บทที่ 1107 ร่างจริงมาเยือน!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

แทบจะขณะเดียวกับที่ดาวพระเคราะห์ของหวังเป่าเล่อกลายเป็นมือใหญ่แล้วทำลายร่างแยกของชงอี้จื่อซึ่งเปลี่ยนท่าทีไปหลายรอบแต่ก็ยังไม่ได้ช่วยอะไรนั้น ณ สำนักอันดับหนึ่งของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ภายในประตูภูเขาของเต๋าเก้ารัฐ ร่างจริงของชงอี้จื่อที่ลอยอยู่ในอวกาศราวกับดาวฤกษ์อันกว้างใหญ่ไพศาลพลันลืมตาขึ้นมา!

ขณะที่ลืมตาขึ้นมา แววตาของเขาพลันเผยให้เห็นทะเลเพลิงลุกโหม เพลิงนี้ลุกลามออกมาจนครอบคลุมความว่างเปล่าทั้งสี่ทิศในทันที ทำให้พื้นที่ขนาดใหญ่ถูกเปลวเพลิงห่อหุ้มกะทันหัน

ขณะที่ความว่างเปล่าถูกแผดเผาและอวกาศบิดเบี้ยว แขนซ้ายของชงอี้จื่อที่นั่งอยู่ตรงนั้นแห้งลีบโดยพลัน ทั่วร่างและใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ได้กระอักเลือดออกมา แต่กลิ่นอายบนร่างกลับอ่อนแอลงไปไม่น้อยเลย

ภายในดวงตาของเขาที่เบิกขึ้นมาฉายแววตกตะลึง ยิ่งกว่านั้นคือมีความอึมครึมอยู่บนใบหน้า คิ้วขมวดมุ่นช้าๆ

“ร่างแยกแตกดับแล้วหรือ” สีหน้าของชงอี้จื่อย่ำแย่ แต่เขาไม่รู้รายละเอียด เพราะว่าผนึกได้ขัดขวางเหตุต้นผลกรรมและป้องกันผู้เยี่ยมยุทธ์ของจักรพิภพเอาไว้ เพราะแบบนั้น เขาที่อยู่ข้างในนี้จึงได้รับการจำกัดแบบเดียวกัน

ดังนั้น ความทรงจำที่ร่างแยกส่งคืนมาจึงหยุดไว้เพียงตอนที่มองเห็นเรือรบที่หวังเป่าเล่ออยู่บินออกมาและเงาร่างขององครักษ์เต๋าระดับดารานิรันดร์เจ็ดแปดคนนั้นเท่านั้น ส่วนเรื่องหลังจากนั้นล้วนว่างเปล่า

“หรือว่าภายในเรือรบของหวังเป่าเล่อจะซ่อนผู้แข็งแกร่งเอาไว้ หรือว่าในบรรดาองครักษ์เต๋าเหล่านั้นของเขาจะมีคนที่ไม่ธรรมดาสามัญ…หรือว่าประมุขกฎสวรรค์จะช่วยเหลือ” ชงอี้จื่อคิดไม่ออก แต่กลับรู้สึกว่าแบบสุดท้ายเป็นไปได้น้อยที่สุด ส่วนสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด…ก็คือในบรรดาองครักษ์เต๋ามีคนที่ไม่อ่อนด้อยอยู่คนหนึ่ง

ส่วนเรื่องที่ว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนลงมือการฆ่าร่างแยกของตนด้วยตัวเอง ในหัวของชงอี้จื่อไม่มีความคิดนี้อยู่เลย เรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นย่อมไม่ปรากฏอยู่ในความคิดของเขา

“ปรมาจารย์แห่งไฟรักลูกศิษย์ผู้นี้จริงๆ…” ชงอี้จื่อแค่นเสียงเย็น หลังจากหรี่ตาลงและก้มหน้ามองแขนซ้ายแห้งลีบของตน เจตนาฆ่าในแววตาส่องวาบทันที

