บทที่ 510.2 แสงไฟโลกมนุษย์สว่างไสว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันเชื่อในคำพูดที่ฟังดูคล้ายจะเหลวไหลนี้ของแม่นางน้อยภูตน้ำ

ทะเลสาบคนใบ้แห่งนี้มีภาพเหตุการณ์ประหลาดที่ผิวน้ำไม่ลดและไม่เพิ่ม นี่ก็น่าจะต้องยกคุณความชอบให้กับแม่นางน้อยปลาประหลาดที่ร่างจริงไม่ค่อยน่าเป็นที่ชื่นชอบสักเท่าไรตนนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พ่อค้าและนักเดินทางที่มาปักหลักพักค้างแรมที่นี่ต่างก็ไม่เคยมีใครบาดเจ็บล้มตาย อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นคนก็ดีหรือผีก็ช่าง ต่อให้จะพูดอะไร จะพูดได้คล่องปากน่าฟังแค่ไหน หลายๆ ครั้งก็ล้วนไม่อาจสู้ความจริงเรื่องหนึ่งหรือเส้นสายเส้นหนึ่งได้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตลอดหลายปีมานี้ ชาวบ้านในพื้นที่และพ่อค้าที่ผ่านทางมา อันที่จริงก็ควรจะซาบซึ้งที่นางคอยปกป้องพวกเขาถึงจะถูก ไม่ว่าความตั้งใจแรกของนางจะเป็นอะไร พวกเขาก็ควรทำเช่นนี้ ควรเห็นแก่ความสัมพันธ์ควันธูปที่นางมอบให้ เพียงแต่ว่าการปราบปีศาจจับตัวประหลาดของเซียนซือนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน ดังนั้นต่อให้ตอนที่ปลาประหลาดโผล่หัวมาครั้งแรก เฉินผิงอันจะรู้ว่าบนร่างของนางไม่มีปราณชั่วร้ายและจิตสังหารแม้แต่น้อย มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าอยากได้กระพรวนเส้นนั้น บวกกับที่มีใจอยากหยอกล้อมนุษย์เป็นทุนเดิม และแน่นอนว่าเฉินผิงอันก็มองออกมาตั้งแต่แรกแล้วว่าสตรีที่สวมหมวกม่านปิดคลุมใบหน้าคนนั้นคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำคนหนึ่ง…และก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นขอบเขตหกของแคว้นเป่าเซียง? สรุปก็คือเฉินผิงอันไม่ได้ลงมือขัดขวาง

แต่กระพรวนที่อยู่บนข้อมือของสตรี เดิมทีก็เป็นของของแม่นางน้อยปลาประหลาด ข้อนี้ต่างหากที่อยู่เหนือจากการคาดการณ์ของเฉินผิงอัน

เมื่อแม่นางน้อยเปิดโปงความจริง สตรีที่สวมหมวกม่านซึ่งปล่อยหมัดต่อยให้ศัตรูถอยร่นและเวลานี้ก็ยืนอยู่ริมทะเลสาบสีเขียวมรกตก็ยิ้มกล่าวว่า “วางใจเถอะ จับเจ้ากลับไป หาใช่ต้องการฆ่าเจ้าไม่ นี่เป็นความต้องการของราชครูแคว้นเชียนโกว ที่นั่นขาดแม่ย่าลำคลองอยู่คนหนึ่งพอดี ใต้เท้าราชครูหมายตาเจ้า ต้องการให้เจ้าไปช่วยพิทักษ์ชะตาน้ำ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปเสียทั้งหมด แต่บอกไว้ก่อนว่า ข้าเองก็ไม่อยากจะปิดบังเจ้า เจ้ามีชาติกำเนิดเป็นภูตน้ำของทะเลสาบแห่งนี้ เกิดมาก็ใกล้ชิดกับน้ำ ความเป็นไปได้ที่จะสร้างร่างทองกลายเป็นแม่ย่าลำธารย่อมมีมากกว่าพวกคนตายที่กลายเป็นวิญญาณวีรบุรุษเหล่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะทำสำเร็จได้อย่างแน่นอน ช่วยไม่ได้ พวกเรากับแคว้นเชียนโกวสนิทสนมกันมาหลายยุคหลายสมัย อีกทั้งท่านราชครูเขายังมอบเงินเทพเซียนให้ก้อนใหญ่ ข้าบังคับลักพาตัวเจ้าออกไปจากทะเลสาบคนใบ้เช่นนี้ดูไม่มีคุณธรรมสักเท่าไร การที่มาพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าเพราะข้ารู้สึกว่าบัณฑิตแห่งแคว้นเชียนโกวที่ปีนั้นเจ้ามอบกระพรวนให้มีคุณธรรมยิ่งกว่า เขาไม่เพียงแต่ไม่คิดจะมอบกระพรวนคืนให้เจ้า ยังเก็บรักษาเอาไว้เป็นสมบัติสืบทอดของตระกูล กระพรวนนี้ก็เป็นทายาทรุ่นหลังของเขาที่มอบให้แก่ราชครูแคว้นเชียนโกว เพื่อใช้สิ่งนี้มาทำให้ตัวเองได้เลื่อนขั้นตำแหน่งขุนนาง ถือโอกาสขอบรรดาศักดิ์ที่แต่งตั้งตามหลังให้แก่บรรพบุรุษด้วย หากเจ้าจะด่าก็สามารถรอให้กลายเป็นแม่ย่าลำคลองเสียก่อนแล้วค่อยด่าให้เต็มที่ ตอนนี้เจ้าจงยอมถูกจับไปแต่โดยดีเถอะ จะได้เจ็บตัวน้อยลง”

