บนแม่น้ำพรมแดน ยานสำเภาทองอร่ามลำหนึ่งมุ่งหน้าเนิบช้า
ในโถงยานสำเภา หลินสวินกำลังสัมผัสปริศนาของ ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’
คัมภีร์นี้ล้ำลึกอัศจรรย์ยิ่ง วิวัฒน์จากคัมภีร์มหากษิติครรภ์และวิชาจุติหงส์ทมิฬ เปิดเส้นทางใหม่ และยังเป็นการอนุมานซึ่งผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุดของอริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬ ทุ่มเทจิตหลั่งโลหิตสรรค์สร้างออกมา
ในนั้นครอบคลุมสรรพสิ่ง โดยคร่าวแบ่งเป็นสามส่วน
ส่วนแรกเรียกว่า ‘ประสาทวิชา’ คือสาระสำคัญที่อริยะทั้งสองเน้นในปริศนาแก่นแท้ของคัมภีร์มหากษิติครรภ์ และวิชาจุติหงส์ทมิฬ
สิ่งแรกคือรากฐานของสำนักอารามกษิติครรภ์ เดิมก็คือมรดกชั้นยอดเล่มหนึ่ง ครองแก่นอัศจรรย์เหนือจิตนาการ เป็นหลักทั่วไปที่ผู้บำเพ็ญธรรมอารามกษิติครรภ์ใช้หยั่งรู้มหามรรค ศึกษาวิชามรรค
เฉกเช่นวิชาข้ามเคราะห์พ้นทุกข์ที่มู่เจิ้งสำแดง ก็เป็นมรดกเก่าแก่ส่วนหนึ่งของคัมภีร์มหากษิติครรภ์
กล่าวได้ว่า แม้หยั่งรู้เพียงคัมภีร์มหากษิติครรภ์ ก็สามารถทำให้หลินสวินยึดกุมมรดกวิชามรรคทั้งหมดของอารามกษิติครรภ์แล้ว!
ในอารามกษิติครรภ์ สิ่งนี้ไม่ใช่ว่าผู้สืบทอดคนใดต่างสามารถถือครองได้ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นมรดกรากฐานของสำนัก วิชาไม่อาจถ่ายทอดโดยง่าย มรรคไม่อาจมอบให้ตามสะดวก
แต่ในคัมภีร์มหาครรภ์จุติส่วนแรก อริยสงฆ์ตู้จี้ได้ทำการจัดสรรและอธิบายปริศนาทั้งมวลของคัมภีร์มหากษิติครรภ์โดยกระจ่าง
นี่ก็เหมือนอาจารย์ผู้อาวุโสท่านหนึ่งกำลังประสาทวิชา ไม่จำเป็นต้องให้ศิษย์ไปค้นหาเองแต่แรก อาศัยแค่การรับฟังและไตร่ตรองก็สามารถเข้าใจปริศนาทั้งมวลของคัมภีร์โดยราบรื่น!
ในจุดนี้เกรงว่าแม้แต่บุคคลที่จัดอยู่ในสิบแปดสาวกอารามกษิติครรภ์อย่างมู่เจิ้ง ยังไม่อาจได้รับประโยชน์เช่นนี้
ส่วนวิชาจุติหงส์ทมิฬ ก็คือมรดกรากฐานของเผ่าหงส์ทมิฬ เป็นคัมภีร์มรรคเก่าแก่และสูงส่งเล่มหนึ่งเช่นเดียวกัน
อีกทั้งนางพญาหงส์ทมิฬยังผสานมรรคและวิชาของตน ใช้ปัญญาทำการอธิบายแก่นแท้ของคัมภีร์นี้อย่างรอบด้าน เรียกได้ว่าเลิศล้ำเกินบรรยาย
ทั้งหมดนี้ล้วนบ่งชี้ว่าต่อให้ฝึกคัมภีร์มหาครรภ์จุติเพียงส่วนแรก ก็สามารถยึดกุมมรดกชั้นยอดของสองขุมอำนาจเก่าแก่!
