ตอนที่ 859 วิกฤตของฉินเหยียน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

บนยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ในเวลานี้เมื่ออสูรยักษ์สลายหายไปแล้ว ฉินอวี้โม่และทุกคนก็ถอนหายใจกันด้วยความโล่งอก

ความทรงจำในอดีตที่บุรุษผู้นั้นแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้ทำให้ทุกคนจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตนและไม่เอ่ยสิ่งใดเป็นเวลานาน หลังจากความเงียบผ่านไปเป็นพักใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็เป็นคนแรกที่เรียกสติกลับคืนมา

“ไปกันเถอะ การคัดเลือกรอบที่สามของเรายังต้องดำเนินต่อไป”

ไม่ว่าการต่อสู้เมื่อครู่นี้จะระทึกขวัญเพียงใดและไม่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คืออะไร สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกนางในตอนนี้ก็คือการคัดเลือกในรอบสุดท้าย พวกนางจะต้องเข้าร่วมนิกายหมื่นบุปผาเพื่อตามหาเบาะแสเกี่ยวกับมารดาของฉินอวี้โม่และพัฒนาพลังความแข็งแกร่งไปในเวลาเดียวกัน ตราบใดที่มีความแข็งแกร่งมากพอ ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แกร่งกล้าเพียงใด นางและคนอื่น ๆ ก็จะสามารถรับมือได้

หลังจากพักความคิดที่ซับซ้อนเกี่ยวกับภาพเหตุการณ์ที่เห็น กลุ่มคนทั้งสี่ก็ออกเดินทางกันต่อไป

หลังจากอสูรยักษ์หายไปและสภาพแวดล้อมทั่วบริเวณเริ่มเปลี่ยนแปลงไป พลังงานปีศาจในบรรยากาศก็จางหายไปมากและทุกคนไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอีกต่อไป

สมุนไพรวิญญาณรอบตัวก็หายไปมากแล้วเช่นกัน ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าทั่วทั้งบริเวณนี้ไม่มีแมลงภูตอีกต่อไป

บริเวณยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังคงเป็นที่ราบกว้างเช่นเดิม ฉินอวี้โม่พร้อมคณะมุ่งหน้าเข้าไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ และพบกับลานที่พักอีกส่วนหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นที่ที่ยอดฝีมือผู้แกร่งกล้าสร้างเอาไว้

“เราเข้าไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ”

ในเมื่อตอนนี้ไม่มีภยันตรายใดรอบตัว อวิ๋นซื่อเทียนจึงกล่าวเสนอกับทุกคน

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาที่อยู่ในสมรภูมิรบเดนตาย แม้พลังมายาของนางจะถูกใช้ไปไม่มากนัก ทว่านางก็รู้สึกเหนื่อยล้าพอสมควรและถึงเวลาที่ควรจะหาที่พักผ่อนอย่างจริงจังเสียที ก่อนหน้านี้นางเดินทางเพียงลำพังมานานจึงไม่เคยมีโอกาสนั้น ตอนนี้ในเมื่อได้รวมกลุ่มกับฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและเซิ่งเซียวแล้ว นางจะได้วางใจและพักผ่อนอย่างคลายกังวล

“ตกลง”

ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ว่าสีหน้าท่าทางของหานโม่ฉือแปลกไปเล็กน้อย นางจึงไม่ปฏิเสธและตอบตกลงในทันที

ทุกคนเดินเข้าไปในลานกว้างและพบกับที่พักสะอาดสะอ้านราวกับมีคนหมั่นทำความสะอาดมันอยู่เสมอและดูราวกับฝุ่นหรือสิ่งสกปรกไม่สามารถพัดผ่านเข้ามาได้เลย

ทั้งลานที่พักแห่งนี้มีขนาดพอเหมาะซึ่งประกอบไปด้วยสวนขนาดเล็ก บ่อน้ำขนาดเล็กและศาลากระโจมตรงกลาง

ทั้งบริเวณลานที่พักแห่งนี้ก็ไร้ร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใด ๆ เพราะเหตุนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าฉินอวี้โม่และคณะเป็นคนกลุ่มแรกที่เดินทางมาถึงที่นี่

หลังจากเดินสำรวจไปรอบ ๆ และยืนยันได้ว่าไม่มีวิกฤตใดซ่อนอยู่ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปหาห้องสำหรับพักผ่อน

ฉินอวี้โม่จับมือหานโม่ฉือเดินไปยังห้องที่ใหญ่ที่สุดก่อนทั้งสองจะนั่งลงข้างเตียง

“โม่เอ๋อร์ ข้าคิดว่ามีบางอย่างที่เจ้าควรรู้…”

