ไม่ต้องขบคิดหานลี่แค่นเสียงหึอย่างเย็นชา แผ่พลังจิตสัมผัสมหาศาลเข้าไปรวมตัวกัน แล้วสลายที่ตัวออกพลางดึงกลับมา

สตรีเสียงแหบพร่าและบุรุษแปลกหน้าเห็นโอกาสดี ย่อมไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ ทันใดนั้นพลันกระตุ้นจิตสัมผัส ไล่ตามไปอย่างดุเดือด

ชั่วพริบตานั้นพลังจิตสัมผัสสามกลุ่มก็มาปรากฏตัวเหนือหานลี่ แม้ว่าพลังจิตสัมผัสอีกสามกลุ่มที่อ่อนแอจะรีบไล่ตามมา แต่เห็นได้ชัดว่าช้ากว่าไปก้าวหนึ่ง

หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันหรี่ตาทั้งสองข้าง เสียงแค่นเสียงหึอย่างเย็นชาจนเข้ากระดูกดังขึ้น!

แม้ว่าเสียงแค่นเสียงจะไม่ดังนัก แต่กลางอากาศพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น จิตสัมผัสของสตรีเสียงแหบพร่าและบุรุษแปลกหน้าถูกกระทบเข้า คาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวกันโดยอัตโนมัติ ชั่วครู่ก็แยกออกจากการโจมตีจิตสัมผัสของหานลี่

ยามนี้ใบหน้าของหานลี่ฉายแววโหดเหี้ยม มือหนึ่งร่ายอาคม จิตสัมผัสที่ปล่อยออกมาจากเรือนร่างไม่เพียงไม่ได้ดึงกลับมาทันที กลับหมุนคว้างไปมา แล้วกลายเป็นใบมีดยักษ์แวววาวความยาวยี่สิบจั้งเศษ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับลงมาที่จิตสัมผัสของบุรุษ

เสียงคร่ำครวญดังระเบิดออกมาจากเมืองศิลา

บุรุษแปลกหน้าไม่ทันระวังตัว จิตสัมผัสถูกใบมีดยักษ์สับออกเป็นสองส่วน และมีเพียงหนึ่งในสิบส่วนที่สลายหายไปกลางอากาศ

หานลี่ใช้จิตสัมผัสโจมตี นับว่าทำให้บุรุษแปลกหน้าได้รับบาดเจ็บหนัก

สตรีเสียงแหบพร่าได้สติกลับมา หลังจากร้องเสียงแหวออกมา พลังจิตสัมผัสก็หดเล็กลง แล้วกลายเป็นมือยักษ์ข้างหนึ่ง ทุบไปที่ใบมีดยักษ์อย่างแรง

แต่การโจมตีของเขา กลับเห็นได้ชัดว่าสายไปแล้ว

หลังจากที่ใบมีดยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบ ก็กลายเป็นผลึกลำแสงสลายหายไป

แทบจะในเวลาเดียวพลังจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งก็กลับมาในร่างหานลี่ราวกับคลื่นน้ำ

เสียง “ปัง” ดังขึ้น!

แผ่นหลังของหานลี่มีอัสนีลำแสงสีเขียวและขาวสองสีเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้น กลายเป็นสายฟ้าคู่หนึ่งพันรัดปีกขนนกสีสันแวววาว

“ไป!”

หานลี่ร้องตะโกนต่ำๆ มือหนึ่งร่ายอาคม ปีกขนนกที่แผ่นหลังกระพือ

ร่างทั้งร่างกลายเป็นเส้นไหมลำแสงสีเขียวขาวพุ่งออกไป แค่กะพริบวาบก็มาอยู่ห่างออกไปพันจั้งเศษ หลังจากที่เลือนรางไปอีกครั้งก็มาปรากฏตัวที่ขอบฟ้า แล้วสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในเมืองศิลามีเสียงแค่นเสียงด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น เงาลวงตาแมงมุมยักษ์ปรากฏขึ้น สาวงามชุดสีเขียวร่างกายสูงใหญ่ยืนนิ่งอยู่บนเงาลวงตา มองทิศทางที่หานลี่สลายหายไปด้วยแววตาบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส กลับไม่ได้คิดจะลงมือไล่ตามไปในทันใด

รอบๆ เกิดระลอกคลื่นขึ้น ชายชราสวมชุดสีดำหน้าตาโหดเหี้ยมคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านข้างสตรีผู้งดงาม ใบหน้าซีดเผือดเล็กน้อย มองไปยังจุดที่ไกลออกไปอย่างโหดเหี้ยม

