ตอนที่ 840 วิชาท่าร่างขั้นสมบูรณ์

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 840 วิชาท่าร่างขั้นสมบูรณ์
แม้โอสถจะมีขนาดแค่นิ้วหัวแม่มือ แต่ถือไว้ในมือก็มีน้ำหนักพอสมควร นอกจากนั้นโอสถนี้ระหว่างกระบวนการปรุงมีกลิ่นหอมโถมเข้าใส่จมูก แต่หลังสำเร็จเป็นโอสถกลับไม่มีกลิ่นหอมของโอสถเลยสักนิด เกรงว่าคนไม่รู้เห็นเข้าอาจคิดว่าเป็นโอสถปลอมที่นักเล่นแร่แปรธาตุในยุทธภพบางพวกใช้หลอก

หลิ่วหมิงมองนิ่งๆ พักหนึ่ง ในที่สุดบนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มเข้าใจจางๆ ออกมา หน้าตาของโอสถนี้ไม่น่ามองเท่าไรนัก แต่ผู้ที่มีจิตสัมผัสเฉียบคมจะสามารถสัมผัสพลังโอสถที่เต็มเปี่ยมด้วยในได้ นี่คือโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ของแท้แน่นอนเม็ดหนึ่ง!

แม้ระดับความบริสุทธิ์จะไม่สูง พอหวุดหวิดถึงห้าส่วนเท่านั้น เป็นแค่โอสถระดับธรรมดาเม็ดหนึ่ง

หลังเขาครุ่นคิดในใจครู่หนึ่งก็เก็บโอสถเม็ดนี้ขึ้นมา จากนั้นหยิบยันต์เก็บของอีกแผ่นขึ้นมาทำตามขั้นตอนเดิมอีกหน…

ช่วงเวลาต่อจากนั้นเขาจดจ่ออยู่กับการหลอมโอสถ

เวลาผันผ่านเร็วดั่งกระสวย ไหลหายไปดุจสายน้ำ

หลังผ่านไปอีกหนึ่งปี ผ่านการปรุงโอสถทั้งวันทั้งคืนไม่หยุด ในที่สุดอัตราส่วนการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์สำเร็จก็บรรลุหนึ่งส่วน

สิบปีให้หลังอัตราส่วนการปรุงโอสถสำเร็จก็จวนเจียนเพิ่มขึ้นไปถึงสามส่วน

เมื่อถึงปีที่สิบสอง หลังผ่านการปรุงโอสถมานับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เพิ่มอัตราส่วนการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์สำเร็จไปถึงห้าส่วน นอกจากนี้ในปีนี้เขายังบังเอิญปรุงโอสถระดับสูงที่มีลวดลายโอสถสายหนึ่งออกมาได้เม็ดหนึ่งด้วย

ปีที่สิบสาม อัตราส่วนการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ก็สำเร็จบรรลุหกส่วน แต่อัตราส่วนการปรุงได้โอสถระดับสูงยังต่ำมาก ส่วนโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ระดับพสุธายิ่งไม่เคยปรากฏออกมาสักครั้ง

ปีที่สิบห้าหลิ่วหมิงก็เพิ่มอัตราส่วนการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์สำเร็จไปถึงเจ็ดส่วนได้อย่างหวุดหวิด

มาจนถึงตอนนี้ เขาสัมผัสได้เลือนรางว่าทักษะการปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์มาถึงทางตันแล้ว เกรงว่าในเวลาอันสั้นอยากจะเพิ่มให้สูงขึ้นคงเป็นไปไม่ค่อยได้ เสียเวลาปรุงต่อไปก็ลงแรงเท่าทวีได้ผลลัพธ์ครึ่งเดียวอยู่หน่อยๆ

นอกจากนี้การจะปรุงโอสถระดับสูงออกมา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษะการปรุงโอสถเพียงอย่างเดียว วัตถุดิบที่ใช้ปรุงโอสถก็สำคัญมากเช่นกัน

