เงาร่างสีดำขนาดยักษ์หลายเงามาถึงจุดสูงสุดของยอดเขาหิมะ
เมื่อพวกเขาข้ามมา ก็จะเข้าสู่โลกมนุษย์ แม้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างระบุไว้ในแผนที่และรายงานของสายสืบว่าที่แห่งนี้เป็นที่รกร้าง
ยอดฝีมือเผ่ามารที่นำกลุ่มมีเพียงมือเดียว เขายกมือนั้นขึ้นในตอนนี้เพื่อบอกให้กลุ่มหยุด
ลมเย็นโหยหวนพักกระพือเสื้อเหล็กของเผ่ามาร พัดผมดำจนยุ่งเหยิง เผยให้เห็นเขามารที่ดูเหมือนทั้งมีจริงและไม่จริง
ดาวตาเขาเป็นสีเขียวเข้มและดูโหดเหี้ยมอย่างมาก ร่างสูงใหญ่กำยำแผ่ปราณที่แข็งแกร่ง ใครที่เห็นเขาย่อมรู้สึกหวาดกลัว
ขุนพลมารอันดับสองไห่ตี๋
ในเมืองเสวี่ยเหล่าหรือทุ่งหิมะ ในหมู่มารหรือมนุษย์ ล้วนเรียกเขาว่าใต้เท้าไห่ตี๋ด้วยความเคารพและหวาดกลัว
ในฐานะบุคคลอันดับสองของกองทัพมารเป็นรองเพียงผู้บัญชาการมารเท่านั้น เขาได้ฆ่าทหารและผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์มานับไม่ถ้วน ชื่อเสียงความโหดเหี้ยมของเขานั้นแพร่กระจายไปไกล
หลายปีก่อน เขาได้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมในการซุ่มโจมตีและสังหารซูหลีบนทุ่งหิมะของเผ่ามาร
ในเวลานั้นซูหลีได้ตัดแขนของไห่ตี๋ในดาบเดียวในขณะที่เขาก็ทิ้งแผลลึกบนแขนของซูหลี
จินตนาการได้ว่ามารคนนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน ถึงสามารถทำให้ซูหลีบาดเจ็บได้
ไห่ตี๋มองลงไปที่ลานบ้านในภูเขาหิมะ ประกายความหวาดหวั่นที่หาได้ยากมากปรากฏขึ้นบนใบหน้า
มีเรื่องน้อยนักในโลกนี้ที่จะทำให้เขาตกใจได้
ลานบ้านนี้ห่างไกลมากจากบนยอดเขาสูง บางทีอาจมากกว่าพันจั้ง ในสายตาของยอดฝีมือเผ่ามารขั้นสูงสุด ลานบ้านนี้เหมือนกับบ้านจำลองในหม้อ แสงดาวส่องลงมาบนบ้านนี้ บนชายหนุ่มที่สะพานเหนือทะเลสาบที่เล็กดั่งเม็ดทราย หากเป็นคนอื่นนอกจากไห่ตี๋คงไม่อาจมองเห็นรูปร่างของชายหนุ่มได้ชัดเจนนัก
เขามองเห็น เขาจึงตกใจมาก
ในตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองยอดเขา
ห่างกันพันจั้งกลางเทือกเขา พวกเขาจ้องมองกันอย่างเงียบงันเป็นเวลานาน
“ข้าไม่คาดคิดว่าจะเป็นใต้เท้า” ไห่ตี๋กล่าวอย่างเรียบเฉย
เขาย่อมพูดด้วยภาษามาร น้ำเสียงทุ้มลึกเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่แปลกประหลาด
……
……
“รีบไปโดยเร็วที่สุด จะมีเรื่องเกิดขึ้นในไม่ช้า ข้าไม่อาจปกป้องพวกเจ้าได้หากถึงตอนนั้น”
หลังจากกล่าวเฉินฉางเซิงรู้สึกได้ถึงคลื่นจากไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ที่ซ่อนอยู่
นี่บอกเขาว่าเผ่ามารได้มาถึงแล้ว และคนที่มาก็ย่อมเป็นยอดฝีมือที่เขาไม่อาจรับมือได้
