บทที่ 1104 โอหัง

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

พายุนอกดาวเคราะห์ชะตาสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ทุกคนจะใจสั่นสะท้าน แต่สุดท้ายก็ยอมรับความจริงข้อนี้ได้ สายตาที่มองไปยังหวังเป่าเล่อก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

ก่อนหน้านี้แม้องครักษ์เต๋าเหล่านั้นที่มาจากดาราจักรไฟจะให้ความเคารพ แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะปรมาจารย์แห่งไฟ ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว หวังเป่าเล่อใช้พลังยุทธ์และพลานุภาพของตนทำให้ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์เหล่านี้พากันรู้สึกหวั่นเกรง

ชีวิตนี้ของพวกเขาไม่เคยเห็นดาวพระเคราะห์ที่ไหนแผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงเหมือนของหวังเป่าเล่อเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังมี…สภาวะที่ไม่อาจมองเห็นชัดแบบนั้นอีก ทำให้ก้นบึ้งจิตใจของดารานิรันดร์ทั้งหมดบนเรือรบพากันคาดเดาไปต่างๆ นานา

เพราะโดยทั่วไปแล้ว เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อช่องว่างระหว่างระดับมีมากเกินไป ตัวอย่างเช่นไม่อาจมองเห็นดวงจิตเทพได้โดยตรง เพราะกฎทั้งหมดรอบดวงจิตเทพนั้นบิดเบี้ยว ทันทีที่ผู้มีระดับไม่เพียงพอมองเข้าไป ก็จะได้รับผลกระทบรุนแรง ไม่สามารถทนรับกฎอันบิดเบี้ยวนั้นได้ ถูกการรับรู้ขนาบซ้ายขวา จากนั้นร่างกายก็จะแตกสลาย

หวังเป่าเล่อเมื่อครู่ก็คือสภาวะนั้น ถึงแม้จะไม่ได้บรรลุถึงระดับเกินจริงขนาดนั้น แต่กลับมีลักษณะเช่นนี้อยู่ และ…นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ดารานิรันดร์ทั้งหมดใจสั่นสะท้าน

ผู้ที่สั่นสะเทือนเหมือนกันก็คือเซี่ยไห่หยาง แต่เขาก็ฟื้นตัวกลับมาเร็วมาก ข้างกายของหวังเป่าเล่อครึกครื้นยิ่งกว่าขามาเสียอีก เพียงแต่ขากลับในตอนนี้ ข้างกายของเขากลับมีคนที่กระตือรือร้นยิ่งกว่าเพิ่มขึ้นหนึ่งคน

คนผู้นี้ก็คือเฉินหาน เขาแทบจะคืนสติได้เร็วที่สุด ร้องเรียกคำว่าท่านพ่อออกไปโดยไม่สนใจสีหน้าแปลกพิกลขององครักษ์เต๋าเหล่านั้นและการขมวดคิ้วไม่พอใจของเซี่ยไห่หยาง

สำหรับเรื่องเหล่านี้ หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจ เพราะเมื่อเท้าแตะบนเรือรบแล้ว เขาก็ครุ่นคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง

ตนจะไปที่ไหน!

ตามแผนตอนมา หลังจากร่วมงานวันอวยพรฉลองอายุเสร็จแล้ว เขาจะกลับไปดาราจักรไฟเพื่อรายงานภารกิจ ขณะเดียวกันก็วางแผนจะกลับไปโลกสหพันธรัฐสักรอบเพื่อเยี่ยมบิดา มารดา และสหาย

แต่หลังจากทดสอบพลังฝึกปรือระลึกอดีตชาติและรับรู้ความจริงกว่าครึ่งแล้ว ความคิดของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะ…เมื่อประสบกับวิกฤตเกือบถูกยึดครอง

แม้จะรู้ว่าชาติก่อนตนเป็นกระดานไม้ดำที่มีต้นกำเนิดลึกลับ สุดท้ายปัญญาแท้จริงก็ถือกำเนิดขึ้น เป็นของแถมจากซุนเต๋อ แต่หวังเป่าเล่อไม่คิดว่าจะไม่มีใครมายึดครองเขาได้

พร้อมกันนั้น เขายังมีการคาดเดาอย่างหนึ่ง

“ข้าเป็นกระดานไม้ดำ แต่กระดานไม้ดำ…กลับไม่จำเป็นต้องเป็นข้าทั้งหมด!”

