บทที่ 510.4 แสงไฟโลกมนุษย์สว่างไสว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เพื่อแบ่งสมาธิมาบังคับให้คักขราชิ้นนั้นหลุดออกจากพื้นไปช่วยคน อาคมของภิกษุเฒ่าจึงเริ่มเกิดช่องโหว่ พายุหมุนทรายสีทองยิ่งมีพลังอำนาจดุดัน ดอกบัวสีทองในพื้นที่โดยรอบที่กินบริเวณไม่กว้างเหลืออีกไม่มากแล้ว

และในขณะที่ภิกษุเฒ่ากำลังจะถูกทรายเหลืองห่อหุ้มแล้วกัดกินทำลายร่างทองของเขาไปอย่างสิ้นเชิงนั้นเอง ข้างหูก็มีเสียงกระซิบทุ้มอบอุ่นดังขึ้นมา “ต้าซือแค่เข้าฌานท่องพระธรรมต่อไปเถิด ข้าน้อยโชคดีได้มารับฟังก็ซาบซึ้งใจเป็นที่สุดแล้ว”

จากนั้นคนหนุ่มที่เดินหน้าหนึ่งก้าวร่างก็พุ่งออกไปหลายสิบจั้ง ก็ส่งเสียงว่า “ตามข้ามาปราบปีศาจ!”

เห็นเพียงว่าหีบไม้ไผ่เปิดออกด้วยตัวเอง เชือกพันธนาการปีศาจสีทองเส้นหนึ่งพุ่งออกมาเหมือนเจียวหลงสีทองที่ติดตามเงาร่างสีขาวหิมะ บุกตะลุยไปเบื้องหน้าด้วยกัน

เชือกพันธนาการปีศาจมุดลอดเข้าไปในพายุหมุนทรายเหลือง กักกันชุดคลุมสีเหลืองนั้นเอาไว้

ส่วนบัณฑิตชุดขาวก็แค่ออกหมัดรัวเร็วเหมือนฟ้าผ่าเท่านั้น

เพียงแต่ว่าพลังอำนาจของหมัดลมกรดน่าหวาดกลัว อานุภาพน่าครั่นคร้าม ทว่าบัณฑิตกลับก้าวเดินอย่างผ่อนคลาย และเพียงแค่เขาโบกสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พายุหมุนงวงช้างทั้งลูกที่พวยพุ่งเชื่อมแผ่นฟ้าก็ถูกต่อยให้ขาดออกเป็นสองท่อน

ภิกษุเฒ่าลืมตาขึ้นช้าๆ ยิ้มบางๆ สิบนิ้วพนม ก้มหน้าแต่กลับไม่ท่องพระคัมภีร์ เพียงพึมพำกับตัวเองว่า “พลานุภาพและคุณธรรมสูงสง่า ตั้งใจพิศให้กระจ่าง เสียดายที่ไร้น้ำชา มิเช่นนั้นคงได้นั่งลง”

ชุดสีขาวกับพายุหมุนลูกนั้นเคลื่อนตัวต่อสู้กันห่างไปไกลแล้ว

ภิกษุลุกขึ้นยืนช้าๆ หมุนตัวเดินไปทางหีบไม้ไผ่ คว้าคักขราห่วงเงินที่นิ่งสงบไร้เสียงใดมาไว้ในมือ แล้วภิกษุเฒ่าก็ท่องพระธรรมหนึ่งคำ ครั้นจึงก้าวยาวๆ จากไป

ท่ามกลางม่านราตรีของวันนี้

บัณฑิตชุดขาวสะพายหีบไม้ไผ่ถือไม้เท้าเดินป่ากำลังเดินหน้าไปช้าๆ

บนฝ่าเท้ามีแม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งที่ใช้สองมือกอดข้อเท้าของเขาเอาไว้แน่นห้อยติดมาด้วย ดังนั้นทุกก้าวที่เดินจึงต้องลากแม่นางน้อยที่เหมือนขนมหนิวผีถัง (ขนมมีชื่อชนิดหนึ่งของเจียงซู หยางโจว หากเป็นในไทยก็คือขนมคอเป็ด/ขนมคอหงส์ เปรียบเปรยขนมชิ้นนี้กับคนที่หน้าหนาหน้าทน ตอแยพัวพันไม่ยอมเลิกรา) ผู้นี้ออกไปด้วย

เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะก้มหน้า “เจ้าจะตอแยข้าอย่างนี้ใช่ไหม?”