จู่ ๆ หานโม่ฉือก็กล่าวอย่างกระตือรือร้นและไม่ต้องการให้ฉินอวี้โม่กังวลจนเกินไป

“หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในสมรภูมิรบเดนตายทำให้ข้าตั้งข้อสงสัยได้บางอย่าง…ชีวิตในภพก่อนของข้าอาจเกี่ยวข้องกับโลกปีศาจ”

ความทรงจำของเขาเกี่ยวกับชีวิตภพก่อน ๆ ยังฟื้นฟูกลับมาไม่สมบูรณ์ เขาจำได้เพียงเรื่องราวความรักระหว่างชิงเหอและอวี้เฟิงเท่านั้น

เมื่อประมาณพันปีก่อนในช่วงที่อวี้เฟิงแยกจากชิงเหอไป หานโม่ฉือก็จดจำไม่ได้เลยว่าตัวเขาแยกตัวออกไปจัดการกับธุระอันใด สำหรับสถานะและครอบครัวของเขาในช่วงนั้นก็ยังไม่มีสิ่งใดแน่ชัดแม้แต่อย่างเดียว

ก่อนสยบเนตรปีศาจในเมืองอู๋เริ่น มันกล่าวว่าภายในร่างกายของหานโม่ฉือมีบางอย่างที่ทำให้มันหวาดกลัว พลังงานปีศาจของอสูรยักษ์ก่อนหน้านี้ก็ทำให้หานโม่ฉือเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดและปฏิกิริยาของเนตรปีศาจในตอนนั้นก็ได้ยืนยันข้อสันนิษฐานที่เขามี

ในอดีต เมื่อครั้งยังเป็นอวี้เฟิง พื้นเพชีวิตของเขาจะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับโลกปีศาจอย่างแน่นอน เพียงแต่ยังจำมันไม่ได้ในตอนนี้

“ข้าก็พอจะคาดเดาได้ ทว่ามันจะสำคัญอะไรเล่า ? ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใคร”

ฉินอวี้โม่เขย่ามือของบุรุษคนรักเบา ๆ และกล่าวด้วยความหนักแน่น

ไม่ว่าต้นกำเนิดของหานโม่ฉือจะมาจากโลกปีศาจหรือเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไป ภายในหัวใจของฉินอวี้โม่ เขาก็ยังเป็นสามีของนาง เป็นพ่อของลูกและเป็นบุรุษที่รักนางอย่างสุดหัวใจซึ่งตัวนางเองก็รักเขาเหนือสิ่งอื่นใดเช่นกัน…

ความทรงจำของฉินอวี้โม่เมื่อนับพันปีก่อนก็ฟื้นฟูกลับมาส่วนหนึ่งแล้ว แม้แต่ในตอนนั้นนางก็ไม่เคยถามถึงตัวตนที่แท้จริงของอวี้เฟิงและนางก็ไม่สนใจมันในตอนนี้เช่นกัน

หลายสิ่งหลายอย่างที่ได้เผชิญล้วนพิสูจน์ให้เห็นว่าหานโม่ฉือมีความเกี่ยวข้องกับโลกปีศาจ เพียงแต่นางไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่เองก็ยังมีปริศนาที่ซ่อนไว้ในร่างกายของตนเองซึ่งเป็นความลับของชิงเหอตั้งแต่เมื่อพันปีก่อน หานโม่ฉือทราบเรื่องนี้ดีและเขาเองก็ไม่เคยสนใจมันเช่นกัน

“ข้าสังหรณ์ใจว่าเมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้นจะมีบางคนเข้ามาสร้างความวุ่นวายให้กับข้าแน่”

หานโม่ฉือโอบร่างบางเข้าหาอ้อมกอดของตนอย่างอ่อนโยน เขาทราบดีว่าฉินอวี้โม่ไม่สนใจสิ่งอื่นใด เขาเพียงไม่ต้องการให้นางเผชิญกับภยันตรายเพราะตนก็เท่านั้น

เกรงว่าโลกปีศาจน่าจะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เป็นแน่ มิฉะนั้นมันคงจะไม่กลายเป็นเช่นทุกวันนี้

ปฏิกิริยาของเนตรปีศาจแสดงให้เห็นว่าตัวตนของหานโม่ฉือในโลกปีศาจจะต้องไม่ต่ำต้อยหรือธรรมดาอย่างแน่นอน เมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มมากขึ้น ความลับบางอย่างจะถูกเปิดเผยออกมา และเมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าวิกฤตร้ายที่คาดไม่ถึงจะเกิดขึ้นตามมาเช่นกัน

“ถ้าเช่นนั้นเราต้องรีบแล้วล่ะ ก่อนที่อันตรายพวกนั้นจะมาถึง อย่างน้อยที่สุดเราก็ต้องมีพลังที่จะปกป้องตัวเองได้”

ฉินอวี้โม่เข้าใจความคิดของหานโม่ฉือทว่าไม่คิดกังวลมากนัก นางตั้งใจที่จะเผชิญอุปสรรคขวากหนามทุกอย่างเคียงข้างคนรักและไม่มีวันยอมแพ้อย่างแน่นอน ไม่ว่าทางข้างหน้าจะมีภยันตรายมากเพียงใด นางก็จะฝ่าฟันทุกอย่างเคียงข้างกายหานโม่ฉือตลอดไป

ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อนางและหานโม่ฉือครองรักกันมาตั้งแต่นับพันปีก่อน ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้ว่าปริศนาของชิงเหอน่าจะเกี่ยวข้องกับโลกปีศาจไม่น้อยเช่นกัน

“ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้ผู้ใดทำร้ายเราได้ !”