ส่วนที่สองของคัมภีร์มหาครรภ์จุติเรียกว่า ‘หลอมมรรค’ คือวิธีหลอมรวมมรดกที่แตกต่างทั้งสอง ซึ่งแฝงปริศนาเร้นลับที่ศึกษารอบด้านจนปรุโปร่งของคัมภีร์มหากษิติครรภ์และวิชาจุติหงส์ทมิฬ
ส่วนที่สามจึงจะเป็นส่วนสำคัญแท้จริงของคัมภีร์มหาครรภ์จุติ เรียกว่า ‘ครรภ์จุติ’ คือคัมภีร์มรรคฉบับใหม่ที่สรรค์สร้างจากมืออริยะบรรพกาลทั้งสอง!
ที่ว่า ‘ใหม่’ คือ ถือกำเนิดจากมรดกชั้นยอดสองส่วน ซ้ำยังเหนือกว่า เกี่ยวเนื่องถึงปริศนาสูงสุดของอริยมรรค มูลค่าเลิศล้ำเพียงพอจะทำให้อริยะมุ่งมาดปรารถนา!
สรุปโดยง่ายคือคัมภีร์มหาครรภ์จุติ แบ่งเป็น ‘ประสาทวิชา’ ‘หลอมมรรค’ ‘ครรภ์จุติ’ สามส่วนใหญ่ แต่ละส่วนต่างเรียกได้ว่าไพศาลดั่งหุบเหว ซ่อนแฝงแก่นอัศจรรย์ไร้สิ้นสุด
…
สำหรับหลินสวิน หากหมายหยั่งรู้คัมภีร์นี้ต้องค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น
หยั่งรู้ส่วน ‘ประสาทวิชา’ เจาะลึกและทำความเข้าใจคัมภีร์มหากษิติครรภ์และวิชาจุติหงส์ทมิฬก่อน
กระทั่งเข้าใจปริศนาทั้งหมดอย่างลึกซึ้งจึงสามารถไปหยั่งรู้ส่วน ‘หลอมมรรค’ อีกขั้น ศึกษาปริศนาแห่งคัมภีร์มรรคทั้งสองจนรอบด้านปรุโปร่ง หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
เมื่อทำได้ถึงขั้นนี้จึงมีรากฐานไปหยั่งรู้ส่วนที่สาม ‘ครรภ์จุติ’!
แต่หลินสวินรู้ดีว่าอาศัยความสามารถของตนในปัจจุบัน แค่หยั่งรู้ปริศนาส่วน ‘ประสาทวิชา’ ก็ไม่รู้ต้องใช้เวลากี่เดือนปี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหยั่งรู้ ‘หลอมมรรค’ และ ‘ครรภ์จุติ’
ถึงขั้นที่เขาสงสัยว่า คัมภีร์มหาครรภ์จุติสองส่วนหลังคงเป็นปริศนาซึ่งมีเพียงอริยะที่สามารถหยั่งรู้!
ถึงอย่างไรสิ่งที่ผสานรวมเข้ามา คือมรดกรากฐานของสองขุมอำนาจโบราณ เป็นมรดกชั้นสูงสองส่วนที่เลื่องชื่อลือนามมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล!