“เซียนหลัว ต้องตามคนผู้นั้นไป หากไม่ตามล่ะก็ เกรงว่าคงทำให้เขาหนีไปได้จริงๆ” ชายชราเอ่ยอย่างไม่ยินยอมเล็กน้อย

“ช่างมันก่อน! จิตสัมผัสของคนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าที่ข้าจินตนาการไว้ เกรงว่าอิทธิฤทธิ์อื่นก็ไม่ด้อยไปกว่ากันแน่ ขณะที่ยังไม่รู้ประวัติความเป็นมาของเขา ก็อย่าเพิ่งทำอันใดบุ่มบ่ามจะดีกว่า เพื่อไม่ให้ถูกพวกเดียวกันกับมันซุ่มโจมตี” ฮูหยินสวมชุดสีเขียวหน้าเปลี่ยนสีไปชั่วครู่แล้วถึงได้สั่นศีรษะขณะเอ่ย

“คำพูดของเซียนหลัว ก็มีเหตุผล ทว่าแดนที่ชำรุดนี้ไม่ได้ถูกปิดผนึกไปตั้งนานแล้วหรือ คนผู้นี้บุกมาจากไหน หรือว่าเขาก็เหมือนกับตาเฒ่า บังเอิญเข้ามาในรอยแยกมิติเวลาของแดนนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ” ชายชราสวมชุดคลุมสีดำครุ่นคิดเล็กน้อย ใบหน้าโหดเหี้ยมหายวับไปขณะเอ่ย

“เรื่องนี้นั้นพูดยาก แม้ว่าแดนนี้จะถูกปิดผนึก แต่วิธีการเข้ามาที่นี่ก็มีอยู่มากมาย แต่แค่ทุกอย่างต้องใช้ความบังเอิญ ไม่ก็ต้องใช้ค่าตอบแทนสูง มิเช่นนั้นเผ่าซิวหลัวของพวกเราก็คงไม่สงบสุขมาหลายปีเช่นนี้” ฮูหยินสวมชุดสีเขียวเอ่ยอย่างแช่มช้า

“เช่นนั้นคนผู้นี้อาจจะบังเอิญเข้ามาที่นี่ และอาจจะตั้งใจเข้ามาที่นี่ อย่างแรกก็ช่างเถิดหากเป็นอย่างหลัง ก็ไม่ค่อยดีแล้ว” ชายชราชุดดำได้ยิน สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน

“แบบไหนอีกเดี๋ยวค่อยปรึกษากัน ก็ยังไม่สาย” ฮูหยินสวมชุดสีเขียวเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

“ก็ดี ไปถามแม่หนูลี่ว์จู ดูว่าอีกฝ่ายทิ้งจิตสัมผัสไว้บนร่างของนางตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วค่อยตัดสินก็แล้วกัน” ชายชราชุดดำพลันเอ่ยอย่างเห็นด้วย

ดังนั้นเงาลวงตาแมงมุมยักษ์พลันสลายหายไป เงาทั้งสองเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไปจากกลางอากาศเช่นกัน

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ตำหนักยักษ์ใจกลางของเมืองศิลา ฮูหยินสวมชุดสีเขียวและชายชราสวมชุดสีดำ ก็แยกกันร่อนลงบนตำแหน่งหลักของแขก

ด้านล่างใกล้ๆ กันมีบุรุษและสตรีวัยกลางคนสามคนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

บุรุษสองและสตรีคนหนึ่งแผ่กลิ่นอายออกมาลางๆ ดูเหมือนจะไม่ต่างอันใดกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานทั่วไปเท่าใดนัก

ด้านหลังของทั้งสามคน มีบุรุษสตรีทั้งแก่ชราและอ่อนเยาว์แต่งกายหลากหลายสิบเจ็ดสิบแปดคน ล้วนแผ่พลังแรงกดระดับหลอมสูญออกมา

หนึ่งในนั้นคือหญิงสาววัยดรุณีที่หานลี่พบที่ริมทะเลลาวา

“ใต้เท้ามารดาเผ่า ผู้ทำผิดมีประวัติความเป็นมาอย่างไร มาหาเผ่าของพวกเราโดยเฉพาะหรือ?” บุรุษหน้าขาวหนึ่งในบุรุษและสตรีวัยกลางคนสามคนคารวะฮูหยินและชายชราก็เอ่ยถามอย่างจริงจัง

“มาหาเผ่าพวกเราหรือไม่ ยามนี้ยังพูดยาก ลี่ว์จู เจ้าถูกคนผู้นั้นลงจิตสัมผัสไว้ หรือว่าไม่รู้สึกเลยหรือ? เจ้าคิดว่าเขาน่าจะมาจากที่ใด ลงมือกับเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?” ฮูหยินชุดสีเขียวโบกมือด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก กลับหันหน้าไปเอ่ยถามสตรีวัยดรุณี