“กระดานไม้ดำสามารถเวียนว่ายตายเกิดไม่แตกสลาย แต่ข้ากลับไม่แน่…นั่นก็หมายความว่า ข้าเป็นจิตวิญญาณที่กำเนิดมาจากมัน ข้าสามารถถูกลบล้างไปได้ แบบเดียวกับวิญญาณวุธบนวัตถุเวท”

“เมื่อวิญญาณวุธถูกลบไป ถึงแม้วัตถุเวทจะเสียหาย แต่กลับส่งผลไม่มาก เปลี่ยนวิญญาณวุธใหม่ให้ค่อยๆ หลอมรวมเข้ามาก็ได้แล้ว หรือถ้าจะไม่เปลี่ยน เมื่อให้ความร้อนแก่มัน วัตถุเวทก็ยังสามารถให้กำเนิดวิญญาณวุธใหม่ออกมาได้ภายใต้สภาพแวดล้อมพิเศษบางอย่างด้วยตัวเอง”

“ส่วนวิญญาณวุธที่กำเนิดขึ้นมาใหม่ ทั้งเป็นข้า และก็ไม่ใช่ข้า” หวังเป่าเล่อเงียบงัน บางทีอาจจะเป็นเพราะแรกเริ่มก็ได้สัมผัสกับการหลอมอาวุธแล้ว สำหรับประเด็นนี้ หวังเป่าเล่อมีเหตุผลและการคาดเดาของตัวเองอยู่แล้ว

เขารู้ดีว่าความโลภและความอาฆาตแค้นที่ตะขาบสีโลหิตมีต่อเขานั้นแรงกล้ามาก บางทีอีกไม่นาน เขาอาจจะได้เผชิญหน้ากับการปรากฏตัวและการยึดครองจากอีกฝ่าย เหมือนกับที่วัตถุเวทเปลี่ยนวิญญาณวุธนั่นเอง

“ถ้าหากมองว่ากระดานไม้ดำเป็นวัตถุเวทและอดีตชาติของข้าก็เป็นวิญญาณวุธล่ะก็ เช่นนั้น…ตรงนี้ก็จะมีคำถามที่เกี่ยวข้องกันขึ้นมาว่า ข้าน่าจะแสดงอานุภาพเทพของไม้ดำสามฉื่อนั่นออกมาได้!”

“ออกมาเพียงสามฉื่อก็สามารถบดขยี้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในจักรพิภพเต๋าไพศาลได้แล้ว…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาตระหนักในข้อนี้ดี แต่เขาก็เข้าใจดีว่า…ตัวเขาในตอนนี้ยังไปไม่ถึงระดับที่จะควบคุมกระดานไม้ดำได้

ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับเหตุผลสองประการ หนึ่งคือมีเพียงตนในชาตินี้เท่านั้นที่สามารถผสานความทรงจำทั้งหมดได้อย่างแท้จริง เขาในอดีตชาติ ไม่ว่าจะเป็นผีดิบหรือทหารอาฆาต หรือแม้แต่กวางขาวน้อยก็ตาม ล้วนแล้วแต่ไม่อาจมาถึงขั้นนี้

ดังนั้น ภายใต้การวิเคราะห์ของหวังเป่าเล่อ เขาคิดว่านี่อาจจะเป็นโอกาสที่สามารถเริ่มควบคุมกระดานไม้ดำได้

ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ถึงแม้จะดูเหมือนว่าปัญญาของเขาถือกำเนิดมานานมากและผ่านมาหลายชาติ แต่เมื่อเทียบกับวันเวลาอันมากมายนับไม่ถ้วนของกระดานไม้ดำแล้ว ตนก็เป็นเพียงร่างแรกเกิดของมันเท่านั้น อาจไม่ใช่แม้แต่ทารกด้วยซ้ำ