กระดองเต่าลู่อู๋ชิ้นน้อยชิ้นนั้นที่ได้มาจากเฟิงชิงโม่ประมุขน้อยแห่งนิกายหยกทอง น่าจะมาจากเต่าลู่อู๋ที่บรรลุระดับแก่นแท้ขั้นต้นได้อย่างหวุดหวิดสักตัว คุณภาพไม่นับว่าดีมาก ผนวกกับวัตถุดิบเสริมพวกนั้นเขาก็ซื้อหาจากในตลาดอย่างฉุกละหุก อัตราส่วนการปรุงโอสถสำเร็จกับอัตราส่วนการปรุงได้โอสถระดับสูงเท่านี้ เขาก็ค่อนข้างพอใจแล้ว

วันนี้หลังหลิ่วหมิงปรุงโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ออกมาได้อีกเม็ดหนึ่ง เขาก็มองดูโอสถทีสองทีแล้วเก็บไป จากนั้นยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมา

เตาหลอมลิ่วเสินเบื้องหน้าพลันลอยขึ้นมา มันหมุนติ้วกลางอากาศรอบหนึ่งจากนั้นบินเข้าไปในแขนเสื้อ

หลิ่วหมิงถือโอกาสลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายแล้วเหล่มองไปตรงมุมห้อง

เห็นเฟยเอ๋อร์กับเซียเอ๋อร์ต่างยังคงฝึกฝนพลังของตนเองอย่างไม่ออมแรงอยู่ไม่ไกลออกไป

ตอนนี้เฟยเอ๋อร์แปลงกายเป็นเด็กน้อยหน้าตาเหมือนกันทุกประการเก้าคน พร่าเลือนหายวับไปมาอยู่กลางท้องฟ้าไม่หยุด วิชาท่าร่างว่องไวจนทำให้คนตาลาย

ทันใดนั้นร่างกายของเด็กน้อยเก้าคนก็ชะงักเหมือนสังเกตเห็นสายตาของหลิ่วหมิง พวกเขาเรียงแถวเป็นรูปค่ายกลอย่างหนึ่ง อ้าปากใส่กำแพงปราณกว้างสองสามจั้งผืนหนึ่งเบื้องหน้าพร้อมกัน

ลูกบอลเพลิงสีเทาเก้าลูกถูกพ่นออกมา จากนั้นผสานกันกลางอากาศกลายเป็นเสาเพลิงหนาต้นหนึ่งกระแทกบนกำแพงปราณอย่างแรง

เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นทีหนึ่ง!

แสงสีเทาสาดออกไปสี่ทิศ กำแพงปราณที่เดิมทีแข็งแกร่งถูกเปลวเพลิงกัดกร่อนจนผิวหน้าหลอมละลาย

นอกจากนี้เปลวเพลิงบนผิวกำแพงปราณนี้ยังลุกโหมรุนแรง ราวกับว่าชั่วขณะหนึ่งคงไม่อาจดับลงได้

“ไม่เลว”

เมื่อหลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ในดวงตาก็ฉายแววชื่นชมอยู่บ้าง เขาเอ่ยชมขึ้นมาประโยคหนึ่งพร้อมกันนั้นสายตาก็เคลื่อนไปอีกด้าน

เซียเอ๋อร์หญิงสาวชุดตาข่ายดำด้านนั้นคล้ายสัมผัสได้ถึงความชื่นชมที่หลิ่วหมิงมีต่อเฟยเอ๋อร์จึงตะโกนเสียงหวานออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ เร่งเคล็ดวิชาที่ท่องอยู่ให้เร็วขึ้นในทันที

ตาข่ายสีดำรอบร่างพลิ้วไหว จุดแสงสีน้ำตาลทองนับไม่ถ้วนแผ่ออกมาจากในร่าง

จุดแสงสีน้ำตาลทองทยอยรวมตัวกันเหนือศีรษะนาง ผนึกรวมกันกลายเป็นก้อนศิลาเสมือนวัตถุจริงก้อนแล้วก้อนเล่าช้าๆ จากนั้นก้อนศิลาก็รวมตัวอีกหนค่อยๆ กลายเป็นยอดเขาลูกเล็กสูงถึงสิบกว่าจั้งลูกหนึ่ง

เซียเอ๋อร์บิดร่าง มือข้างหนึ่งชี้ไปยังกำแพงปราณเบื้องหน้าเบาๆ

ยอดเขาขนาดเล็กสีน้ำตาลทองเหนือศีรษะฉายแสงวูบหนึ่งก็หายไปไร้ร่องรอย

เสียงดังสั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังขึ้นทีหนึ่ง!