แม่นางน้อยที่บนร่างรัดห่อสัมภาระห่อหนึ่งเอาไว้พยักหน้ารับ “ในห่อสัมภาระของข้าคือทรัพย์สมบัติใต้ทะเลสาบ ไม่ว่าอย่างไรก็มีค่ามากเกินกว่าหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชแน่นอน ตกลงกันก่อนว่าข้าจะยกมันให้เจ้าทั้งหมด แต่เจ้าจำเป็นต้องช่วยข้าหาบัณฑิตคนหนึ่งที่เขียนหนังสือได้ ให้เขามาช่วยเขียนเรื่องราวอันน่าตระการตาที่ในเรื่องข้าดุร้ายอำมหิต น่าหวาดกลัวอย่างมาก”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “หากเจ้ายังทำแบบนี้ ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ”

แม่นางน้อยเช็ดน้ำมูกน้ำตาลงบนขาของคนผู้นั้นลวกๆ พูดเสียงสะอื้นว่า “ขอร้องเจ้าล่ะ พาข้าไปท่องยุทธภพด้วยเถอะ เจ้ามีความสามารถมากขนาดนั้น ขนาดบรรพบุรุษหวงเฟิงผู้นั้นยังถูกเจ้าสังหารได้ อยู่กับเจ้า ข้าก็ไม่ต้องกลุ้มเรื่องกินอยู่ ข้าจะต้องหาบัณฑิตคนนั้นให้เจอให้จงได้ ให้เขาเขียนเรื่องราวของข้า ข้าต้องการมีชื่อเสียงอยู่ในประวัติศาสตร์ ทุกครอบครัวทุกตระกูลต้องรู้ว่าข้าคือภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้”

เฉินผิงอันหยุดเดิน ก้มหน้าถาม “ยังไม่ปล่อยมือ?”

ตีให้ตายแม่นางน้อยชุดดำก็ไม่ยอมปล่อยมือ นางโคลงศีรษะ เช็ดคราบน้ำมูกน้ำตาบนใบหน้าของตนเองกับชายชุดคลุมสีขาวของคนผู้นั้น จากนั้นจึงเงยหน้า ยู่ใบหน้าเอ่ยว่า “ข้าไม่ปล่อย”

เฉินผิงอันยกขาขึ้น “ไปเลย”

แม่นางน้อยถูกเตะโด่งลอยไปยังทะเลสาบมรกตขนาดเล็กแห่งนั้นโดยตรง นางกลิ้งหลุนๆ อยู่กลางอากาศไม่หยุด ลากเอาเส้นโค้งที่ยาวเหยียดเส้นหนึ่งตามหลังไป

ครู่หนึ่งต่อมา

เฉินผิงอันหันกลับไปมอง

ห่างไปไกลมีแมลงตามก้นตามติดมาอีกครั้ง พอเห็นว่าเขาหันหน้าไปมองก็รีบหยุดยืนนิ่ง แหงนหน้ามองดวงจันทร์

เฉินผิงอันถอนหายใจ “อยู่ข้างกายข้า ไม่แน่ว่าเจ้าอาจตายได้”

เจ้าตัวน้อยวิ่งตุปัดตุเป๋มาข้างหน้า แต่พอเห็นว่าบัณฑิตชุดขาวคนนั้นขมวดคิ้วก็รีบหยุดกึก พูดอย่างอัดอั้นว่า “ใครบ้างไม่ต้องตาย ถึงอย่างไรก็ล้วนต้องตายกันทุกคน ข้าไม่กลัวเรื่องนี้สักหน่อย ข้าแค่อยากให้ทุกคนรู้จักข้า พอรู้จักแล้ว ต่อให้ต้องตายก็ตายเถอะ”

เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าต่อ

นางจึงเดินตามมาด้านหลัง

ระหว่างนี้นางนั่งยองลงบนพื้น จ้องเป๋งไปบนพื้นดิน เอียงศีรษะ จากนั้นจู่ๆ ก็แสยะปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมออกกว้าง งับจิ้งเหลนตัวหนึ่งกลืนลงท้องไป

พอลุกขึ้นยืน แม่นางน้อยที่ด้านหลังสะพายห่อสัมภาระก็ยิ้มหน้าบาน “อร่อย!”

