ตอนที่ 2,159 : จ้าวลัทธิบูชาไฟออกจากการปิดด่าน!
เหนือขึ้นไปจากทะเลเมฆหมอก ที่อยู่สูงขึ้นไปจากเกาะหลักของดินแดนศักดิสิทธิ์ลัทธิบูชาไฟอีกที ยังมีเกาะลอยอีก 4 ระดับ ที่ลอยตัวอยู่ในเพดานบินที่แตกต่างกัน…
ณ จุดสูงสุดมีเพียง 1 เกาะลอยเท่านั้น
ถัดลงมามีเกาะลอยทั้งสิ้น 5 เกาะ
ถัดลงมาก็นับเกาะลอยทั้งหมดได้ 10 เกาะ
ถัดลงมาอีกชั้น ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่เหนือขึ้นไปจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ ก็มีหมู่เกาะลอยทั้งสิ้น 50 เกาะ
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
พร้อมกันกับเสียงหวีดหวิวของสายลมที่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ร่างที่เคลื่อนมาด้วยความฉับไวของผู้คนมากมาย ก็มารวมตัวกันในบริเวณใกล้เคียงกับเกาะลอยสูงสุด
เมื่อมาถึงบริเวณใกล้เคียงแล้วพวกมันก็หยุดร่างลง เฝ้ารออย่าสงบ มองไปการเคลื่อนไหวของพวกมันช่างพร้อมเพรียงนัก
หากไม่รู้ คงคิดว่าพวกมันนัดกันมา…
ในบรรดาผู้คนเหล่านี้ มีคนกลุ่มหนึ่งที่นำโดยจ้าวแท่นบูชามังกรคราม หลูเถี่ย พร้อมชุดเสื้อผ้าที่มีรูปแบบเดียวกัน สามารถสังเกตเห็นได้ไม่ยาก
และข้างๆจ้าวแท่นบูชามังกรคราม หลูเถี่ย ก็คือจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬ พยัคฆ์ขาว และจ้าวแท่นบูชานกไฟ เรียกว่าจ้าวแท่นบูชาจตุรลักษณ์มารวมตัวอยู่กันครบ
นอกจากทั้ง 4 แล้วก็ยังมีอาวุโสเพลิงทองอีกไม่น้อย รวมไปถึงกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตัวผู้นำของคนกลุ่มนี้ก็แลดูมีอำนาจไม่น้อย ท่าทางไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวแท่นบูชาจตุรทิศเลย…
เป็นต่งหยวนจิ้น รองจ้าวหอคุมกฏ และอาวุโสคนอื่นๆของหอคุมกฏ!
นอกจากนั้นที่โดดเด่นกว่ากลุ่มคนใดๆเพราะลอยร่างกันอยู่เพียง 2 คน พวกมันทั้งคู่ก็คือรองจ้าวลัทธิบูชาไฟ พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน เรียกว่าในแง่พลังฝีมือแล้วพวกมันเหนือกว่าหลูเถี่ย ต่งหยวนจิ้นและคนอื่นๆเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน ด้านหลูเถี่ยกับต่งหยวนจิ้นที่แลเห็นพวกมันทั้งคู่ ก็เหินร่างเข้ามาคารววะทักทาย
เพราะสุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็เป็นชนชั้นรองจ้าวลัทธิ สถานะอยู่เหนือพวกมันทุกคนในที่นี้ และไม่เพียงแต่สถานะกระทั่งพลังฝีมือก็ด้วย เช่นนั้นจึงไม่มีใครกล้าละเลยท่าทีปฏิบัติ
รองจ้าวลัทธิทั้ง 2 แย้มยิ้มพลางพยักหน้ารับการทักทายของหลูเถี่ยและคนอื่นๆ
“คึกครื้นถึงเพียงนี้เชียว?
ตอนนี้เองพลันมีเสียงชราฟังคล้ายเกียจคร้านปานคนพึ่งตื่นนอนดังขึ้น
หลังจากนั้นภายใต้สายตาทุกคน ชายชราที่ชุดแต่งกายแลดูมอซอทั้งเก่าไม่ต่างขอทาน พลันปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคนอย่างประจวบเหมาะ…
เรียกว่าหากไม่มีคนรู้จักมันมาก่อน ต้องคิดว่ามันเป็นขอทานที่หลงมาแน่นอน เพราะดูจากเสื้อผ้ามันแล้วช่างเก่าและยับยู่ยี่ไม่มีตรงไหนที่ดูดีเลย แถมมองแล้วคล้ายเจ้าตัวเพียงจัดระเบียบชุดมาลวกๆเท่านั้น
อย่างไรก็ตามชายชราที่แต่งตัวมอซอชุดเก่าราวขอทานผู้นี้ เพียงมันปรากฏตัวขึ้นไม่ทันไร ต่งหยวนจิ้นถึงกับเร่งกุลีกุจอเข้ามาคารวะทักทายด้วยความเคารพทันที ไม่เหลือความหยิ่งผยองถือดีแม้แต่น้อย หัวยังก้มโค้งลงไปคล้ายไม่ใช่ตัวมัน
“คารวะใต้เท้าเจ้าหอ!”