แน่นอนว่านี่หาใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญระดับกระบวนแปรจุติสามารถทำได้แต่แรก กระทั่งแม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันอาจไม่มีความสามารถทำได้
…
ผ่านไปครู่ใหญ่ หลินสวินตื่นจากการหยั่งรู้ ลุกขึ้นเปิดประตู
“เป็นอย่างไรบ้าง” ลั่วเจียรออยู่นอกประตูนานแล้ว
นางสวมชุดกระโปรงม่วง บุคลิกดั่งกล้วยไม้กลางหุบเขา บนหน้าขาวกระจ่างงามพริ้งเพราเจือความมุ่งมาดปรารถนา
“เรียบร้อยแล้ว” หลินสวินพยักหน้า นำม้วนหยกที่บันทึกวิชาจุติหงส์ทมิฬส่งให้อีกฝ่าย
ลั่วเจียอึ้งงัน ดวงหน้างามปรากฏความตื่นเต้นวูบหนึ่ง คล้ายไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง กระทั่งครู่ใหญ่จึงสูดหายใจลึก รับม้วนหยกมาไว้ในมืออย่างระมัดระวัง
จากนั้นนางเงยหน้าขึ้น นัยน์ตากระจ่างดั่งวารีจ้องมองหลินสวินพลางกล่าว “ขอบคุณมาก บุญคุณนี้ภายหน้าข้าจะตอบแทน”
หลินสวินยิ้มกล่าว “ข้าเองก็ได้ประโยชน์ เจ้าไม่ต้องใส่ใจ”
ลั่วเจียส่ายศีรษะ “นี่ไม่เหมือนกัน”
…
บนยานสำเภา พวกแม่นางเยวี่ย ซุ่นไป๋เสวียนเองต่างรอคอย
การเข้าสู่อารามเก่าแก่ปริศนาครานี้เกิดเรื่องคาดไม่ถึงมากมาย พวกเขาต่างอยากรู้ว่าหลินสวินผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้าง
ไม่นานนักหลินสวินและลั่วเจียก็ปรากฏตัวพร้อมกัน บอกเล่าทุกฉากที่เห็นนับตั้งแต่เข้าไปในส่วนลึกของอารามเก่าแก่โดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
แต่สำหรับเรื่องการแจ้งมรรคและไม้โพธิ์ หลินสวินไม่ได้พูดมากความ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เหมาะที่จะกล่าวอะไรมาก
ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังทำพวกแม่นางเยวี่ยต่างรู้สึกสะท้าน
สมัยบรรพกาล สองอริยะก้าวสู่ขั้นที่ประหนึ่งสิ่งต้องห้าม ชักนำมาซึ่งเคราะห์สังหาร ถูกเงาร่างสีทองดั่งเจ้าเหนือหัวพิฆาตลงตรงนั้น!
บนโลกนี้ยังมีพลังต้องห้ามที่แกร่งกว่าอริยะอีกหรือ
เวลานี้เองพวกเขาจึงเข้าใจในที่สุด ที่แท้ข่าวลือก่อนหน้าไม่ใช่เรื่องจริง สมัยบรรพกาลอริยะตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬไม่ได้เป็นคู่แค้นคู่อริ นางพญาเองก็ไม่ได้ถูกตู้จี้สังหาร
ตรงกันข้าม ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากลับแน่นแฟ้น เคยถกมรรคด้วยกัน และมือสังหารที่ปลิดชีพพวกเขากลับเป็นคนอื่น!
ฉับพลันกลางที่นั้นเงียบสงัดอยู่บ้าง ใครกันแน่ที่มีพลังยิ่งใหญ่จนสามารถสังหารสองอริยะบรรพกาลเช่นนี้
ระดับขั้นซึ่งราวกับสิ่งต้องห้ามนั้นแฝงความอะไรกันแน่
ท่ามกลางความเงียบสงัด แม่นางเยวี่ยคล้ายนึกอะไรออก ทั่วร่างพลันแข็งทื่อ นัยน์ตากระจ่างปรากฏความหวาดกลัวหาใดเปรียบ “หากข้าเดาไม่ผิด นั่นคือ ‘พลังต้องห้ามพิฆาตอริยะ’ ทั้งถูกมองว่าเป็น ‘พลังพิฆาตมรรค’ !”
พลังต้องห้ามพิฆาตอริยะ!
พลังพิฆาตมรรค!
ไม่ว่าพูดแบบไหนล้วนทำให้ผู้คนใจสั่น
“ตำนานนี้เป็นจริงหรือ” ซุ่นไป๋เสวียนเองคล้ายนึกอะไรออก สีหน้าพลันไหวหวั่น
“คืออะไรกันแน่” ลั่วเจียอดไม่ได้ที่จะถาม
หลินสวินเองก็ตกตะลึง เขานึกถึงพลังสีทองนั่นที่ถูกผนึกในซากไม้โพธิ์ ว่าบางทีอาจเป็น ‘พลังต้องห้ามพิฆาตอริยะ’ ที่แม่นางเยวี่ยกล่าวถึง!