หานโม่ฉือพยักศีรษะและกล่าวด้วยแววตาที่แน่วแน่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรในโลกปีศาจและไม่ว่าในอดีตครานั้นตนเคยเป็นผู้ใดในโลกปีศาจ ตราบใดที่ใครหน้าไหนกล้าคิดทำร้ายฉินอวี้โม่หรือคิดที่จะแยกพวกเขาออกจากกัน คนผู้นั้นก็คือศัตรูของเขา ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใด หานโม่ฉือก็จะทำลายคนเหล่านั้นให้สิ้นซากและไม่ให้โอกาสใครได้คุกคามพวกเขาอีก

หลังจากพักผ่อนอยู่ในลานกว้างแห่งนี้นานเกือบสามชั่วยาม พลังกายพลังใจของทุกคนก็ฟื้นฟูขึ้นมาก หลังจากรับประทานอาหารเสร็จสิ้น ฉินอวี้โม่และอีกสามคนก็ออกจากลานที่พักและเดินทางต่อไปยังอีกฟากหนึ่งของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์

ภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีขนาดใหญ่และมีทางขึ้นไปสู่ยอดเขามากกว่าทางเดียว ฉินอวี้โม่ต้องการสำรวจดูว่าจะได้พบสหายคุ้นหน้าในเส้นทางอื่นของภูเขาหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ฉินอวี้โม่และคณะเริ่มออกเดินทาง ในอีกฟากหนึ่งของทางขึ้นยอดเขา มีสตรีงดงามผู้หนึ่งที่กำลังตกอยู่ในอันตราย

สตรีผู้นี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นฉินเหยียน—อีกหนึ่งสมาชิกที่เดินทางมายังดินแดนมหาเทพพร้อมกับฉินอวี้โม่

เวลานี้นางถูกล้อมรอบโดยกลุ่มคนสวมเสื้อคลุมสีดำและอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่เสียแรงที่ไล่ตามมาจนถึงที่นี่ ในที่สุดข้าก็พบตัวเจ้า !”

หัวหน้ากลุ่มคนชุดดำกล่าวเยาะเย้ยขณะยืนนิ่งเฉยอยู่ด้านข้างโดยไม่ลงมือทำสิ่งใด

ทว่าในเวลานี้ บุรุษเสื้อคลุมสีดำนับสิบคนก็เข้าปิดล้อมฉินเหยียนและปลดปล่อยการโจมตีอย่างต่อเนื่อง

ตลอดช่วงที่ผ่านมานี้ ความแข็งแกร่งของฉินเหยียนพัฒนาขึ้นมาก แม้ประจันหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีพลังในขอบเขตราชาเซียนขั้นกลางถึงขั้นสูงมากกว่าสิบคน นางก็ยังไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

คลื่นลมที่ก่อตัวพร้อมกระบี่ยาวในมือของนางต้านทานการโจมตีของคู่ต่อสู้รอบตัวครั้งแล้วครั้งเล่าและทำให้พวกเขาหลายคนได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก

“พวกเจ้าเป็นใครกัน ?! เหตุใดจึงตามรังควานข้าอย่างไม่ยอมเลิกราเช่นนี้ ?!”

ฉินเหยียนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ ในตอนแรกที่นางมาถึงที่ดินแดนมหาเทพ นางก็ปรากฏตัวในผืนป่าแห่งหนึ่งในทางเหนือของดินแดนซึ่งพลัดพรากจากฉินเฟิง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไปอย่างสิ้นเชิง

หลังจากที่ฝึกวิชาพัฒนาตนเองมากขึ้นและออกมาจากผืนป่าแห่งนั้น นางก็ได้พบกับกลุ่มคนชุดดำเหล่านี้

นับตั้งแต่ตอนนั้น คนชุดดำเหล่านี้ก็ตามตอแยนางมาโดยตลอดและแม้แต่ในเวลานี้เอง พวกเขาก็ถึงขั้นไล่ตามนางมาจนถึงสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้

“แน่นอนว่าเจ้ามีสิ่งที่พวกเราต้องการอยู่ !”

หัวหน้ากลุ่มคนชุดดำกล่าวพลางแสยะยิ้มและเริ่มเข้าร่วมการโจมตีเช่นกัน