แม่นางน้อยชุดดำยังคงใช้มือสองข้างยันไม้กลมที่ลดระดับลงมาช้าๆ เมื่อสองเท้าของนางกำลังจะสัมผัสกับค่ายกลยันต์แปดทิศที่อยู่เหนือผิวทะเลสาบ นางก็ยิ่งร้องไห้คร่ำครวญ “ข้าใกล้จะกลายเป็นปลานึ่งอยู่แล้ว พวกเจ้ามันคนเลวที่ชอบเข่นฆ่าผู้อื่น! ข้าไม่ไปกับพวกเจ้า ข้าชอบที่นี่ ที่นี่คือบ้านของข้า ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น! ข้าไม่ย้ายรังไปเป็นแม่ย่าลำคลองอะไรทั้งนั้นแหละ ข้ายังเด็ก แม่ย่าแม่ยายอะไรกัน!”

สตรีสวมหมวกม่านคลุมหน้าถอนหายใจ ทำท่าบอกผู้ฝึกตนแปดท่านจากสำนักเดียวกันว่าไม่ต้องรีบร้อนปิดค่ายกล ยังคงพูดจาหลอกล่อแม่หนูน้อยภูตน้ำตนนั้น “ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาปรึกษากันดีไหม? ข้าสามารถช่วยขอร้องใต้เท้าราชครูแทนเจ้าได้ ข้าจะไม่รับเงินเทพเซียนก้อนนั้นมาก่อน แต่เจ้าต้องกลับไปที่สำนักพร้อมกับข้า ยังต้องย้ายรังอยู่ดี ข้าไม่อาจมาเสียเที่ยวได้ หากต้องกลับไปมือเปล่า ทางสำนักต้องเอาโทษข้าแน่ บริเวณใกล้เคียงกับสำนักของข้ามีแม่น้ำอยู่เส้นหนึ่ง ตอนนนี้มีเทพวารีเฝ้าพิทักษ์แล้ว เจ้าลองไปดูก่อนว่าเวลาคนอื่นเป็นเทพวารีนั้นเป็นอย่างไร วันใดรู้สึกว่าการเป็นแม่ย่าลำคลองก็ไม่เลว ข้าค่อยพาเจ้าไปเยือนจวนราชครู ตกลงไหม?”

แม่นางน้อยชุดดำพยักหน้ารับเบาๆ

สตรีที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขยับสองมือทำมุทรา ปากท่องคาถา นึกไม่ถึงว่านางเองก็สามารถควบคุมปราณวิญญาณได้เช่นกัน เวลานี้ก็ได้ถอนไม้กลมกลางอากาศเหนือยันต์ตำแหน่งซวิ่นนั้นออกไปแล้ว

แม่นางน้อยกระโดดอยู่ที่เดิมสองสามที แกว่งแขวนสองข้างไปด้านหน้าทีด้านหลังที จากนั้นน้ำตาก็เอ่อคลอเต็มตา

สตรีสวมหมวกม่านยิ้มกล่าว “อย่าคิดหนีเชียวนะ ไม่อย่างนั้นอาจเป็นปลาราดน้ำแดงหรือปลานึ่งก็เป็นได้”

