงขนาดนี้…ช่างน่าเหลือเชื่อนัก!”
“กล่าวกันว่ามีเพียงครึ่งก้าวเซียนอมตะ ที่ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์มาแล้วเท่านั้นถึงจะมีพลังอำนาจสูงพอทำลายยอดศาสตราเซียนได้…การที่ระฆังสุญตาถึงกับต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ น่ากลัวพลังทำลายที่ซัดเข้ามาสมควรไม่ได้ด้อยไปกว่าพลังของครึ่งก้าวเซียนอมตะระดับสูง!”
“มีเพียงครึ่งก้าวอมตะสามารถทำลายยอดศาสตราเซียนได้หรือ? จากคำพูดของเจ้าประโยคนี้มิใช่…หากผู้ใดได้รับระฆังสุญตาไป แม้ไม่ต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ ก็สามารถสู้รบกับผู้ที่อยู่ใต้ขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะโดยมิต้องหวาดกลัวว่าจะบาดเจ็บหรือไง?”
“ก็มิใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้น…หากผู้ใช้เป็นเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยน แม้จะมีระฆังสุญตา แต่ด้วยพลังที่จ่ายให้กับตัวระฆัง ก็เพียงต้านทานได้แต่ผู้ที่มีพลังด้อยกว่าเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนเท่านั้น หากศัตรูมีพลังฝึกปรือเหนือกว่าขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน ถึงแม้อีกฝ่ายจะยังไม่อาจทำลายระฆังสุญตาได้ แต่พลังทำลายของอีกฝ่ายก็ยังสามารถส่งแรงกระแทกผ่านพลังป้องกันของระฆังสุญตามาซัดทำร้ายมันได้อยู่ดี…”
“จริงอยู่ที่ระฆังสุญตานั้นเป็นยอดศาสตราเซียนประเภทป้องกันทั้ง ยังมีพลังป้องกันสูงล้ำนัก…อย่างไรก็ตามหากมันตกอยู่ในมือผู้ที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อย ระฆังสุญตานี้ก็คงมีประโยชน์แค่เล็กน้อย ยากจะสำแดงพลังได้สมราคาของมัน”
…
ตอนนี้หลายคนต่างสงสัยกันนัก…
ว่าเผยซื่อไห่ที่เข้าไปในสถานที่อันน่าจะเป็นคลังสมบัติของครึ่งก้าวเซียนอมตะเมื่อครู่ ที่แท้เกิดเรื่องราวใดขึ้นกันแน่ ไฉนทั้งๆที่มีระฆังสุญตาแล้วยังได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้?
หลายคนที่เห็นสภาพเผยซื่อไห่ อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวจนหนาวจับขั้วหัวใจ
โดยเฉพาะผู้ที่ถูกขับออกมาตั้งแต่แรก ตอนนี้แทบจะกราบขอบคุณฟ้าด้วยซ้ำ เพราะหากพวกมันไม่ถูกขับออกมา ตอนนี้น่ากลัวคงได้ตายกลายเป็นผีอยู่ในนั้นไปแล้ว!
“ด้วยพลังฝีมือของไต้เท่าเผยซื่อไห่ ยามใช้ระฆังสุญตา…เกรงว่ากระทั่งการโจมตีของครึ่งก้าวอมตะทั่วไปคงไม่อาจทำอันใดใต้เท้าได้…คงมีแต่ครึ่งก้ามอมตะชนชั้นสุดยอดฝีมือเท่านั้น ถึงจะทำร้ายใต้เท้าได้ขนาดนี้…”
“พี่น้องท่านนี้กล่าวถูกแล้ว…หลังใต้เท้าเผยซื่อไห่เข้าไปในสถานที่ๆสมควรเป็นคลังสมบัติของครึ่งก้าวเซียนอมตะ ไม่พ้นต้องเจอการจู่โจมที่เทียบเท่ากระทั่งรุนแรงกว่าพลังอำนาจของครึ่งก้าวเซียนอมตะระดับสูงๆแน่!”
“สมควรเป็นเช่นนั้น…หากไม่ใช่เพราะแบบนี้ ข้าก็นึกไม่ออกจริงๆว่ายังจะมีสิ่งใดในหล้าคุกคามใต้เท้าเผยซื่อไห่ได้ถึงระดับนี้”
…
กล่าวถึงจุดนี้ทุกสายตาก็หันไปมองเผยซื่อไห่เป็นสายตาเดียวกัน ทั้งหมดอยากฟังคำตอบจากปากเผยซื่อไห่นัก ว่าที่แท้เมื่อครู่เผยซื่อไห่ไปเผชิญกับนรกขุมใดมากันแน่…
“เผยซื่อไห่ ที่แท้เกิดเจ้าไปเจอสิ่งใดมากันแน่?”