“สมัยบรรพกาลเคยมีข่าวลือหนึ่ง บอกว่าเมื่อใดที่เหล่าอริยบุคคลปรารถนาก้าวข้ามสิ่งต้องห้าม เสาะแสวงพลังที่สูงยิ่งกว่า จะนำมาซึ่งเคราะห์สังหารชวนประหวั่น…”
เสียงแม่นางเยวี่ยลุ่มลึก กล่าวความลับที่คนทั่วไปไม่รับรู้
พลังต้องห้ามพิฆาตอริยะความเป็นมาเกินคาดเดา ราวร่างจำแลงของเทพธรรมบาลผู้ปกครองกฎระเบียบ แฝงอัปมงคลและความตาย
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีบุคคลสำคัญเทียมฟ้ามากมายหายสาบสูญอย่างแปลกประหลาด ไม่เคยปรากฏตัวอีก จึงถูกลือว่าตายเพราะพลังต้องห้ามนี้!
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงข่าวลือโคมลอยหนึ่ง หากไม่ใช่หลินสวินพูดถึงการประสบเคราะห์ของอริยะตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬ แม่นางเยวี่ยคงเกือบลืมไปแล้ว
“ข้าก็เคยได้ยินบรรพชนตระกูลข้าเล่าว่า พลังต้องห้ามนี้ดุจเพชฌฆาตมหามรรค สามารถสะบั้นมรรควิถีของอริยะ ลบล้างหายไปจากโลก น่าหวาดกลัวไร้สิ้นสุด”
ซุ่นไป๋เสวียนเอ่ยปาก “อีกทั้งมีข่าวลือว่าสาเหตุที่แดนเร้นอริยะปรากฏ ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับพลังต้องห้ามนี้”
“เร้นอริยะ สถานที่ซึ่งอริยะจำศีลเก็บตัว… ใช่แล้ว หากไม่ใช่เพราะเหตุบางประการ อริยะคนใดเล่าจะอยากจำศีลเก็บตัว ข่าวลือนี้อาจเป็นจริง” แม่นางเยวี่ยรำพึง
หลินสวินอึ้งงัน เขาเพิ่งรู้ว่าที่แท้แดนเร้นอริยะซึ่งคนบนโลกเรียกขาน ยังมีความเร้นลับที่ไม่ถูกใครล่วงรู้เช่นนี้
แน่นอนว่าทุกอย่างคือข่าวลือ ทั้งเหมือนปาฏิหาริย์ ในยามที่ยังไม่ได้สัมผัสความจริง ใครก็ต่างไม่กล้าเชื่อ
จากนั้นพวกเขายังพูดถึง ‘ครรภ์พุทธะ’
จากที่แม่นางเยวี่ยกล่าวมา ครรภ์พุทธะนี้เดิมคือครรภ์วิญญาณที่ฟ้าดินก่อกำเนิดและหล่อเลี้ยง หาได้ยากตั้งแต่อดีต ยากพบเห็นอย่างที่สุด ต่อมาถูกอริยสงฆ์ตู้จี้เก็บไว้ข้างกาย
แต่เมื่อเข้าสู่อารามเก่าแก่พบเห็นครรภ์พุทธะ แม่นางเยวี่ยถึงได้ตระหนักว่า ครรภ์พุทธะนี้ซ่อนความลับยิ่งใหญ่ ภายในร่างเป็นไปได้สูงว่าจะฝังพลังสองอริยะซึ่งมาจากอริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬ!