รองจ้าวหอคุมกฏทั้งอาวุโสของหอคุมกฏคนอื่นๆก็เร่งคารวะทักทายชายชราด้วยท่าทางมากเคารพไม่ต่างใดจากต่งหยวนจิ้น
และทันทีที่ทั้งหมดกล่าวคำทักทายออกมา เช่นนั้นฐานะความเป็นมาของชายชราในชุดมอซอเก่าๆผ็นี้ก็ถูกเปิดเผยแล้ว…
มันคือจ้าวหอคุมกฏ เหลิ่งอิง!
“คารวะเจ้าหอเหลิ่ง!”
“เจ้าหอเหลิ่ง!”
…
หลังจากต่งหยวนจิ้นนำคนของหอคุมกฏคารวะทักทายชายชราด้วยเคารพแล้ว จ้าวแท่นบูชาจตุรลักษณ์ไม่เว้นอาวุโสเพลิงทองทั้งหลายก็เร่งคารวะทักทายชายชราด้วยเคารพทันที
กระทั่งรองเจ้าลัทธิทั้ง 2 ยังพยักหน้าทักทายชายชราด้วยรอยยิ้ม
จ้าวหอคุมกฏ เหลิ่งอิง คนนี้ แม้พลังฝึกปรือจะอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนเหมือนกันกับพวกมันทั้ง 2…
หากแต่ในแง่พลังฝีมือนั้น น่ากลัวว่าต่อให้พวกมันทั้ง 2 ร่วมมือกันก็ไม่อาจเอาชนะชายชราผู้นี้ได้
เพราะอีกฝ่ายนั้นเรียกว่าเท้าข้างหนึ่งก้าวไปเหยียบขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้ว!
ได้รับการคารวะทักทายจากผู้คนมากมายด้วยความเคารพ จ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิงเดิมทีก็คิดจะทักทายตอบกลับ…แต่ทว่าคล้ายมันจะสังเกตเห็นบางอย่างเข้าเสียก่อน จึงหันศีรษะไปมองยังทิศทางหนึ่งทันที ไม่ทันได้กล่าวทักทายตอบกลับผู้ใด
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ราวกับมีสายลมกรรโชก 3 สายพัดผ่าน ปรากฏ 3 ร่างลุถึงสถานที่ใกล้เคียงทุกคน
หลังจากที่ทั้ง 3 ร่างมาถึง ทุกคนก็สามารถแลเห็นหน้าค่าตาผู้ที่วูบไหวมาด้วยความเร็วสูงปานสายลมได้ชัดถนัดตา
เป็นชายชราในชุดธรรมดาสีเขียว ชายหนุ่มในชุดสีม่วง และสตรีงดงามในชุดสีแดง
ชายชราชุดเขียวนั้นทั้งเส้นผมขนคิ้วต่างขาวโพลนแลไปคล้ายเทพเซียนอมตะอยู่บ้าง
ส่วนชายหนุ่มชุดม่วงนั้นแลดูหล่อเหลา แลดูมากสง่าราศีหากทว่าให้ความรู้สึกอ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
ส่วนสตรีงดงามนั้น ไม่เพียงแต่งดงาม ท่วงท่าทั้งความรู้สึกที่แผ่ออกยังน่าเกรงขามไม่ได้ด้อยไปกว่ารูปโฉมไร้ที่ติแม้แต่น้อย เรียกว่ามากพอจะทำให้บุรุษทั้งหลายต้องเหลียวมองฝันถึง
แต่แน่นอนว่าในที่นี้หามีแม้แต่คนเดียวไม่ ที่กล้าใช้สายตาแทะโลมฉาบฉวยมองสตรีในชุดแดงนางนี้
และเมื่อทุกผู้คนได้เห็นการปรากฏตัวของชายชราชุดเขียว ชายหนุ่มชุดม่วงและสตรีชุดแดง ทั้งหมดก็ไม่หลงเหลือท่าทีสบายๆปล่อยตัวตามอัธยาศัยอย่างก่อนหน้าอีกต่อไป กระทั่งชายชราในชุดมอซอที่แลดูเกียจคร้านปานตาแก่พึ่งตื่น ก็ยังกลายเป็นจริงจังขึงขังขึ้นมาทันตาเห็น สีหน้าท่าทางยังเผยความยำเกรงไม่น้อย
ราวกับทั้ง 3 ที่พึ่งมาใหม่นั้นเป็น สัตว์ร้ายอันน่ากลัว!