ไม่เหมือนคนอื่นๆที่ไม่กล้าคำถามนี้ออกมา พญามังกรเสื้อม่วงเลือกที่จะมองถามเผยซื่อไห่ออกมาตรงๆ
นอกจากนี้ตัวนางเองก็อยากรู้ไม่น้อย จึงเปิดประตูเห็นภูผาถามออกทันที
หลังจากกล่าวถามไปแล้ว พญามังกรเสื้อม่วงยังกล่าวเสริมให้เหตุผลประกอบคำถามอีกว่า “ 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬเรา จ้าวค้างคาวปีกเขียวเองก็พึ่งถูกสังหารเมื่อไม่นานมานี้…หากเจ้ามีเบาะแสอันใด ได้โปรดกล่าวบอกให้ข้ารับทราบที แล้วน้ำใจนี้ของเจ้าลัทธิอารามทมิฬจักไม่มีวันลืม”
“จ้าวค้างเคียวปีกเขียวตกตายในนั้นด้วยหรือ?”
ได้ยินวาจาของพญามังกรเสื้อม่วง เผยซื่อไห่เลิกคิ้วขึ้น จากนั้นค่อยส่ายหัวไปมาพลางถอนหายใจกล่าว “ความโลภนับเป็นบาปอันหนักหนานัก…”
ก่อนที่พญามังกรเสื้อม่วงจะทันได้ตอบอะไรเผยซื่อไห่พลันกล่าวต่อออกมาอีกว่า “หลังข้าฉีกเปิดมิติและเข้าไปในนั้น…สิ่งแรกที่ต้อนรับข้าหลังจากเข้าไป ก็คือค่ายกลสังหาร!”
“ค่ายกลสังหาร?!”
เผยซื่อไห่กล่าวจบคำ พญามังกรเสื้อม่วงและคนอื่นๆก็ไม่ได้จริงจังอะไร เพียงคิดว่านี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย และสมควรมีอันตรายร้ายแรงตามมาหลังจากนี้มากกว่า…
อย่างไรก็ตามวาจาต่อมาของเผยซื่อไห่ก็ทำให้ทุกคนตระหนักได้ทันทีว่าพวกมันคิดผิดไปแล้ว
“พลังที่ปะทุออกมาจากค่ายกลสังหารนั่นช่างน่าสะพรึงกลัวนัก…”
กล่าวถึงเรื่องนี้สีหน้าเผยซื่อไห่ฉายชัดออกถึงความหวาดกลัว ในแววตายังสั่นไหวไปด้วยความผวา ภาพที่ผุดขึ้นในใจชัดเจนยากลบเลือน “ต่อให้เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะจู่โจมมาด้วยพลังทั้งหมด…ก็มิอาจบรรลุถึงพลังทำลายล้างระดับนั้นได้..”
“โชคดีนักที่ข้ามียอดศาสตราเซียนอย่างระฆังสุญตาที่อาจารย์มอบให้ติดตัว…หาไม่แล้วข้าต้องตายคาที่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย!”
“อย่างไรก็ตาม แม้ข้าจะมีระฆังสุญตาคุ้มกาย…ทว่าภายใต้พลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวนั่น ไม่ว่าจะแขนซ้ายหรือดาบพันอาคมเซียนของข้าก็ไม่อาจทานทนรับไหว…”
“พริบตาที่มวลพลังนั่นปะทุออก ไม่ว่าจะแหวนพื้นที่หรือดาบพันอาคมเซียนล้วนแหลกสลายเป็นผุยผง! ไม่อาจต้านทานอะไรได้เลย!!”
ยิ่งกล่าวสีหน้าเผยซื่อไห่ยิ่งขึงขังจริงจัง เห็นชัดว่าหวาดกลัวไม่น้อย
หลังเผยซื่อไห่กล่าวจบคำ รอบด้านก็เงียบลงทันใด
เงียบนัก
เงียบถึงขั้นต่อให้มีเข็มตกลงพื้นสักเล่มคงได้ยินชัดเจน
และตอนนี้แม้แต่พญามังกรเสื้อม่วง ยังอดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็นด้วยความหวาดกลัว แผ่นหลังของนางเปียกแฉะขึ้นมาทันใด ในใจยังลอบขอบคุณโชคไม่น้อย!
โชคดีที่เผยซื่อไห่มาที่นี่!
หาไม่แล้วหากเป็นนางที่บุกเข้าไปในสถานที่อันน่าจะเป็นคลังสมบัติของครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่น และเจอค่ายกลสังหารเหมือนเผยซื่อไห่ล่ะก็…นางได้ทิ้งชีวิตไว้ในนั้นชั่วกาลแน่!
เรื่องนี้นางไม่สงสัยสักกะผีก!