เขามองขึ้นไปจนถึงยอดเขาสูงที่สุด แต่ก็ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนว่าอะไรอยู่บนนั้น
ไม่ว่าสายตาเขาจะดีแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นผ่านความมืดมิดไร้สิ้นสุด
แต่เขารู้ว่าใครอยู่ที่นี่
อันหวา แม่ทัพกับพวกที่เหลือล้วนตกใจอย่างมาก เพราะเขาไม่ได้บอกว่าเขาไม่คิดจะปกป้อง แต่เป็นเขาไม่อาจปกป้องได้…
ศัตรูที่กำลังมาถึงจะเป็นใครแม้แต่สังฆราชก็ไม่อาจปกป้องพวกเขาได้
ลมรุนแรงพลันพัดมาเหนือทะเลสาบที่เหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ ลมเย็นจากเทือกเขาทำลายบรรยากาศสี่ฤดูพัดผ่านไปทั่วทะเลสาบ เสียงโหยหวนบาดหู
เสียงโหยหวนของสายลมยังบรรจุไว้ด้วยเสียงอื่นอีก
นอกจากอันหวา ทุกคนได้ยินว่านี่เป็นภาษามาร แม่ทัพถึงกับได้ยินคำว่า ‘ใต้เท้า’
พวกเขาล้วนเคร่งเครียดขึ้นมา ตระหนักว่าศัตรูที่มาเป็นเผ่ามาร น่าจะเป็นยอดฝีมือเผ่ามาร!
ไม่มีใครหนีไป พวกทหารเริ่มชักดาบออกมาทีละคนและตั้งขบวนอยู่ด้านหลังเฉินฉางเซิง
แม่ทัพให้อันหวาดูแลนักสร้างค่ายกลหนุ่มบนแคร่หามในขณะที่ตัวเขาเข้าไปในศาลาและฟาดหมอหยางสลบไป
การต่อสู้กับยอดฝีมือเผ่ามารกำลังจะเริ่มขึ้น เขาไม่ยอมให้มีปัจจัยเสี่ยงอยู่ในค่าย
จูซามองไปที่แม่ทัพรู้สึกชื่นชมอยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงจ้องไปที่ยอดเขาไกลและถอนหายใจ “ข้าก็ไม่คิดว่าข้าจะได้พบท่านในคืนนี้”
ประมาณหนึ่งปีก่อน การปรากฏตัวต่อสายตาผู้คนครั้งสุดท้ายของเขาก็คือในการสงครามระหว่างมนุษย์กับมาร ในตอนนั้นเขานำจูซาลอบเข้าศูนย์บัญชาการกองทัพ ด้านหนึ่งเขารักษาคนเจ็บในฐานะหมอในขณะที่อีกด้านหนึ่งเขาสังหารมารอย่างลับๆ อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งกองทัพมนุษย์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเกินไป ทำให้เขาต้องเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา การโจมตีพร้อมกันของกระบี่พันเล่มได้ฝืนพลิกสถานการณ์แต่…มันก็ดึงดูดยอดฝีมือเผ่ามารที่แข็งแกร่งเช่นกัน
ไห่ตี๋ร่อนลงจากท้องฟ้าและทำร้ายเขาบาดเจ็บหนักในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
จูซาเสียงที่จะทำให้ดวงวิญญาณของนางร่อนเร่ไร้ที่อยู่เพื่อเลี่ยงการรับรู้ของไห่ตี๋และนำเฉินฉางเซิงลงใต้ดินหนีไปจากสนามรบ แต่ไม่พวกเขาก็คาดคิดว่าในเทือกเขาที่ทอดยาว พวกเขาจะถูกยอดฝีมือมนุษย์ซุ่มโจมตีหลายครั้ง
หลังจากนั้น พวกเขาก็รู้ว่ายอดฝีมือมนุษย์พวกนี้มาจากราชสำนัก พูดให้เจาะจงก็คือมาจากหอความลับสวรรค์ที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของราชสำนัก
เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เปี่ยมไปด้วยอันตรายอย่างแท้จริง หากไม่ใช่เพราะหลิวชิงปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบงันราวภูตพราย เขาคงตายไปแล้ว
มันเป็นความทรงจำที่ขมขื่นที่ทำให้เฉินฉางเซิงเสียความกล้าไปบ้าง ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะอาศัยอยู่ในเทือกเขาที่ห่างไกลไร้ผู้คน
และต้นเหตุของเรื่องนี้ก็คือไห่ตี๋
คืนนี้เขาได้พบกับไห่ตี๋อีกครั้ง หรือมันหมายความว่าการเผชิญหน้าอันขมขื่นจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
บนยอดเขาเย็นเยียบ ไห่ตี๋มองไกลลงไปยังทะเลสาบที่เหมือนไข่มุก ใบหน้าไร้อารมณ์และอำมหิตอย่างที่สุด
“ข้าได้รับคำสั่งจากกุนซือให้มาเอาชีวิตเจ้า”
ชุดดำต้องการจะฆ่าเจ้าของยาจูซา
หากเขารู้ว่าเจ้าของยาจูซาเป็นเฉินฉางเซิง เขาย่อมต้องการฆ่ามากขึ้นไปอีก
บนยอดเขาที่เปลี่ยวร้างไม่มียอดฝีมือที่แท้จริงมาปกป้องสังฆราชหนุ่ม หากเขาพลาดโอกาสนี้เทพจันทราก็ทอดทิ้งเมืองเสวี่ยเหลาแล้ว
ด้วยเหตุผลที่ไม่อาจอธิบายได้ ไห่ตี๋ไม่กังวลว่าเฉินฉางเซิงจะหนีไป เขาไม่รีบบุกลงไปแต่ยืนอยู่บนยอดเขาและพูดกับเขา
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาอธิบายได้ เขาไม่จำเป็นต้องบุกลงไปและมั่นใจว่ามันสายเกินไปที่เฉินฉางเซิงจะหนี
ไห่ตี๋กระโดดลงจากยอดเขา
ประกายไฟฉายขึ้นในท้องฟ้าราตรีและดับไปอย่างรวดเร็ว
สายลมโหยหวนและดวงดาวหม่นมัว แม้แต่ความมืดก็ดูเหมือนจะถูกฉีกขาด
ไม่นานก่อนหน้านี้ หนิงสือเว่ยส่งก้อนหินใหญ่ลอยไป ทำลายสะพานบนทะเลสาบ
ไห่ตี๋กลับเปลี่ยนตัวเองเป็นก้อนหิน ไม่ เปลี่ยนเป็นภูเขาใหญ่
เทียบกับพลังของเขาแล้ว ก้อนหินของหนิงสือเว่ยนั้นอ่อนแอจนน่าขัน
เสียงโหยหวนของอากาศที่ถูกบีบอัดดังขึ้น เงามหึมาปกคลุมไปทั่วทะเลสาบ
แรงกระแทกเกินจินตนาการกระทบกับทะเลสาบ
โครม!
เสียงปานฟ้าร้องคำรามดังน่ากลัว น้ำในทะเลสาบเปลี่ยนเป็นไอในทันที หมอกลอยขึ้นบดบังไปครึ่งเทือกเขา
ลานบ้านถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นเศษซาก สะพานไม้เป็นเหมือนงูที่แตกออกทีละนิด ทิ้งศพนอนอยู่ในโคลนก้นทะเลสาบ
ทหารจากศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานไม่ตายก็บาดเจ็บไม่ก็หมดสติไป
ใบไม้ครามใบหนึ่งกางอยู่ตรงหน้าอันหวา ป้องกันนางและนักสร้างค่ายกลบนแคร่หาม
รองแม่พทันก็ยังมีชีวิต ล้มอยู่ท่ามกลางเศษซากของศาลา กระอักโลหิตออกมา เห็นคลื่นปราณปั่นป่วนรุนแรงในความมืด เขาก็มีสีหน้าสิ้นหวัง
เสียงเคล้งของกระบี่มากมายดังขึ้นในที่สุด
เจตจำนงกระบี่นับไม่ถ้วนมาจากทุกทิศทาง แฝงไว้ด้วยอำนาจของพายุและฟันใส่ร่างใหญ่ยักษ์สีดำนั้น