แม่หนูน้อยสูดจมูก พูดหน้าม่อย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ฆ่าข้าให้ตายเถอะ ไปจากที่นี่ ไม่สู้ให้ข้าตายไปยังดีเสียกว่า”

สตรีสวมหมวกม่านรู้สึกระอาใจเล็กน้อย

เซียนซือคนอื่นๆ ก็คล้ายว่าจะรู้สึกสนุก แต่ละคนจึงไม่รีบร้อนเก็บแหจับปีศาจ

ทันใดนั้นขอบฟ้าห่างไปไกลแสนไกลก็มีแสงกระบี่พร่าตาสว่างวาบขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง เพียงชั่วพริบตาก็พุ่งมาถึง ผู้ขี่กระบี่ลอยตัวอยู่เหนือศีรษะของทุกคน คือผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมสีม่วงอ่อน บนมวยผมปักปิ่นหยกสีทองที่มีสายฟ้าตัดสลับถักทอกันเป็นระยะ เขายิ้มบางเอ่ยว่า “ปีศาจน้อยของทะเลสาบคนใบ้ตัวนี้จับได้ยากยิ่ง พวกเจ้าช่างฝีมือดีนัก เป็นเงินเท่าไร ข้าขอซื้อไว้แล้ว”

สตรีสวมหมวกม่านยิ้มเอ่ย “ใช่คุณชายจิ้นจากตำหนักจินอูหรือไม่?”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยิ้มตอบ “เป็นข้าเอง”

สตรีส่ายหน้าเอ่ยขออภัย “ปีศาจตัวนี้ไม่อาจขายให้คุณชายจิ้นได้”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มขมวดคิ้ว “ข้าเพิ่มราคาให้เป็นสองเท่า ข้างกายอาจารย์แม่ของข้ากำลังขาดสาวใช้คนหนึ่งพอดี”

สตรีลังเลไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “ขอโทษด้วย โปรดอภัยที่ไม่อาจทำตามคำสั่ง ปีศาจตนนี้ทางสำนักของข้ารับปากว่าจะมอบให้จวนราชครูแห่งแคว้นเชียนโกว คืนนี้ข้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องนี้”

ฮูหยินของตำหนักจินอูผู้นั้นมีนิสัยดุร้าย วัตถุแห่งชะตาชีวิตก็คือแส้โบยผีที่ว่ากันว่าทำมาจากไม้ไผ่เขียวของภูเขาชิงเสิน งานอดิเรกของนางคือชอบเฆี่ยนโบยสังหารสาวใช้มากที่สุด ข้างกายนอกจากหมัวมัวผู้อบรมมารยาทวัยชราที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ คนอื่นๆ ล้วนตายหมดสิ้นแล้ว อีกทั้งยังถูกโยนศพไว้ในเมฆสายฟ้าเหนือยอดเขาของตำหนักจินอู ไม่มีโอกาสได้ไปผุดไปเกิดใหม่ด้วย ทว่าตำหนักจินอูก็ไม่ถือว่าเป็นสำนักมารนอกรีตอะไร ยามที่ลงภูเขามากำจัดปีศาจปราบมารก็ไม่เคยออมมือ อีกทั้งยังชอบเลือกเล่นงานปีศาจใหญ่หรือไม่ก็ราชาผีที่รับมือได้ยากโดยเฉพาะอีกด้วย เพียงแต่ว่าเจ้าตำหนักจินอูที่เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองผู้ยิ่งใหญ่ ดันหวาดกลัวฮูหยินของตนเองที่เป็นบุตรสาวของเจ้าแห่งขุนเขาใหญ่ผู้นั้นมากที่สุด เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนหญิงและสาวใช้ทุกคนของตำหนักจินอูล้วนไม่กล้าพูดคุยกับเจ้าตำหนักมากเกินจำเป็น

ไม่อย่างนั้นการค้าครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะพูดคุยกันไม่ได้เสียเลย คิดดูแล้วทางสำนักและราชครูแคว้นเชียนโกวคงไม่ถือสาหากจะทำให้ตำหนักจินอูที่เป็นกองกำลังใหญ่มากอำนาจติดค้างน้ำใจได้