และก็เป็นชายชราในชุดมอซอ จ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิงที่ขวัญกล้ากว่าผู้ใด สามารถกลับคืนสู่ความสบายๆได้ก่อนใคร เพื่อน ยิ้มทักทั้ง 3 คนออกมาอย่างมากอัธยาศัย “วันนี้ช่างเป็นวันที่ดียิ่ง…ไม่คิดเลยว่าข้าจักมีบุญได้พบใต้เท้าผู้พิทักษ์ทั้ง 3 พร้อมกัน”
ทันทีที่เหลิ่งอิงกล่าวคำนี้ออกมา ฐานะของทั้ง 3 ผู้มาใหม่ก็ถูกเปิดเผยทันที
เป็น ผู้พิทักษ์ทั้ง 3 คนของลัทธิบูชาไฟ!
ผู้พิทักษ์ทั้ง 3 คนของลัทธิบูชาไฟ หรือที่ถูกเรียกขานกันว่าผู้พิทักษ์แห่งลม ไฟ และเมฆ อันได้แก่ สื่อเฟิง ชิงหั่ว หงอวิ๋น
(ลม ไฟ เมฆ มาจากชื่อของ 3 คน = ลมม่วง ไฟเขียว แล้วก็เมฆแดง)
ลำดับดังกล่าวยังจัดตามพลังฝีมืออีกด้วย
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ ผู้พิทักษ์ลมม่วง สื่อเฟิง เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีม่วง พลังฝึกปรือของมันบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนแล้ว เป็นดั่งเสาหลักของลัทธิบูชาไฟ
ส่วนอันดับที่ 2 ก็คือผู้พิทักษ์ชิงหั่ว คนผู้นี้ก็คืออาจารย์ของก่านหรูเยี่ยน พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน กวาดตามองไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันก็นับเป็นตัวตนที่อยู่อันดับต้นๆ พลังฝีมือยังรั้งอยู่ใน 20 อันดับแรกของรายนามยอดเซียน
สุดท้ายก็คือผู้พิทักษ์หงอวิ๋น ถึงแม้นางจะเป็นอิสตรีนางหนึ่ง หากทว่าพลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์อมตะ 7 เปลี่ยนเช่นเดียวกัน นับเป็นตัวตนระดับแนวหน้าของแดนดินคนหนึ่ง ติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของรายนามยอดเซียนเช่นกัน
“คารวะใต้เท้าผู้พิทักษ์สื่อเฟิง ใต้เท้าผู้พิทักษ์ชิงหั่ว ใต้เท้าผู้พิทักษ์หงอวิ๋น”
ขณะเดียวกันรองจ้าวลัทธิทั้ง 2 ก็เป็นผู้นำกล่าวทักทายผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ออกมา ทำให้คนอื่นๆเริ่มโค้งคารวะทักทายผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ตามๆกัน
ทั้ง 3 เพียงพยักหน้ารับการทักทายเบาๆ จากนั้นค่อยเบนสายตาไปตกยังเกาะลอยที่ลอยล่องอยู่ไม่ไกล
เกาะลอยฟ้าเกาะนี้ยังเป็นเกาะที่ลอยอยู่ในระดับสูงสุด เสมือนจักรพรรดิที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงทอดตามองพสกนิกรทั่วหล้า…
ณ ตอนนี้
ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเกาะลอยสูงสุดต่อหน้าผู้คนนั่น พลันปรากฏกลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงปะทุระเบิดออกมาไม่หยุด ระลอกแล้วระลอกเล่า เป็นไอพลังมหาศาลที่มีพลังอำนาจครอบงำเป็นที่สุด
เมื่อมาอยู่ต่อหน้ากลิ่นอายพลังดังกล่าว กระทั่งผู้อาวุโสเพลิงทองที่พลังฝีมืออ่อนแอบางคนยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดัน
“กลิ่นอายพลังนี่มัน…เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! นี่เป็นกกลิ่นอายพลังของพลังอำนาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนมิผิดแน่!!”