“กล้าทำลายร่างแยกของข้า เรื่องจะไม่จบเพียงเท่านี้ ถึงปรมาจารย์แห่งไฟจะแข็งแกร่ง แต่ก็ใช่ว่าข้าไม่มีอาจารย์!” คิดถึงตรงนี้ ชงอี้จื่อก็หรี่ตาลงแล้วค่อยๆ ยืนขึ้น ขณะที่เขายืนขึ้นมา อวกาศรอบด้านก็ส่งเสียงสนั่นหวั่นไหวราวกับมีพลังกดดันมหาศาลสายหนึ่งแผ่ออกมาจากร่างของเขา ทำให้จักรวาลทั่วทุกทิศแบกรับไม่ไหว จนเกิดร่องรอยการแตกร้าว

ถึงขั้นสามารถมองเห็นเส้นสายของกฎเกณฑ์จำนวนมากได้ มันเปลี่ยนจากสภาพไร้รูปเป็นบิดเบี้ยวอยู่รอบกายเขาคล้ายกับจะขับดุนให้เด่นจนทำให้พลานุภาพของชงอี้จื่อน่าตะลึงมาก

แท้จริงแล้วมันก็เป็นเช่นนั้น ชงอี้จื่อเป็นดารานิรันดร์ชั้นปลาย เนื่องจากเป็นดารานิรันดร์ระดับพิภพ ดังนั้นพลังต่อสู้ของร่างแยกจึงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรระดับนิลดำอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว พวกนั้นล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาปิดประตูทะลวงระดับชั้นมหาวัฏจักรมาหลายปี ถึงแม้วันนี้จะยังไม่บรรลุ แต่ก็เหลืออีกเพียงเสี้ยวเดียว

และทันทีที่บรรลุชั้นมหาวัฏจักร สิ่งที่แขวนอยู่ตรงหน้าเขาก็จะเป็นการทดสอบแบบปลากระโดดข้ามประตูมังกร[1] ถ้าหากเขาทำสำเร็จ…ภายในเต๋าเก้ารัฐก็จะมีผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งจักรพิภพเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง!

ขณะเดียวกัน นี่ยิ่งเกี่ยวข้องกับการแข่งขันของมรรควิธีเต๋าในเต๋าเก้ารัฐ นั่นเป็นการแข่งขันระหว่างเขากับเซียนเต๋าลำดับหนึ่งเฟยหลิงจื่อ ใครกลายเป็นจักรพิภพก่อน คนนั้นก็สามารถครอบครองเต๋าเก้ารัฐได้ก่อน

“ดันมาทำลายร่างแยกของข้าในช่วงสำคัญเช่นนี้…” แววตาของชงอี้จื่อส่องประกายเยือกเย็น เขาหงุดหงิดมาก ถ้าหากเขาไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณคน เขาก็คงไม่ลงมือในตอนนี้หรอก แต่ร่างแยกถูกทำลายอยู่ตำตา ถ้าเขาไม่ไปจัดการแล้วแก่นเต๋าไม่สมบูรณ์ ก็จะส่งผลต่อการเลื่อนขั้นบำเพ็ญแล้ว

“ก็ดี เอาดาวเคราะห์เต๋าดวงหนึ่งกลับมา ดูซิว่าจะช่วยอะไรข้าเพิ่มไหม” เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชงอี้จื่อที่หยัดตัวขึ้นจนทำให้อวกาศแปดทิศสั่นสะเทือนร่างก็สั่นไหว พริบตาเดียวก็ออกจากดาราจักรประตูภูเขาของเต๋าเก้ารัฐ แล้วมาปรากฏตัวอีกครั้งที่จักรวาลเวิ้งว้าง ยกมือขวาขึ้นมานับนิ้ว แล้วเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเดินก้าวใหญ่ หนึ่งก้าวผ่านหนึ่งดาราจักร ส่งเสียงกู่ก้องไปยังทิศที่ร่างแยกถูกสังหาร!