เพียงแต่จู่ๆ นางก็สังเกตเห็นว่าคนผู้นั้นหันหน้ากลับมา

นางรีบวางสีหน้านิ่งขึง สายตาล่อกแล่กอยู่ไม่นิ่ง เพียงแต่อดขยับแก้มน้อยๆ ไม่ได้

คนผู้นั้นคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ตามมาเถอะ ข้าจะพยายามช่วยหาที่พักพิงให้เจ้าก่อนจะไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์ก็แล้วกัน แต่เรื่องไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน หากเจ้าคิดเปลี่ยนใจขึ้นมากลางคัน อยากจะกลับมาที่ทะเลสาบคนใบ้ เจ้าก็ต้องกลับมาเอง ข้าจะไม่สนใจเจ้า”

นางวิ่งตะบึงมาหยุดข้างกายคนผู้นั้น ยืดอกตั้งเอ่ยว่า “ข้าหรือจะเปลี่ยนใจ? หึหึ ข้าคือภูตน้ำใหญ่เชียวนะ!”

คนผู้นั้นอืมรับหนึ่งที “ภูตน้ำใหญ่ที่ตัวเท่าเมล็ดข้าวสาร”

นางทำสีหน้าปั้นยากอย่างที่หาได้ยาก

เรื่องน่าอายที่เล็กเท่าเมล็ดงานี้ ห้ามเขียนลงไปในหนังสือเด็ดขาด

จากนั้นต่อมาข้างกายบัณฑิตชุดขาวจึงมีแม่นางชุดดำที่มักจะพูดว่าคอแห้งหิวน้ำติดตามมาด้วย

ขึ้นเขาลงห้วยไปด้วยกัน

แม่นางน้อยรู้สึกว่าทุกอย่างน่าสนใจไปเสียหมด

คนผู้นั้นพานางไปนั่งบนหัวกำแพงของถนนเส้นหนึ่งด้วยกัน มองดูเทพทวารบาลของสองบ้านทะเลาะกันเอง

เป็นเทพทวารบาลของสองบ้านที่อยู่ตรงข้ามกัน บ้านที่ติดภาพเทพแห่งโชคลาภฝ่ายบุ๋นนั้น เทพที่อยู่ด้านในคือชายฉกรรจ์ที่มีคุณธรรมเต็มเปี่ยม ส่วนบ้านที่ติดเทพแห่งโชคลาภฝ่ายบู๊กลับเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตคนหนึ่งที่เดินออกมา หน้าตาของเขางดงาม เคยได้รับฉายาว่าเด็กอัจฉริยะในอำเภอแถบนี้

ตอนนั้นบัณฑิตคนนั้นที่จนถึงทุกวันนี้นางยังรู้แค่ว่าเขาชื่อเฉินคนดีแปะยันต์แผ่นหนึ่งที่ชื่อไม่น่าฟังอย่างมากบนร่างนาง แล้วคนทั้งสองก็นั่งดูเรื่องสนุกอยู่บนหัวกำแพงที่ห่างไปไกลด้วยกัน

หลังจากนั้นพวกเขายังได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่เทพภูเขายกบุตรสาวให้แต่งงานกับบุตรชายของเทพวารี มองดูแล้วควรเป็นงานยิ่งใหญ่เอิกเกริกที่เสียงตีกล้องตีฆ้องดังลั่นอย่างครึกครื้น แต่ความจริงแล้วกลับเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง ตอนนั้นคนผู้นั้นเดินหลบเปิดทางให้ แต่หญิงชราคนหนึ่งที่อยู่ในขบวนของท่านเทพภูเขากลับเป็นฝ่ายยื่นส่งหงเปามงคลซองหนึ่งให้กับเขา และคนผู้นั้นก็รับไว้ด้วย แถมยังเอ่ยอวยพรอย่างเกรงอกเกรงใจ ช่างน่าอายจริงๆ ข้างในซองมีเงินเกล็ดหิมะแค่เหรียญเดียวเองนะ

ภายหลังพวกเขาก็ได้เจอกับขบวนท่องเที่ยวของเจ้าแห่งห้าขุนเขาในตำนาน เทพสวมชุดทอง ขี่ม้าสีขาว ด้านหลังมีขบวนตามติดมายาวเหยียด มองดูแล้วเปี่ยมบารมีอย่างยิ่ง