ทันใดนั้น 1 ใน 3 ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ ชิงหั่ว กล่าวคำออกมาด้ววยสองตาสว่างจ้า ในน้ำเสียงมากล้นไปด้วยความตื่นเต้นระคนยินดี อย่างยากจะปกปิด
“พลังขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! ท่านจ้าวลัทธิทะลวงด่านพลังไปถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนสำเร็จแล้ว!?”
ได้ยินคำของชิงหั่ว ยกเว้นผู้พิทักษ์อีก 2 คนกับจ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิง อาวุโสทั้งหลายล้วนตื่นตระหนกกตกใจกันถ้วนหน้า
พวกมันคิดไม่ฝันจริงๆ
ว่าการที่จ้าวลัทธิของพวกมันปิดด่านบ่มเพาะครานี้ พลังฝึกปรือจะสามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้สำเร็จ สักวันย่อมสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์เพื่อพิสูจน์ตัวได้!
เปลี่ยนที่ 9 นั้น เป็นขอบเขตพลังสูงสุดของขอบเขตเซียนสวรรค์ เท่าที่มนุษย์และสัตว์เซียนในดินแดนเทพยุทธ์จะสามารถบรรลุถึงได้!
ด่านพลังฝึกปรือนี้เรียกอีกอย่างว่า เปลี่ยนสู่สวรรค์ หรือเปลี่ยนสู่เซียนอมตะ!
เพราะผู้ใดก็ตามที่บรรลุถึงขอบเขตพลังฝึกปรือนี้ จะสามารถถึงดูดหายนะทัณฑ์สวรรค์ให้มาทดสอบเพื่อพิสูจน์ตัวเองได้!
หากสามารถก้าวข้ามหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ก็จะเข้าสู่กระบวนหลอมร่างแปลงพลังเพื่อขึ้นสู่แดนสวรรค์ และหลังจากใช้เวลาเตรียมการอีกไม่นาน ก็จะสามารถขึ้นสู่ระนาบเทวโลก กลายเป็นเซียนอมตะที่แท้จริง มีพลังอำนาจพลิกฟ้าคว่ำดินสุดที่มนุษย์จะเทียบเทียมได้!
“เช่นนี้หมายความว่า…ลัทธิบูชาไฟของพวกเรากำลังจักมีตัวตนดั่งผู้ยิ่งใหญ่เหนือใต้หล้า เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้วจริงๆหรือ!?”
เมื่อทุกคนดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอย รองจ้าวลัทธิทั้งสองก็เป็นผู้ที่โพล่งอุทานออกมาก่อนใครด้วยความตื่นเต้นยินดีสุดระงับ!
ต้องทราบด้วยว่า…
ก่อนหน้านี้ในบรรดามหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบนอย่าง 3 ลัทธินั้น มีเพียงลัทธิบูชาไฟเพียงแห่งเดียวที่ไร้ซึ่งตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! เรื่องนี้เป็นดั่งมีดที่ปักคากลางใจคนของลัทธิบูชาไฟมาตลอด!
พอทราบว่าจ้าวลัทธิของพวกมันบรรลุถึงขอบเขตเซวียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว มีดที่ปักค้างกลางใจเสมือนถูกถอนออก พวกมันบังเกิดความรู้สึกโล่งอก ทั้งปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
สำหรับพวกมันแล้ว…
ข่าวนี้ มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าโอสถรักษาใดๆในใต้หล้า!
กลิ่นอายพลังที่ทรงอำนาจทั้งครอบงำยังคงแผ่กำจายออกมาจากคฤหาสน์บนเกาะลอยเหนือฟ้าไม่หยุดหย่อน รัศมีพลังสาดซัดออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับเจ้าของขุมพลังนี้ใกล้จะเสร็จสิ้นกระบวนการปรับพลังให้เสถียรเต็มที
ขณะเดียวกันใต้ฝ่าเท้าเบื้องล่างของระดับสูงๆที่ลอยอยู่ บริเวณทะเลเมฆหมอก เหล่าศิษย์ที่แท้จริงทั้งสิทธิ์ชั้นยอดไม่เว้นอาวุโสเพลิงเงินและเพลิงทองแดงทั้งหลายก็ดั่งโจ๊กในหม้อที่เดือดปุดๆ ทุกคนผุดร่างขึ้นมาลอยค้างกลางหาวจ้าละหวั่น ทีท่ายังตื่นตระหนกราวกับจุดจบของโลกกำลังจะมาถึง
สำหรับเหล่าศิษย์ของแท่นบูชาจตุรลักษณ์นั้นแม้พวกมันจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังนี้เช่นกัน ทว่าด้วยระยะทางที่ไกลห่าง พวกมันจึงไม่ค่อยรู้สึกกดดันบีบคั้นสักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามกระนั้นแล้วพวกมันก็ยังอยากรู้อยากเห็นอยู่ดี
“นี่มันกลิ่นอายพลังอันใดกัน ช่างทรงอำนาจครอบงำเหลือเกิน…ราวกับมันจะสะกดข่มพลังในร่างข้า!”