ขณะเดียวกันนั้น ภายในบริเวณดวงดาวที่อยู่ห่างจากชงอี้จื่อไปไกลโพ้น บนเรือรบที่หวังเป่าเล่ออยู่ก็มีความเร็วน่าตะลึงเช่นกัน มันเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายชัดเจนยิ่ง นั่นก็คือทางเข้าสุสานดวงดารา

ถึงแม้จากที่นี่ไปถึงทางเข้าสุสานดวงดาราจะมีพื้นที่กว้างใหญ่อย่างยิ่งขวางกั้นอยู่ แต่ก็ยังสั้นกว่าระยะห่างระหว่างชงอี้จื่อมาก ดังนั้นแม้ว่าคนข้างหลังจะรวดเร็วกว่า แต่ด้วยความเร็วของเรือรบ เรือรบกับทางเข้าสุสานดวงดาราก็เข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ

จนถึงครึ่งเดือนหลังจากนั้น ขณะที่เรือรบพุ่งทะยาน หวังเป่าเล่อก็มองเห็นได้รางๆ จากที่ไกลๆ…นั่นคือดาราจักรสีขาวว่างเปล่าผืนหนึ่ง

มองจากไกลๆ ดาราจักรสีขาวผืนนี้สอดคล้องกับรูปลักษณ์ในความทรงจำของหวังเป่าเล่อดี นั่นคือ…ดาราจักรกระดาษ หรืออีกชื่อคือ จักรวาลกระดาษ

เรือรบจอดลงที่ตำแหน่งชายขอบ หวังเป่าเล่อเดินออกจากเรือรบท่ามกลางความสงสัยของเซี่ยไห่หยางและเฉินหาน เขาทอดมองไปยังดาราจักรกระดาษ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อแสดงความเคารพ เขาก็ไม่ได้ขึ้นเรือรบต่อ แต่ปล่อยเรือรบและทุกคนข้างในไว้ด้านนอก ส่วนตัวเขาก้าวตรงไปข้างหน้า เข้าสู่ภายในดาราจักรกระดาษ

แทบจะชั่วพริบตาที่เขาเข้าไป ระลอกคลื่นก็แผ่กระจายจากใต้เท้าของเขา ทำให้จักรวาลกระดาษผืนนี้ราวกับกับมีคลื่นกระเพื่อม ลักษณะคล้ายกับทะเลกระดาษ

สีหน้าของหวังเป่าเล่อเป็นปกติ เขายังคงเดินหน้าต่อไป จนกระทั่งหลายวันต่อมา เขาก็มาถึงใจกลางของดาราจักรกระดาษ หรือก็คือสถานที่ที่เรือสุสานดาราหยุดลงในตอนนั้น เขายืนอยู่ตรงนั้น ทอดมองไปยังความว่างเปล่ารอบกาย หวังเป่าเล่อประสานหมัดแล้วคำนับไปด้านหน้า

“สหายเก่ามาเยี่ยมเยียน ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสดาวสุสานดาราจะอนุญาตหรือไม่”

ถึงแม้ตลอดทางมาจะมีท่าทางสูงส่งเพราะหลังจากระลึกอดีตชาติได้ ในใจจึงมีดวงวิญญาณเทพและสภาพจิตใจที่สามารถก้มมองลงมายังทั่วทั้งพื้นพิภพโลกา แต่หวังเป่าเล่อกระจ่างแจ้งดีว่าควรจะแสดงท่าทางแบบนี้ออกมาตอนไหนถึงจะมีประโยชน์กับตน และตอนไหนถึงจะเป็นผลเสียกับตัวเขา

ณ เวลานี้ เขาจำเป็นต้องวางท่าทางนั้นลงไปก่อน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เกรงว่าจะได้รับการต่อต้าน

หลังจากคำนับ หวังเป่าเล่อไม่ได้รีบร้อน เขารอคอยเงียบๆ ผ่านไปราวๆ สิบกว่าอึดใจ เสียงผันผวนก็ดังก้องออกมาจากจักรวาลกระดาษ

“เชิญ!”

ขณะที่คำพูดดังออกมา ทันใดนั้นทั่วทั้งจักรวาลกระดาษก็ผันผวนรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ขณะที่ความผันผวนแผ่ขยาย จักรวาลกระดาษผืนนี้ก็เริ่มพับลง พับลง และพับทบลงอีกเหมือนกับกระดาษแผ่นหนึ่ง

หลังจากพับทบอย่างไม่รู้จบ ขอบเขตของจักรวาลกระดาษก็เล็กลงเรื่อยๆ แต่ความสูงกลับเพิ่มขึ้นไม่หยุด สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับตรรกะเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น แต่กลับเกิดขึ้นจริง และในสายตาของพวกเซี่ยไห่หยางและเฉินหานที่อยู่ด้านนอกจักรวาลกระดาษ ภาพนี้ทำให้ในใจของพวกเขาสั่นสะเทือนชั่วขณะ อีกทั้งพวกเขาก็เกิดความรู้สึกว่าหวังเป่าเล่อนั้นลึกลับยิ่งกว่าเดิม