ยอดเขาขนาดเล็กสูงสิบกว่าจั้งประหนึ่งเขาไท่ซานโถมทับศีรษะ ร่วงตรงลงมาจากฟ้ากระแทกบนกำแพงปราณใกล้ๆ อย่างรุนแรง

กำแพงปราณนี้ถูกโจมตีจนส่องแสงวูบวาบ ผิวหน้าปรากฏรอยร้าวเส้นแล้วเส้นเล่าทั้งที่ไม่เคยมี แทบจะแตกกระจุยทันที

“ดี! ดูท่าสิบกว่าปีนี้พวกเจ้าสองตัวไม่ได้เกียจคร้าน ล้วนก้าวหน้าขึ้นแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้าพลางเอ่ยกับทั้งสองตัว

หลังเขาเอ่ยชมเชยให้กำลังใจอีกพักหนึ่งก็ให้ทั้งสองฝึกฝนต่อ ส่วนตนเองสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เดินไปถึงหน้าศิลาหุนเทียนที่อยู่ไม่ไกล

ขณะที่หลิ่วหมิงมองศิลาครึ่งดำครึ่งขาวนี้ เขาก็รู้สึกอยู่เลือนรางว่าของสิ่งนี้คล้ายคลึงอย่างยิ่งกับป้ายศิลาโชคชะตาแผ่นนั้นที่พบในงานประตูสวรรค์ก่อนหน้านี้

เขาส่ายศีรษะเบาๆ ไล่ความคิดเหล่านี้ไปแล้วยกแขนขึ้นวางมือลงบนศิลา กระตุ้นพลังจิตถ่ายเทเข้าไปต่อเนื่องไม่ขาดสาย

ดวงตามายาบนศิลาเบิกออก

จากนั้นเขารู้สึกตาพร่าไปวูบหนึ่ง เมื่อมองเห็นภาพเบื้องหน้าชัดอีกหน เขาก็เข้ามาอยู่ในแดนมายาที่ถูกปกคลุมด้วยท้องนภาสีเหลืองหม่นแล้ว

ทอดสายตามองไป บนพื้นดินคือทะเลทรายเวิ้งว้าง เสาศิลาหนาเท่าคนรูปร่างต่างๆ กันนับไม่ถ้วนปักระเกะระกะอยู่ในทะเลทราย มองไปไร้จุดสิ้นสุด

บนทะเลทรายสายลมกระโชกพัดผ่านป่าศิลาเสียงดังหวีดหวิดเป็นระยะ ส่งเสียงกรีดแหลมแสบแก้วหูประหนึ่งภูตผีคร่ำครวญ

คนที่อยู่ในป่าศิลายืนไม่มั่นคงอยู่บ้าง

ที่นี่คือสภาพแวดล้อมพิเศษที่เขาจำลองขึ้นเพื่อใช้ฝึกฝนวิชาเงาสามส่วน

จะว่าไปวิชาท่าร่างเงามายาท่านี้นับแต่เขาเริ่มฝึกจนถึงวันนี้ก็ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว ยังไม่บรรลุขั้นสมบูรณ์แบบขั้นสุดท้ายเลย

หลายปีนี้เขาก็ทุ่มเทกำลังไปกับวิชาท่าร่างวิชานี้ไม่น้อย แต่สาเหตุที่ไม่บรรลุก็เพราะเมื่อฝึกฝนวิชาเงาสามส่วนจนถึงสองเงา เขาก็พบอุปสรรค