“ข้าก็ไม่รู้”
“ดูเหมือนกลิ่นอายพลังมหาศาลนี่ จะแผ่ออกมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์!”
…
วาจาทำนองเดียวกันนี้ดังระงมไปทั่วแท่นบูชาจตุรลักษณ์
และในขณะที่ศิษย์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์กำลังตื่นตระหนกเสียขวัญ และศิษย์แท่นบูชาจตุรลักษณ์กำลังแตกตื่นนั้นเอง
เสียงหนึ่งอันคล้ายจะมีพลังอำนาจสุดไพศาลพลันดังขึ้นเข้าหูทุกผู้คนทั้งลัทธิบูชาไฟ
“ข้าจักประกาศถึงข่าวดีให้ทุกคนรับทราบ…บัดนี้ท่านจ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกเรา ประสบความสำเร็จในการทะลวงด่านพลังเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน เปลี่ยนสู่เซียนอมตะเรียบร้อยแล้ว!!”
เสียงนี้ดังขึ้นในหูคนของลัทธิบูชาไฟทุกคนอย่างชัดถ้อยชัดคำ
และเนื้อหาในวาจาก็ประหนึ่งอัสนีบาตยามแล้งที่ฟาดผ่าลงมาดังเปรี๊ยง! ทำให้เหล่าศิษย์อาวุโสทั้งหลายรู้สึกเสมือนหนังศีรษะชาด้าน ยืนอึนกันไปอีกพักหนึ่ง
ต่อมาก็เป็นชนชั้นอาวุโสทั้งหลายของลัทธิบูชาไฟที่ดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้ก่อนเหล่าศิษย์ ทั้งหมดโพล่งคำออกมาด้วยความตื่นเต้นยินดี “ทะ…ท่านจ้าวลัทธิ ทะ…ทะลวงด่านสำเร็จแล้ว?! ท่านจ้าวลัทธิทะลวงสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนสำเร็จแล้ว!?”
“ท่านจ้าวลัทธิทะลวงด่านแล้ว!?”
และเหล่าศิษย์ที่ได้สติภายหลัง ก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาตามๆกัน ทั้งหมดทั้งแตกตื่นทั้งยินดีออกอาการลิงโลดกันไม่น้อย
จ้าวลัทธิทะลวงด่านและมีพลังเข้มแข็งขึ้น ย่อมหมายความว่าลัทธิบูชาไฟของพวกมันทรงพลังยิ่งขึ้น!
สำหรับศิษย์สาวกของลัทธิบูชาไฟ เรื่องนี้มีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย!
หลังจากผ่านไปอีกราวๆชั่วกาน้ำเดือด ในที่สุดกลิ่นอายพลังอันครอบงำยากหาใดเทียบก็สลายหายไป ทำให้เหล่าศิษย์ชั้นยอดของลัทธิบูชาไฟอดไม่ได้ที่จะโล่งอก
ถึงแม้จะรับทราบกันว่ากลิ่นอายพลังอันน่าสะพรึงกลัววขู่ขวัญนั่นมาจากตัวจ้าวลัทธิ แต่พวกมันก็หวั่นใจทั้งรู้สึกกดดันบีบคั้นไม่น้อย
เรียกว่าเผชิญหน้ากับกลิ่นอายอันทรงพลังอำนาจสะกดข่มดังกล่าว พวกมันสะท้านสั่นกลัวไปถึงจิตวิญญาณ!
ซู่มมม!!!
ทันใดนั้นเอง เหนือม่านหมอกเบาบางที่ปกคลุมเกาะที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้าสูงสุด ก็ปรากฏร่างหนึ่งพุ่งทะลวงเมฆหมอกขึ้นมาปรากฏกายกลางหาว
“ท่านจ้าวลัทธิ!”
ร่างนี้พึ่งปรากฏได้ไม่ทันไร เหล่าผู้ที่ลอยร่างรอคอยอยู่ไม่ไกล ก็คารวะทักทายออกมาอย่างพร้อมเพรียง
……