ผู้ฝึกตนหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูง “ใช้เหตุผลดีๆ ดันไม่ฟัง ดึงดันจะให้ข้าออกกระบี่ถึงจะยอมฟังงั้นหรือ? สตรีจากจวนชิงชิ่งที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกอย่างเจ้า ต่อให้มียันต์ให้ใช้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าข้าก็ยังสามารถกรีดใบหน้าที่เดิมทีก็ไม่งดงามของเจ้าให้ลายพร้อยก่อน แล้วค่อยจ่ายเงินซื้อปีศาจน้อยตัวนั้น?”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเอ่ยเสริมอีกประโยคด้วยรอยยิ้มเย็นชา “วางใจเถอะ ข้ายังจะ ซื้อ! ทว่านับแต่วันนี้ไป ข้าจวินเยว่ได้จดจำจวนชิงชิ่งของพวกเจ้าเอาไว้แล้ว”

สตรีสวมหมวกม่านถอนหายใจอยู่ในใจ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรให้สำนักต้องมาเดือดร้อนเพราะตน แต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกตนตำหนักจินอูก็แบ่งแยกความรักความเกลียดอย่างชัดเจนมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีนิสัยแปรปรวน หากยามใดที่บอกว่าไม่ใช้เหตุผลแล้วล่ะก็ นั่นก็แสดงว่ารับมือได้ยากมากอย่างแท้จริง

นางหันหน้าไปมองแม่นางน้อยภูตน้ำที่ยกสองมือกุมหัวหลอกตัวเอง

ในขณะที่นางกำลังจะพยักหน้าตอบตกลง บนผิวทะเลสาบคนใบ้ที่ต่อให้เข็มหล่นก็คงได้ยินก็มีบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่งที่ปลดงอบวางไว้บนหีบตำรานานแล้ว สวมชุดขาว ในมือถือพัดพับ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ยิ้มบางกล่าวว่า “หากนี่ก็ถือว่าใช้เหตุผลแล้ว ข้าว่าไม่ต้องใช้เหตุผลตั้งแต่แรกยังจะดีเสียกว่า บังคับขายบังคับซื้อกันไปเลย ถึงอย่างไรใครมีความสามารถมากกว่าคนนั้นก็เป็นนายท่านใหญ่อยู่แล้ว ไม่ต้องถอดกางเกงผายลมเบ่งขี้กันอย่างนี้หรอก”

ปลายหูแหลมของแม่นางน้อยชุดดำสั่นเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้น พูดอย่างกังขา “ถอดกางเกงผายลมไม่ถูกนะ หุบเขาลมเหลืองของพวกเราลมแรง อีกทั้งตอนกลางคืนยังอากาศหนาว ถ้าเปิดก้นต้องเย็นก้นมากแน่ แต่หากคิดจะเบ่งขี้ก็ต้องมีวิธี ทำอย่างไรถึงจะไม่ต้องถอดกางเกงล่ะ?”

บัณฑิตชุดขาวใช้พัดพับตีหัวตัวเอง พูดอย่างคนที่เพิ่งกระจ่างแจ้ง “จริงด้วย”

แม่นางน้อยยิ้มหน้าบาน ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ก่อนจะนั่งขัดสมาธิ ยกสองมือกอดอก “บัณฑิตมักจะทึ่มทื่อแบบนี้เสมอแหละ”

เพียงแต่พอนึกถึงกระพรวนเส้นนั้นที่อุตส่าห์หวังดียกให้คนอื่นเป็นค่าเดินทาง แม่นางน้อยชุดดำก็เริ่มสูดจมูกยู่ใบหน้าเล็กๆ อีกครั้ง

ล้วนมีแต่คนหลอกลวง คนเสแสร้ง! ปีนั้นไอ้หมอนั่นยังบอกอีกว่าความสนใจที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของเขาไม่ใช่การเป็นขุนนาง แต่เป็นการเขียนนิทานเรื่องเล่าประหลาดที่ผู้คนจะนำไปพูดกันติดปาก ถึงเวลานั้นจะต้องเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับนางบทหนึ่งอย่างแน่นอน อีกทั้งยังจะเขียนเป็นบทที่ยาวมากๆ ด้วย ตอนนั้นเขาถึงขนาดตั้งชื่อไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ชื่อว่า ‘ภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้’ ตอนนั้นนางที่จินตนาการวาดฝันเกือบจะน้ำลายไหลอยู่แล้ว แถมยังเตือนเขาอีกว่าจะต้องบรรยายให้ตนดูเป็นภูตที่ดุร้ายอำมหิตเสียหน่อย ตบะสูงสักหน่อย บัณฑิตคนนั้นยังรับปากนางอย่างแข็งขันรวดเร็วด้วย