“รายงานใต้เท้ามารดาเผ่า ใต้เท้าอี้ลงมือหรือไม่ ศิษย์หลานไม่รู้เรื่องจิตสัมผัสเลย และไม่รู้ว่าถูกลงอาคมตั้งแต่เมื่อไหร่” สตรีวัยดรุณีได้ยินคำนี้ ก็หน้าเปลี่ยนสี เดินออกมาจากฝูงชน แล้วรีบคารวะพลางรีบร้อนอธิบายให้ฮูหยินชุดเขียวฟัง

“ไม่รู้สึกเลยสักนิด? เจ้าลองคิดให้ดีอีกทีเถิด ต่อให้ตอนนั้นเจ้าไม่รู้สึกอันใด แต่จากนี้ลองคิดดู ก็น่าจะหาร่องรอยเจอถึงจะถูก” ฮูหยินสวมชุดสีเขียวแค่นเสียงหึแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา

“เจ้าค่ะ ศิษย์หลานจะขบคิดให้ละเอียดอีกครั้ง” หญิงสาวตอบกลับอย่างลนลานและหวาดกลัว และทันใดนั้นก็ก้มหน้าจมอยู่ในภวังค์แห่งความคิด

คนอื่นๆ ก็จ้องเขม็งไปยังสตรีผู้นั้นด้วยสีหน้าหลากหลาย

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดสตรีผู้นี้ที่มีร่างกายสั่นเทาก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

“อันใด ในที่สุดก็คิดออกแล้วหรือ” ฮูหยินชุดเขียวหรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย

“เจ้าค่ะ ใต้เท้ามารดาเผ่า ศิษย์หลานจำได้ว่าวันนั้นยามที่ออกมาจากบ่อเพลิงสวรรค์ของเผ่ามัจฉาว่างเปล่า เคยรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย แต่แค่ความผิดปกตินั้นมันเล็กน้อยมาก หากไม่ใช่เพราะศิษย์หลานขบคิดซ้ำๆ อีกสองสามรอบ เกรงว่าคงไม่อาจจำได้” หญิงสาววัยดรุณีเอ่ยอย่างสัตย์จริงและหวาดกลัว

“อันใด เผ่ามัจฉาว่างเปล่า บ่อเพลิงสวรรค์!” ฮูหยินชุดเขียวและชายชราชุดดำได้ยินคำนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี ราวกับว่าพบกับเรื่องต้องห้ามอย่างไรอย่างนั้น

คนอื่นๆ เห็นเช่นนั้นย่อมตกตะลึงพลางมองสบตากันไปมา หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หญิงสาวที่มีเครื่องหน้างดงามร่างกายอรชรอ้อนแอ้นหนึ่งในบุรุษและสตรีวัยกลางคนสามคนก็ลังเลเล็กน้อย ถึงได้เดินออกมาเอ่ยถาม

“ใต้เท้ามารดาเผ่า คนผู้นั้นจับตามองลี่ว์จูที่เผ่ามัจฉาว่างเปล่ามีอันใดผิดปกติหรือ? เผ่ามัจฉาว่างเปล่าเป็นแค่อาหารรสชาติไม่เลวสำหรับเผ่าเราเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญนัก”

“หึ พวกเจ้ารู้อันใด หากเผ่ามัจฉาว่างเปล่าเป็นแค่อาหารที่ไม่เลว ข้าจะเอาบ่อเพลิงสวรรค์ที่ล้ำค่าไปให้พวกมันอาศัยอยู่ทำไมกัน หากแค่รสชาติล้ำเลิศและจำนวนอาหาร มีอีกกี่เผ่าที่เหนือกว่าเผ่ามัจฉาว่างเปล่าได้” ฮูหยินสวมชุดสีเขียวแค่นเสียงหึ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส

เห็นฮูหยินชุดเขียวมีสีหน้าเคร่งขรึม แม้ว่าหญิงสาวร่างกายอรชรอ้อนแอ้นจะยังงุนงง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอันใดให้มากความอีก ทำได้เพียงค้อมตัวลงเล็กน้อย แล้วถอยออกไปอย่างเงียบๆ

ยามนี้ชายชราชุดดำที่อยู่ด้านข้างกลับขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ยปาก

“เซียนหลัว ในเมื่อเรื่องมันเกี่ยวข้องกับเผ่ามัจฉาว่างเปล่า พวกเราต้องคำนวณสักหน่อย เพื่อไม่ให้เรื่องนี้เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น”