และด้านข้างศาลเจ้าแม่บางท่านที่กินอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างมาก ทว่าสภาพกลับผุพังเก่าโทรม พวกเขายังได้เห็นสาวงามสามคนเดินนวยนาดออกมาจากห้องร้างไร้ผู้คนที่อยู่แถบระเบียงตะวันตกของศาล พวกนางแอบไปลอบพบกับบัณฑิตของโลกมนุษย์คนหนึ่ง น่าเสียดายที่ภาพเหตุการณ์น่าอายหลังจากนั้น เจ้าคนข้างกายผู้นี้กลับไม่ยอมดู แม้แต่นางก็ยังไม่อนุญาตให้ไปแอบมอง เพียงแต่ว่าพอฟ้าสาง พวกเขาเดินเข้าไปดูก็เห็นเพียงว่าที่ศาลแห่งนั้นมีรูปปั้นสาวงามสีสันกระดำกระด่างสามรูป เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ รูปปั้นแต่ละรูปขาดผ้าเช็ดหน้าไปหนึ่งผืน ปิ่นทองหนึ่งชิ้นและกำไลข้อมือหนึ่งอัน

ที่น่าสนุกยิ่งกว่านั้นก็คือมีครั้งหนึ่งพวกเขาจับผลัดจับผลูไปเจอกับดินแดนสุขาวดีนอกโลกที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าเขาแห่งหนึ่ง ด้านในมีภูตที่แต่งกายเป็นปัญญาชนอยู่หลายคน พอเจอกับพวกเขาสองคน แรกเริ่มก็ยังกระตือรือร้นอย่างมาก แต่พอภูตแห่งภูเขาเหล่านั้นเปิดปากถามว่าเขาสามารถแต่งกลอนบทหนึ่งได้หรือไม่ เขากลับอึ้งค้าง จากนั้นภูตทั้งหลายก็เริ่มไล่คน บอกว่าเหตุใดถึงได้มีคนหยาบกระด้างแบบนี้ได้ พวกเขาสองคนจึงได้แต่ถอยออกมาจากจวนแห่งนั้นอย่างกระเซอะกระเซิง นางทำหน้าล้อเลียนใส่เขา เขาเองก็ไม่โกรธ

เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก แต่อันที่จริงส่วนใหญ่กลับเป็นเรื่องน่าเบื่อที่ต้องเร่งเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน ต้องก่อไฟหุงหาอาหารเสียมากกว่า

แต่ก็มีบางครั้งที่คนประหลาดผู้นี้ประหลาดมากจริงๆ

มีครั้งหนึ่งเขาเดินอยู่บนสะพานเลียบหน้าผา มองไปยังหน้าผาของภูเขาเขียวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงพุ่งตัวออกไปชนเข้ากลางหน้าผาโดยตรง จากนั้นก็ปล่อยหมัดต่อยให้ภูเขาทั้งลูกทะลุเสียงดังตูมๆๆ แล้วยังจะชอบพูดว่าน้ำเข้าสมองนาง? พี่ชายใหญ่เจ้าอย่ามาว่าพี่หญิงรองเลย

และเวลาที่พักนอนบนยอดเขายามค่ำคืน เขายังเดินวนเป็นวงกลมอยู่คนเดียว สามารถเดินอยู่อย่างนั้นได้ทั้งคืน เหมือนจะหลับแต่ไม่ได้หลับ ถึงอย่างไรขอแค่นางรู้สึกง่วง หัวถึงพื้นก็หลับได้ทันที แถมยังหลับสนิทเสียด้วย พอเช้าตรู่ลืมตาขึ้นมามองก็มักจะเห็นว่าเขายังคงเดินเล่นเป็นวงกลมอยู่อย่างนั้น

เขาเองก็มีช่วงเวลาที่ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังอยู่เหมือนกัน

มีครั้งหนึ่งเดินผ่านศาลาริมน้ำนอกเมืองแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่นักประพันธ์และวิญญูชนจะมารวมตัวกัน ตอนนั้นฝนตกหนักพอดี ทุกคนที่อยู่ในศาลาจึงมองฝนเหมือนชมน้ำตก แต่ละคนเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นเกิดแรงบันดาลใจ จากนั้นคนผู้นั้นทำเสียงสวบทีเดียวก็หายตัวไปแล้ว ไม่รู้ว่าเขาทำอย่างไร เพียงแต่ว่าเฉพาะบริเวณใกล้เคียงกับศาลากลับไม่มีฝนตกกระหน่ำอีกแล้ว เหล่าบัณฑิตที่อยู่ในศาลาอึ้งงันเป็นไก่ไม้ ทำเอานางที่หลบอยู่ในน้ำกุมท้องหัวเราะก๊าก

ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่ง ยามที่อยู่ริมลำธาร เขาจะตบน้ำเต้าบรรจุเหล้า เอา…กระบี่บินเล็กจิ๋วเล่มหนึ่งออกมาโกนหนวด มีครั้งหนึ่งเขาหันหน้ามามองนางแล้วยิ้มให้ แต่นางกลับยิ้มไม่ออกสักนิด นั่นมันกระบี่บินของเซียนเชียวนะ!