เพราะสุดท้ายแล้วพลังฝีมือนางก็กล้าแข็งมิสู้เผยซื่อไห่ แถมนางยังไม่มียอดศาสตราเซียนประเภทป้องกันอย่างระฆังสุญตาอีก
กระทั่งตอนนี้ส่วนหนึ่งในใจนางยังคิดว่าเผยซื่อไห่…ใช่กล่าวเรื่องราวเกินจริงไปหรือไม่?
อย่างไรก็ตามพอได้คิดนางก็รู้ดีแก่ใจ
เผยซื่อไห่ไม่จำเป็นต้องโกหก…
“ค่ายกลสังหารที่ทรงพลังถึงระดับนี้…เกรงว่าคงไม่ใช่ค่ายกลที่จัดตั้งขึ้นมาด้วยฝีมือครึ่งก้าวอมตะแน่!”
“นั่นสิ หากเป็นดั่งที่ใต้เท้าเผยซื่อไห่กล่าว…พลังที่ปะทุออกมาสมควรร้ายกาจกว่าครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้วจริงๆ! ข้าสงสัยนักว่าที่แท้เป็นผู้ใดจัดตั้งค่ายกลสังหารนั่นไว้กันแน่!?”
“มันจะรุนแรงเกินไปแล้ว!”
…
จากนั้นผู้คนโดยรอบก็ค่อยๆกลับมามีสติ ต่างตกใจกับเรื่องราวที่เผยซื่อไห่เล่าให้ฟังนัก
แน่นอนว่าพววกมันไม่คิดคลางแคลงสงสัยในคำพูดเผยซื่อไห่
ถึงเผยซื่อไห่จะกล่าวว่า พลังทำลายที่ปะทุออกมาจากค่ายกลเหนือกว่าพลังของครึ่งก้าวเซียนอมตะ พวกมันก็ไม่สงสัยแม้แต่น้อย
หากเป็นคนอื่นพูด พวกมันอาจแคลงใจสงสัยอยู่บ้าง
ทว่าเมื่อเป็นคำพูดของเผยซื่อไห่ พวกมันไม่อาจสงสัย
นั่นเพราะอาจารย์ของเผยซื่อไห่ ก็คือสุดยอดฝีมืออันดับ 1 ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าเนี่ยอู๋เทียน!
หากเนี่ยอู๋เทียนยังอยู่ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจริง ตอนนี้เกรงว่าต่อให้พลังฝีมือไม่บรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ ก็ต้องร้ายกาจใกล้เคียงกับครึ่งก้าวเซียนอมตะเต็มที…
ด้วยมีอาจารย์เป็นถึงตัวตนระดับนี้ เผยซื่อไห่ย่อมกระจ่างถึงพลังฝีมือขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะกว่าผู้ใดในที่นี้
หาไม่แล้วคงไม่กล้ากล่าวคำออกมาอย่างมั่นใจถึงเพียงนั้น!
“ค่ายกลสังหารนั่น…หากเป็นดั่งที่เจ้ากล่าวจริง เช่นนั้นแล้วครึ่งก้าวเซียนอมตะจักจัดตั้งค่ายกลร้ายกาจระดับนั้นได้อย่างไร?”
พญามังกรเสื้อม่วงมองถามเผยซื่อไห่
“ครึ่งก้าวเซียนอมตะคนเดียวอาจจัดตั้งมันไม่ได้…ทว่าหากเป็น 3 คนเล่า?”
“3 คน?”
ลูกตาพญามังกรเสื้อม่วงหดหยีลงทันใด ใจยังสั่นไหวไปวูบหนึ่ง
คนอื่นๆที่ได้ยินยังอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว
“ถูกต้อง”
เผยซื่อไห่พยักหน้ารับคำ ค่อยเล่าเรื่องราวออกมาด้วยน้ำเสียงกัวล “ในตอนที่พลังทำลายล้างนั่นปะทุระเบิดออกมา สำนึกเทวะของข้าที่แผ่ออกไประวังภัยแต่แรก…สามารถสัมผัสได้ชัดเจนว่ามีพลังถึง 3 ขุมต่างกันในพลังทำลายล้างนั่น…ถึงแม้ว่าการผสานของพลังทั้ง 3 ขุมจะสมบูรณ์แบบ แต่ข้ายังพบร่องรอยกลิ่นอายพลังที่แตกต่างกันได้ชัดเจน!”
“หากข้าเดาไม่ผิด…ค่ายกลสังหารนั่น สมควรเป็น 3 ครึ่งก้าวเซียนอมตะร่วมมือกันจัดตั้งขึ้นมาไม่ผิดแน่!”
“นอกจากนี้ สถานที่ๆน่าจะเป็นคลังสมบัติที่ของครึ่งก้าวเซียนอมตะแห่งนี้…สมควรไม่ใช่คลังสมบัติอันใด แต่เป็นกับดัก!”