“เรื่องนี้ไม่ต้องให้สหายพูด ข้าก็เข้าใจ ลี่ว์จู เจ้าอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ่อเพลิงสวรรค์วันนั้นให้ข้าฟังอย่างละเอียด ห้ามตกหล่นแม้แต่คำเดียว” ฮูหยินสวมชุดคลุมสีเขียวเอ่ยกับสตรีวัยดรุณีด้วยความเย็นชา

“เจ้าค่ะ! วันนั้นยามที่ข้าไปถึงบ่อเพลิงสวรรค์ เป็นยามเที่ยงวัน…” หลังจากที่สตรีวัยดรุณีตกตะลึง ทันใดนั้นก็ย้อนคิด แล้วอธิบายอย่างละเอียดไปพลาง

ฮูหยินสวมชุดสีเขียวและชายชราชุดสีดำฟังจบก็อดที่จะมองสบตากันแวบหนึ่งไม่ได้ ล้วนมองเห็นสีหน้าเคร่งขรึมจากแววตาของอีกฝ่าย

“พวกเจ้าออกไปให้หมด ข้ามีเรื่องจะคุยกับสหายอี้ตามลำพัง” ฮูหยินสวมชุดสีเขียวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วออกคำสั่งกับคนอื่นๆ

“น้อมรับคำสั่งขอรับ”

คนอื่นๆ ได้ยินก็ไม่กล้าขัดขืน ทันใดนั้นก็ทยอยกันก้มหน้าถอยออกไปจากตำหนัก

ชั่วพริบตาทั้งตำหนักก็เหลือเพียงฮูหยินชุดสีเขียวและชายชราแซ่อี้สองคน

“สหายอี้ เจ้าคิดอย่างไร คนผู้นั้นมาที่นี่ หรือว่าเพราะมีแผนการเรื่องนั้น มิเช่นนั้นแม้ว่าแดนซิวหลัวจะมีทรัพยากรที่ล้ำค่า แต่ก็ไม่ถึงกับจะดึงดูดสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งปานนั้น” ฮูหยินชุดเขียวครุ่นคิดชั่วครู่ ถึงได้เอ่ยถามอย่างเคร่งขรึม

“น่าจะไม่ใช่ เรื่องนี้เจ้ากับข้าทำความเข้าใจมาตั้งหลายปี ถึงจะมีวาสนาบรรลุธรรมได้ จะมีคนอื่นที่มีความคิดเดียวกันได้อย่างไร คนผู้นั้นน่าจะไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้” ชายชราแซ่อี้ครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วตอบกลับด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง

“ข้าก็คิดเช่นนั้น ทว่าก็กล่าวไม่ได้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้มาเพื่อเผ่าข้าโดยเฉพาะ ถึงอย่างไรเสียแมงมุมซิวหลัวอย่างพวกเราก็นับว่าเป็นของล้ำค่ายิ่งสำหรับแดนอื่น” ฮูหยินชุดเขียวตอบกลับอย่างเคร่งขรึม

“อืม เรื่องนี้ตัดออกไปไม่ได้ ทว่าหากคนผู้นั้นมาหาเผ่าแมงมุมซิวหลัวของพวกเจ้าจริง ก็คงไม่มาลำพัง น่าจะมีผู้ช่วยอีกสองสามคนถึงจะถูก” ชายชราชุดดำเอียงคอขบคิด แล้วฉีกยิ้มเย็นชา

“คำพูดของสหายอี้ทำให้นึกขึ้นได้ทันที อาศัยแค่ข้อมูลในยามนี้ คงไม่อาจตัดสินได้ ขอแค่ส่งคนไปตรวจสอบ ดูว่าอีกฝ่ายไม่มีผู้ช่วย ก็น่าจะรู้แผนการของเขาคร่าวๆ แล้ว ใครก็ได้ เรียกอู๋อิ่งและว่านเฟิงมาพบข้า” ฮูหยินชุดเขียวพยักหน้า เห็นด้วยกับสิ่งนี้ และทันใดนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ควักอาวุธรูปทรงเหมือนจานอาคมออกมา แล้วออกคำสั่งอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

ผลคือไม่นานนักประตูตำหนักก็มีเสียงดังขึ้น พายุหมุนและลำแสงสีเหลืองม้วนวนเข้ามา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมาอยู่ตรงหน้าฮูหยินชุดเขียวและชายชราแซ่อี้ ลำแสงวิญญาณหม่นแสงลง ในเวลาเดียวกันใบหน้าที่แท้จริงก็ปรากฏขึ้น…