สามเงาในขั้นสมบูรณ์แบบกับสองเงาดูแล้วต่างกันเพียงก้าวเดียว แต่ความต่างนั้นประหนึ่งก้าวข้ามแม่น้ำใหญ่

บนแผ่นหยกที่หลิ่วหมิงได้มาครั้งนั้นเขียนไว้เข้าใจชัดเจน การฝึกฝนวิชาเงาสามส่วนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบจะแยกเงาออกมาได้สามร่าง นอกจากนี้เงาในตอนนี้ยังจะมีคุณลักษณะพิเศษบางประการ นั่นก็คือเริ่มสร้างร่างจริง

คุณลักษณะเช่นนี้คล้ายคลึงกับวิชาร่างแยกของหัวบินอยู่บ้าง แต่กระบวนการสร้างร่างจริงของเงาไม่อาจนานเกินไป ทั้งร่างต้นยังต้องควบคุมอย่างประณีตยอดเยี่ยมถึงจะได้

ยามนั้นที่ยอดคนรุ่นก่อนสร้างวิชานี้ออกมาไม่ได้ต้องการให้เงานี้มีพลังโจมตีสูงนัก แต่ต้องการทำให้มันสมจริงยิ่งขึ้นเพื่อให้มันล่อหลอกได้ผลขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้นการสร้างร่างจริงที่แผ่นหยกกล่าวจึงหมายถึงการทำให้เงามีคลื่นพลังเวทปริมาณหนึ่งเพื่อใช้เท็จลวงจริง

หลิ่วหมิงชื่นชมยอดคนผู้สร้างวิชานี้อย่างยิ่ง หลายปีมานี้วิชาเงาสามส่วนมีส่วนช่วยเขาระหว่างการต่อสู้ไม่น้อย

แต่เมื่อเขาเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับสูงกว่า มักถูกคนมองร่างต้นออกอย่างง่ายดายบ่อยครั้ง จึงเกิดข้อจำกัด

ขั้นสมบูรณ์แบบของวิชาเงาสามส่วนบรรลุยากอย่างที่สุด ต้องใช้เวลาฝึกฝนมหาศาล นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ตลอดมาวิชานี้ถูกทิ้งอยู่บนหิ้ง ไม่มีคนในสำนักถามหา

ครั้งนี้หากตัดเวลาที่หลิ่วหมิงใช้ปรุงโอสถก่อนหน้านี้ไป เขายังอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับแห่งนี้ได้อีกสิบหกสิบเจ็ดปี นับว่ามีเวลาเหลือเฟือ เขาจึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้ฝึกฝนวิชาท่าร่างวิชานี้ไปให้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบอย่างสมบูรณ์

หลิ่วหมิงยืนตระหง่านอยู่กลางป่าศิลา สองตาเริ่มหรี่ลงเล็กน้อย

ทันใดนั้นร่างกายเขาก็ขยับ ทั้งร่างกลายเป็นเงาคนสีดำจางๆ ร่างหนึ่งพุ่งตัดผ่านป่าศิลาอย่างรวดเร็ว

สายลมแรงโถมผ่านสองข้างเงาคนประหนึ่งคลื่นสมุทร ป่าศิลารอบด้านก็กระจายตัวหนาแน่นยิ่งนักทำให้ต้องเปลี่ยนทิศทางเป็นระยะ พลาดเพียงเล็กน้อยก็กระแทกบนเสาหิน

ในสภาพเช่นนี้ความเร็วของหลิ่วหมิงกลับเร็วขึ้นทุกที จนค่อยๆ ลากเป็นเส้นสีดำเส้นหนึ่ง

ทันใดนั้นเงาคนก็พร่าเลือนวูบหนึ่ง ข้างกายฉับพลันมีเงาพร่ามัวสองร่างเพิ่มขึ้นมา

เงาดำสามร่างเร็วอย่างที่สุดแล้วยังต้องเลี้ยวหลีกหลบเสาศิลาไปทางซ้ายขวาเป็นระยะ จุดที่ผ่านจึงทิ้งเงาเลือนรางสีดำคดเคี้ยวยาวเฟื้อยสามสายไว้ เหมือนปลาไหลว่องไวสามตัวมุดลึกเข้าไปในป่าศิลาอันไร้ที่สิ้นสุด