เพราะพวกเขารู้ว่า นอกจากจะได้คำเชิญที่ระบุไว้แล้ว สุสานดวงดาราก็เพิกเฉยต่อโลกภายนอก ต่อให้มีผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งจักรพิภพมา หากไม่ให้เข้า ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพก็ทำได้เพียงจากไปอย่างจนใจ

แต่กับหวังเป่าเล่อ…เขามาที่นี่ กลับเข้าไปได้อย่างราบรื่น เรื่องนี้ทำให้เซี่ยไห่หยางยึดมั่นในตัวหวังเป่าเล่อยิ่งกว่าเดิม และทำให้เฉินหานยิ่งภาคภูมิใจเรื่องที่ตนเป็นบุตรของเขาเข้าไปใหญ่

ท่ามกลางความยึดมั่นและความภาคภูมิใจในตัวเอง สายตาของทั้งคู่จึงสบตากันตามจิตใต้สำนึก

“ฮึ!”

“เฮอะๆ!”

แต่ละคนหันหน้าหนีอย่างรวดเร็ว…

และผู้ที่มองเห็นภาพจักรวาลกระดาษที่หวังเป่าเล่ออยู่กำลังพับทบอย่างไร้จุดจบก็ยังมี…ร่างจริงของชงอี้จื่อที่อยู่ในจักรวาลห่างไกล และเดินออกมาจากความว่างเปล่า เขายืนอยู่ตรงนั้น มองเห็นได้ชัดเจนยิ่ง แต่พวกเซี่ยไห่หยางกลับไม่ได้สังเกตเห็น

ทอดมองไปยังจักรวาลกระดาษที่พับทบไม่หยุดจนกระทั่งมีความสูงที่ยิ่งนานยิ่งชวนตะลึง แล้วกลายเป็นรัศมีสีขาวสายหนึ่งก่อนจะสลายหายไปในจักรวาล ดวงตาของชงอี้จื่อก็หรี่ลงอย่างเคร่งเครียด

เพราะเขามองเห็นเรือรบของพวกเซี่ยไห่หยางแล้ว และด้านในนั้น เขาไม่เห็นผู้ฝึกตนที่สามารถเป็นภัยต่อร่างแยกของตนเลยสักคน นี่ทำให้ก้นบึ้งจิตใจของเขาเกิดความคาดเดาไปต่างๆ นานา

“ผู้ที่สังหารร่างแยกของข้าหนีไปแล้วหรือ”

“หรือว่า อีกฝ่ายมาจากสุสานดวงดารา”

“น่าสนใจ…” ขณะพึมพำ ชงอี้จื่อก็กวาดมองเรือรบของพวกเซี่ยไห่หยางและเฉินหาน จากนั้นก็เก็บสายตากลับและไม่ได้ให้ความสนใจอีก ไม่มีความคิดจะเข้าไปจับหรือค้นวิญญาณอะไรทั้งสิ้น เขามั่นใจในตัวเองมากเกินไปจนรังเกียจที่จะรู้คำตอบล่วงหน้า

เขาชอบความรู้สึกที่ไม่รู้เช่นนี้ เพราะมันทำให้ชีวิตที่ไม่น่าสนใจมีสีสันมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหลังจากหัวเราะเบาๆ ชงอี้จื่อก็นั่งขัดสมาธิอยู่ในจักรวาลเสียเลย

เขาเชื่อว่า หวังเป่าเล่อที่เข้าไปในสุสานดวงดารา สุดท้ายแล้วจะต้องปรากฏตัว และคำตอบทุกอย่างจะถูกเปิดเผยในที่สุดหลังจากอีกฝ่ายออกมาและถูกตนสังหาร

“หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”

………………………………………


[1] ปลากระโดดข้ามประตูมังกร หมายถึง ปลาที่กระโดดข้ามประตูจะกลายเป็นมังกร หมายถึงเลื่อนระดับจากระดับเล็กๆ ไประดับใหญ่ๆ