เพียงแต่เมื่อได้ยินหลินสวินพูดถึงอากัปกิริยาไร้ยางอาย สับปลับของปักษาทมิฬตัวนั้น พวกแม่นางเยวี่ยต่างตะลึงงัน
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าบุคคลแห่งยุคของอารามกษิติครรภ์อย่างมู่เจิ้งถูกปักษาทมิฬนี้ลอบโจมตี ใช้กระทะใบหนึ่งฟาดสลบกลางอากาศ ก็ล้วนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
‘น่าสนใจ ติดตามข้างกายสองอริยะนานปีแต่กลับมีอุปนิสัยเช่นนี้ ความเป็นมาของปักษาทมิฬนี่ต้องไม่ธรรมดา น่าเสียดาย ครั้งนี้ไม่อาจจับมันไว้ได้…’ แม่นางเยวี่ยกล่าวกับตัวเอง
คนอื่นต่างรู้สึกแบบเดียวกัน
ปักษาทมิฬนี้ถูกผนึกอยู่ในซุ้มพระหยกดำนั่นตั้งแต่สมัยบรรพกาล ทั้งเป็นร่างครรภ์วิญญาณที่ติดตามข้างกายสองอริยะนานปี จะเป็นสิ่งที่ของทั่วไปสามารถเทียบเทียมได้อย่างไร
“ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายครานี้ก็ไม่เสียเที่ยว แม่นางลั่วเจียสมหวังดั่งปรารถนา ได้รับวิชาอัศจรรย์จุติหงส์ทมิฬ น่ายินดีๆ” แม่นางเยวี่ยยิ้มหวานกล่าวแสดงความยินดี
“ครั้งนี้ยังต้องขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยเหลือ บุญคุณนี้วันหน้าลั่วเจียจะต้องตอบแทนแน่” ลั่วเจียประสานมือคำนับ
…
“หลินสวิน ก่อนจากไปอยากแลกเปลี่ยนความรู้กับข้าหรือไม่” ซุ่นไป๋เสวียนแววตาดุจอสนี เห็นได้ว่าหยิ่งผยองและทะนงตนนัก
เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้เสร็จสิ้น เขาและลั่วเจียกำลังจะจากไป
ก่อนแยกจากกันนี้ซุ่นไป๋เสวียนคล้ายไม่เต็มใจอยู่บ้าง สุดท้ายก็อดรนทนไม่ไหว หมายต่อสู้กับหลินสวินสักตั้ง
ลั่วเจียพลันปวดขมับ เจ้าหมอนี่ไม่ยอมสงบเสงี่ยมเสียบ้าง เพิ่งออกมาจากโบราณสถานอารามเก่าแก่ก็อยากทรมานตัวเองอีกแล้ว
เหนือความคาดหมาย ครั้งนี้หลินสวินไม่ปฏิเสธ แต่กล่าวอย่างสนอกสนใจ “เจ้าแน่ใจนะ”
ซุ่นไป๋เสวียนแย้มยิ้ม มุมปากปรากฏแววจองหองวูบหนึ่ง “ต่อสู้กับเจ้ายังต้องพิจารณาและใคร่ครวญอีกหรือ”
‘เจ้าโง่นี่เอาอีกแล้ว ช่างไม่เข็ดเสียจริง’ ไกลออกไป พวกโค่วซิงทำหน้าเวทนา ทอดถอนใจไม่หยุด
หากเสียงในใจพวกเขาถูกซุ่นไป๋เสวียนได้ยินเข้า คราวนี้คงโกรธจนเป็นบ้า
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…”
หลินสวินเพิ่งเอ่ยปาก ซุ่นไป๋เสวียนคล้ายนึกอะไรออก กล่าวตัดบท “จำไว้ ว่าเป็นการต่อสู้ของเจ้ากับข้า ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามายุ่ง!”
ทุกคนต่างมีสีหน้าพิกล เห็นชัดว่าซุ่นไป๋เสวียนกำลังกังวลว่าเด็กสาวที่ประหนึ่งเทพอย่างซย่าจื้อจะถลันออกมาทำการป้องกันก่อน
เท่านี้ก็มองออก ซุ่นไป๋เสวียนราชันมารจอมก่อกวนซึ่งยโสโอหังหยิ่งจองหองผู้นี้ ถูกซย่าจื้ออัดจนเกิดเงามืดในใจเข้าจริงๆ แล้ว…
………………….