ดังนั้นการคิดจะควบคุมกระดานไม้ดำจึงยากลำบากอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น…สิ่งสำคัญที่สุดตรงหน้าของเขาในตอนนี้ ไม่ใช่แค่ควบคุมกระดานไม้ดำ แต่เป็นการป้องกันการยึดครองของตะขาบสีโลหิตอย่างไร เขาคิดไปคิดมา อย่างเดียวที่ทำได้ก็คือยกระดับการบำเพ็ญ!

มีเพียงตัวเขาแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นจึงจะจัดการทุกอย่างได้

“ระดับดารานิรันดร์ไม่ใช่เรื่องยากลำบากสำหรับข้าแล้ว ถึงขั้นที่ว่าหากข้าต้องการเลื่อนขั้นตอนนี้ก็สามารทำได้ทันที…แต่การเลื่อนขั้นเช่นนี้แม้จะไม่เลว แต่ก็ยังขาดอะไรอยู่นิดหน่อย” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ระดับดารานิรันดร์ที่เขาต้องการคือแสงเจิดจรัสของดวงดาวนับหมื่นที่คอยเชิดชูดารานิรันดร์ของตัวเขาเอง

คิดจะบรรลุถึงจุดนี้ เขาต้องมีดวงดาวมากกว่านี้!

ต้องเป็นดวงดาวแบบพิเศษด้วย!

“ยังต้องไปสักรอบ…ไปที่สุสานดวงดารา!” หลังจากหวังเป่าเล่อครุ่นคิด นัยน์ตาก็ฉายแววตัดสินใจได้ เขาส่งจิตเทพไปให้เซี่ยไห่หยางเพื่อแจ้งพิกัดดวงดาวแห่งหนึ่งทันที

พิกัดนี้ก็คือทางเข้าสุสานดวงดาราที่เขาเคยไปเมื่อตอนนั้น

เมื่อไปถึงที่นั่น ถึงไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องยืนยัน หวังเป่าเล่อก็เชื่อว่ากระดาษรูปมนุษย์ในสุสานดวงดาราจะสัมผัสถึงตัวเขาได้ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตอนที่หวังเป่าเล่อออกจากสหพันธรัฐครั้งนั้น เขาทิ้งเครื่องยืนยันไว้ที่เจ้าเยี่ยเหมิงไว้เป็นหนึ่งในรากฐานของสหพันธรัฐแล้ว

ตอนนี้เมื่อเขาแผ่จิตเทพออกไป เซี่ยไห่หยางก็รับคำสั่ง ไม่นาน กลุ่มเรือรบที่อยู่นอกดาวเคราะห์ชะตาก็เร่งเครื่องเสียงดังสนั่นแล้วตรงไปยังพิกัดที่หวังเป่าเล่อให้มา เสียงแผดร้องดังขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ออกมาจากขอบเขตของดาราจักรชะตา

ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็ยังครุ่นคิดต่อ ครั้งนี้สิ่งที่เขาคิดอยู่ก็คือ…หลัว!

“ข้าชอบโลกวงที่สองนี้ มันเป็นของข้า…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ย้อนนึกถึงคำพูดของหลัว ยากจะจินตนาการว่าผู้ยิ่งใหญ่แววตาเย็นชาราวกับไร้สีหน้าไร้อารมณ์จะพูดคำว่า ‘ชอบ’ ออกมาได้

แต่ถึงอย่างนั้น ความทรงจำในสมองของเขาก็รับรู้ได้ชัดเจนว่าประโยคที่หลัวพูดออกมานี้เป็นความจริง

หวังเป่าเล่อเงียบงัน เพราะเขาคิดถึงบิดาของหวังอีอีและเรื่องเล่าเกี่ยวกับมาร ปีศาจ ครึ่งเทพครึ่งเซียนที่ซุนเต๋อเล่าออกมา บทสรุปของเรื่องนั้นคือการตัดนิ้วทุกนิ้วของหลัว ไปจนถึงทุกคนรวมพลังกันสังหารหลัว!