และเขาเองก็มักจะลงไปช่วยชาวนาปลูกต้นกล้าทำนา ในเวลานั้นเขาจะปลดหีบหนังสือและงอบไม้ไผ่ ไปทำงานง่วนอยู่ในผืนนา ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษด้วย

แรกเริ่มพวกชาวบ้านในชนบทยังกลัวว่าบัณฑิตผู้นี้จะเล่นพิเรนทร์ ช่วยทำให้เสียเรื่องซะมากกว่า คิดไม่ถึงว่าพอลงมือขึ้นมาจริงๆ กลับคล่องแคล่วคุ้นเคยไม่ต่างจากพวกเขาเลย รอจนทำงานกันเสร็จแล้ว พวกชาวบ้านก็อยากจะเลี้ยงข้าวพวกเขา แต่เขากลับจากมาด้วยรอยยิ้ม

เพียงแต่ว่าเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิมเหล่านี้ไม่ค่อยจะมีบารมียิ่งใหญ่สักเท่าไร ทำให้นางรู้สึกไม่หนำใจเลยสักนิด อยู่กับเขามานานขนาดนี้ก็ยังไม่อาจสร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่อะไรได้ ยังคงไม่มีใครรู้ว่านางเป็นภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้เลยนะ เห็นใคร เขาก็แค่แนะนำว่านางแซ่โจว จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก

มีเพียงครั้งหนึ่งที่นางรู้สึกเลื่อมใสเขาเล็กน้อย

บนแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง เรือหอเรือนลำหนึ่งขับทวนกระแสน้ำชนเข้ากับเรือแจวลำน้อยที่หลบไม่ทัน

จึงมีคนชุดขาวผู้หนึ่งขี่กระบี่ไปถึง พลิ้วกายลงบนเรือแจว ยื่นมือข้างหนึ่งไปยันเรือหอเรือนเอาไว้ มืออีกข้างถือกาเหล้าแหงนหน้าดื่มเหล้า

ภายหลังพวกเขาสองคนนั่งอยู่บนหอสูงในเมืองหลวงของโลกมนุษย์ที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง ก้มหน้าลงมองทัศนียภาพยามราตรี แสงไฟส่องสว่างเรืองรอง ราวกับทางช้างเผือก

ในที่สุดเขาก็เอ่ยประโยคที่เหมือนถ้อยคำของบัณฑิตบ้างแล้ว บอกว่าเหนือศีรษะคือธารดารา ใต้ฝ่าเท้าก็เป็นธารดารา บนฟ้าล่างฟ้าล้วนมีความงดงามที่ไร้สรรพสำเนียงอยู่เสมอ

นางเห็นเขาดื่มเหล้าจึงเกลี้ยกล่อมให้เขาพูดเยอะๆ หน่อย

เขาก็เลยบอกอีกว่าแสงจันทร์สาดส่องสู่หอสูง รำคาญ มันก็มา คิดถึง มันก็ไป

นางรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย เป็นความรู้สึกเสียใจเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารที่อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้น อันที่จริงไม่ใช่ว่านางคิดถึงบ้านเกิด ตลอดทางที่เดินทางมานี้ นางไม่คิดถึงเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เมื่อนางหันไปมองใบหน้าด้านข้างของคนผู้นั้น ดูเหมือนว่าเขาจะคิดถึงใครบางคน คิดถึงเรื่องบางเรื่องที่ทำให้เสียใจ อาจจะใช่กระมัง ใครเล่าจะรู้ได้ นางเป็นเพียงแค่ภูตน้ำใหญ่ที่แอบมองดูผู้คนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาปีแล้วปีเล่า นางไม่ใช่คนจริงๆ เสียหน่อย

พอคิดอย่างนี้ นางก็รู้สึกเสียใจนิดๆ

คนผู้นั้นหันหน้ากลับมา บนหัวเข่าวางไม้เท้าเดินป่าพาดขวาง เขากอดกาเหล้า แต่กลับยื่นมือมาลูบศีรษะของนางเบาๆ

นาทีนั้น

นางรู้สึกว่าบางทีเขาอาจจะชื่อเฉินคนดีจริงๆ ก็ได้

—–