เหตุใดวันนี้ได้เจอกระพรวนแล้ว แต่กลับไม่ได้อ่านบทความที่รอมานานเป็นร้อยปีเสียทีล่ะ? ต่อให้จำนวนตัวอักษรจะน้อยกว่าที่บอกไว้ก็ไม่เป็นไรหรอก

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มค้อมเอวโน้มตัวมาด้านหน้า จ้องมองบัณฑิตชุดขาวที่สภาพมอซอน่าสังเวชแล้วหัวเราะร่า “โอ้โห หนึ่งคนร้องหนึ่งคนรับ เข้ากับปีศาจน้อยตัวนี้ดีเหลือเกิน พวกเจ้าสองคนร้องเพลงคู่กันอยู่หรือไร?”

บัณฑิตที่ชุดคลุมสีขาวหิมะเต็มไปด้วยคราบฝุ่นคนนั้นถือพัดพับไว้ในมือ กุมหมัดคารวะเอ่ยว่า “ขอคุณชายจิ้นแห่งตำหนักจินอู่ได้โปรดออมมือไว้ไมตรีด้วย”

มีแสงกระบี่อีกเส้นหนึ่งแหวกอากาศมาถึง แล้วหยุดลอยตัวอยู่ข้างกายจิ้นเยว่ คือผู้ฝึกตนหญิงวัยกลางคนที่เรือนกายสะโอดสะองคนหนึ่ง นางใช้ปิ่นสีทองปักมวยผม พอชำเลืองตามองภาพบนทะเลสาบแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ช่างเถิด การฝึกประสบการณ์ครั้งนี้ อยู่ภายใต้เปลือกตาของบรรพจารย์อาน้อย พวกเราไม่อาจสังหารบรรพบุรุษหวงเฟิงผู้นั้นได้ รู้ว่าตอนนี้เจ้าอารมณ์ไม่ดี แต่บรรพจารย์อาน้อยยังรอพวกเราอยู่ที่นั่นนะ หากให้เขารอนานจะไม่ดี”

จิ้นเยว่พยักหน้ารับ ยื่นนิ้วมาชี้สองสามที “จวนชิงชิ่งใช่ไหม ข้าจำเอาไว้แล้ว ช่วงนี้พวกเจ้าก็รอข้าไปเยี่ยมเยือนถึงจวนเถิด”

จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังบัณฑิตชุดขาวที่แอบปาดเหงื่อบนหน้าผากตัวเอง หลังจากประสานสายตากับตนก็หยุดการกระทำทันใด แสร้งทำเป็นคลี่พัดพับเปิด พัดเอาลมเย็นๆ เข้าใส่ตัว จิ้นเยว่จึงยิ้มกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าก็คือผู้ฝึกตน ชุดที่สวมบนร่างอันที่จริงก็คงเป็นชุดคลุมอาคมกระมัง ในเมื่อเป็นบุตรชายก็อย่าแสร้งทำตัวเป็นหลานกับข้าเลย กล้าบอกชื่อแซ่และสำนักของเจ้ามาหรือไม่?”

คนผู้นั้นยิ้มกล่าว “เดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ แซ่เฉิน นามคนดี”

จิ้นเยว่สีหน้ามืดทะมึน พูดกับสตรีวัยกลางคนที่อยู่ข้างกาย “ศิษย์พี่หญิง คราวนี้ข้าทนไม่ไหวแล้ว ให้ข้าออกกระบี่สักหนึ่งทีเถอะ แค่ทีเดียวเท่านั้น”

ผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักจินอูเตือนเสียงเบา “บางทีบรรพจารย์อาน้อยอาจจะกำลังมองพวกเราอยู่ก็ได้นะ”

จิ้นเยว่จึงแค่นเสียงเย็นใส่บัณฑิตหนึ่งที “รีบไปจุดธูปไหว้พระ ขอพรให้วันหน้าอย่าได้ตกอยู่ในเงื้อมมือข้าเถอะ”

จากนั้นผู้ฝึกกระบี่ของตำหนักจินอูสองคนก็ทะยานร่างขึ้นสูงพร้อมกัน ขี่กระบี่จากไปไกล ลากแสงกระบี่ยาวเหยียดสองเส้นทิ้งไว้เบื้องหลัง

—–