ยิ่งเข้าไปลึก เสียงสายลมแรงคำรามเกรี้ยวกราดก็ยิ่งดัง ทรายสีเหลืองที่ถูกพัดขึ้นจากพื้นกระทบป่าศิลาจนเกิดเสียงซ่าดังสนั่น

หนึ่งชั่วยาม

สองชั่วยาม

ห้าชั่วยามให้หลังบนร่างหลิ่วหมิงก็เหงื่อโชก พลังกายเริ่มเหือดหายแล้ว

พายุทรายในป่าศิลารุนแรงนัก การเคลื่อนไหวโต้ลมด้วยความเร็วสูงเป็นเวลานานย่อมผลาญพลังกายพลังเวทมากอย่างที่สุด นอกจากนี้การควบคุมร่างตนเองกับเงาทั้งสองให้เปลี่ยนทิศทางโดยมีเงื่อนไขคือไม่ลดความเร็วลงก็เป็นภาระหนักหน่วงกับพลังจิตอย่างยิ่งเช่นกัน

แม้จะค่อนข้างเหน็ดเหนื่อย แต่หลิ่วหมิงไม่มีความคิดจะหยุดแม้แต่น้อย กลับกันความเร็วยิ่งเพิ่มขึ้นอีก

เขาต้องปรับตัวกับขีดจำกัดของเงาสองร่าง เช่นนี้ถึงจะมีโอกาสผนึกเงาที่สามออกมาได้

ยามเผชิญขีดจำกัดเท่านั้นที่คนจะระเบิดศักยภาพในตัวออกมาได้ นี่เป็นวิธีที่ใช้บ่อยที่สุดยามทะลวงอุปสรรค

เวลาสามเดือนผ่านไป

วิธีนี้ค่อนข้างได้ผลจริงๆ แม้การผนึกเงาที่สามจะยังห่างไกลจนมองไม่เห็นจุดหมาย แต่ท่าร่างของเขาก็ว่องไวและพิสดารขึ้นแล้ว

สมควรกล่าวว่าเขาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ได้แล้ว ทั้งยังเรียนรู้การปรับเปลี่ยนองศาร่างกายทั้งร่างระหว่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วสำเร็จ จึงลดแรงลมเกรี้ยวกราดที่โถมเข้ามาจนเคลื่อนไหวปะทะลมไปเบื้องหน้าได้โดยแทบจะไม่มีแรงต้านแล้ว

หนึ่งปีให้หลัง

หลิ่วหมิงปรับตัวกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์และค่อยๆ กลมกลืนไปกับมัน พายุทรายส่งผลกับตัวเขารวมถึงเงาทั้งสองน้อยลงทุกที จนถึงขั้นที่เมินเฉยไม่คำนึงถึงก็ได้

เขาควบคุมร่างต้นรวมถึงร่างเงาให้เคลื่อนที่ลดเลี้ยวไปในป่าศิลาได้สบายขึ้นทุกที

แต่สิ่งที่จนปัญญาก็คือเขายังคงทะลวงผ่านอุปสรรคไปไม่ได้

แม้เขาทดลองผนึกเงาที่สามไม่หยุด แต่หลังเงาที่สามเพิ่งปรากฏขึ้นก็แตกสลายหายไปทันทีอยู่หลายครั้งนัก

หลิ่วหมิงไร้หนทางจึงได้แต่เพิ่มความยากของการฝึกฝนขึ้น เขาเพิ่มความหนาแน่นของป่าศิลาอีกเท่าหนึ่ง ในเวลาเดียวกันก็เปลี่ยนสภาพอากาศของที่แห่งนี้จากพายุทรายเป็นพายุหิมะเต็มฟ้า

พายุหิมะเย็นยะเยือกเสียดกระดูกย่อมส่งผลต่อร่างกายมากกว่าพายุทรายนัก และยิ่งฝึกปรือวิชาท่าร่างของเขาได้เช่นกัน