เรื่องราวเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นหลังจากช่วงเวลาที่ตนเห็นในชาติแรก

“ยังมีผนึกของหลัวบนกระดานไม้ดำ แรกเริ่มเป็นผนึกทั่วไป จนกระทั่งเป็นผนึกหนึ่งดัชนี สุดท้ายก็ใช้แขนซ้ายมาผนึกโดยไม่เสียดาย…”

“เหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้ เพราะหวาดกลัวกระดานไม้ดำ หรือว่า…เพื่อปกป้องโลกที่เขาชื่นชอบหรือ” หวังเป่าเล่อคิดไม่ออก แต่เขาก็คิดถึงประโยคสุดท้ายที่หลัวถามตัวเองว่ารู้หรือไม่ว่าความชื่นชอบเป็นความรู้สึกเช่นไร

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเงียบงันเข้าไปอีก และตอนนี้เอง เสียงของแม่นางน้อยก็ดังก้องอยู่ในหัวของหวังเป่าเล่อ

“เจ้าอ้วน เจ้าได้รับผลกรรมแล้ว ชอบทำตัวเป็นเจ้าของบ่อยๆ”

“ถ้าเจ้าชอบผีเสื้อ เจ้าว่าจะดูมันโบยบินเริงระบำอย่างอิสรเสรีหรือเปลี่ยนให้เป็นตัวอย่างแล้วนำไปติดบนสมุดดี”

จิตใจของหวังเป่าเล่อสั่นคลอน หลังจากได้ลิ้มรสคำพูดของแม่นางน้อย เขาก็เอ่ยเสียงเบา

“ล้วนไม่ดีทั้งสิ้น เพราะข้าไม่ชอบผีเสื้อ ข้าชอบเจ้า”

“เจ้าอ้วนบัดซบ ข้ากำลังคุยเรื่องจริงจังกับเจ้านะ!” แม่นางน้อยแค่นเสียงออกมา

“ข้าก็พูดเรื่องจริงจังนะ!” หวังเป่าเล่อกลอกตา กระแอมไอออกมาหนึ่งเสียง เขาพบว่าแม่นางน้อยคือสิ่งที่ปรับอารมณ์เขาได้ดีที่สุด สามารถทำให้เขาผ่อนคลายได้อย่างมาก แต่ขณะที่เขากำลังจะปรับสมองและผ่อนคลายอารมณ์ต่อนั้น กลุ่มเรือรบที่เขาอยู่ก็ออกมาจากดาราจักรชะตา…

ชั่วขณะที่ออกจากที่นั่น ความรู้สึกถึงอันตรายก็ปรากฏขึ้นเล็กๆ ในใจของหวังเป่าเล่อ ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังที่ไกลๆ และได้เห็น…ในจักรวาลอันไกลโพ้น บนสะเก็ดดาวที่ถูกสยบจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ก้อนหนึ่งมีชายวัยกลางคนสวมชุดดำนั่งขัดสมาธิกำลังกอดกระบี่ยาวเล่มหนึ่งเอาไว้

บนร่างของชายผู้นี้แผ่ความผันผวนอันแข็งแกร่งออกมา ตอนนี้กำลังลืมตาโพลง มองมาทางกลุ่มเรือรบที่หวังเป่าเล่ออยู่ แต่เขาคล้ายจะไม่รู้สึกถึงหวังเป่าเล่อ ดังนั้นที่มุมปากในตอนนี้จึงยังมีรอยยิ้มยกสูง ปากก็เอ่ยเสียงนิ่งสงบแฝงความเย่อหยิ่งออกมา

“หวังเป่าเล่อ ขอบคุณเจ้าที่รักษาหัวตัวเองไว้ให้ข้ามานานขนาดนี้ ตอนนี้เจ้าส่งมาให้ข้าได้แล้ว”

…………………………