ตอนที่ 2159

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,159 : จ้าวลัทธิบูชาไฟออกจากการปิดด่าน!

 

 

เหนือขึ้นไปจากทะเลเมฆหมอก ที่อยู่สูงขึ้นไปจากเกาะหลักของดินแดนศักดิสิทธิ์ลัทธิบูชาไฟอีกที ยังมีเกาะลอยอีก 4 ระดับ ที่ลอยตัวอยู่ในเพดานบินที่แตกต่างกัน…

 

ณ จุดสูงสุดมีเพียง 1 เกาะลอยเท่านั้น

 

ถัดลงมามีเกาะลอยทั้งสิ้น 5 เกาะ

 

ถัดลงมาก็นับเกาะลอยทั้งหมดได้ 10 เกาะ

 

ถัดลงมาอีกชั้น ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่เหนือขึ้นไปจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ ก็มีหมู่เกาะลอยทั้งสิ้น 50 เกาะ

 

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

 

 

พร้อมกันกับเสียงหวีดหวิวของสายลมที่ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ร่างที่เคลื่อนมาด้วยความฉับไวของผู้คนมากมาย ก็มารวมตัวกันในบริเวณใกล้เคียงกับเกาะลอยสูงสุด

 

เมื่อมาถึงบริเวณใกล้เคียงแล้วพวกมันก็หยุดร่างลง เฝ้ารออย่าสงบ มองไปการเคลื่อนไหวของพวกมันช่างพร้อมเพรียงนัก

 

หากไม่รู้ คงคิดว่าพวกมันนัดกันมา…

 

ในบรรดาผู้คนเหล่านี้ มีคนกลุ่มหนึ่งที่นำโดยจ้าวแท่นบูชามังกรคราม หลูเถี่ย พร้อมชุดเสื้อผ้าที่มีรูปแบบเดียวกัน สามารถสังเกตเห็นได้ไม่ยาก

 

และข้างๆจ้าวแท่นบูชามังกรคราม หลูเถี่ย ก็คือจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬ พยัคฆ์ขาว และจ้าวแท่นบูชานกไฟ เรียกว่าจ้าวแท่นบูชาจตุรลักษณ์มารวมตัวอยู่กันครบ

 

นอกจากทั้ง 4 แล้วก็ยังมีอาวุโสเพลิงทองอีกไม่น้อย รวมไปถึงกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตัวผู้นำของคนกลุ่มนี้ก็แลดูมีอำนาจไม่น้อย ท่าทางไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวแท่นบูชาจตุรทิศเลย…

 

เป็นต่งหยวนจิ้น รองจ้าวหอคุมกฏ และอาวุโสคนอื่นๆของหอคุมกฏ!

 

นอกจากนั้นที่โดดเด่นกว่ากลุ่มคนใดๆเพราะลอยร่างกันอยู่เพียง 2 คน พวกมันทั้งคู่ก็คือรองจ้าวลัทธิบูชาไฟ พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน เรียกว่าในแง่พลังฝีมือแล้วพวกมันเหนือกว่าหลูเถี่ย ต่งหยวนจิ้นและคนอื่นๆเล็กน้อย

 

ขณะเดียวกัน ด้านหลูเถี่ยกับต่งหยวนจิ้นที่แลเห็นพวกมันทั้งคู่ ก็เหินร่างเข้ามาคารววะทักทาย

 

เพราะสุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็เป็นชนชั้นรองจ้าวลัทธิ สถานะอยู่เหนือพวกมันทุกคนในที่นี้ และไม่เพียงแต่สถานะกระทั่งพลังฝีมือก็ด้วย เช่นนั้นจึงไม่มีใครกล้าละเลยท่าทีปฏิบัติ

 

รองจ้าวลัทธิทั้ง 2 แย้มยิ้มพลางพยักหน้ารับการทักทายของหลูเถี่ยและคนอื่นๆ

 

“คึกครื้นถึงเพียงนี้เชียว?

 

ตอนนี้เองพลันมีเสียงชราฟังคล้ายเกียจคร้านปานคนพึ่งตื่นนอนดังขึ้น

 

หลังจากนั้นภายใต้สายตาทุกคน ชายชราที่ชุดแต่งกายแลดูมอซอทั้งเก่าไม่ต่างขอทาน พลันปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายตาของทุกคนอย่างประจวบเหมาะ…

 

เรียกว่าหากไม่มีคนรู้จักมันมาก่อน ต้องคิดว่ามันเป็นขอทานที่หลงมาแน่นอน เพราะดูจากเสื้อผ้ามันแล้วช่างเก่าและยับยู่ยี่ไม่มีตรงไหนที่ดูดีเลย แถมมองแล้วคล้ายเจ้าตัวเพียงจัดระเบียบชุดมาลวกๆเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามชายชราที่แต่งตัวมอซอชุดเก่าราวขอทานผู้นี้ เพียงมันปรากฏตัวขึ้นไม่ทันไร ต่งหยวนจิ้นถึงกับเร่งกุลีกุจอเข้ามาคารวะทักทายด้วยความเคารพทันที ไม่เหลือความหยิ่งผยองถือดีแม้แต่น้อย หัวยังก้มโค้งลงไปคล้ายไม่ใช่ตัวมัน

 

“คารวะใต้เท้าเจ้าหอ!”

 

รองจ้าวหอคุมกฏทั้งอาวุโสของหอคุมกฏคนอื่นๆก็เร่งคารวะทักทายชายชราด้วยท่าทางมากเคารพไม่ต่างใดจากต่งหยวนจิ้น

 

และทันทีที่ทั้งหมดกล่าวคำทักทายออกมา เช่นนั้นฐานะความเป็นมาของชายชราในชุดมอซอเก่าๆผ็นี้ก็ถูกเปิดเผยแล้ว…

 

มันคือจ้าวหอคุมกฏ เหลิ่งอิง!

 

“คารวะเจ้าหอเหลิ่ง!”

 

“เจ้าหอเหลิ่ง!”

 

 

หลังจากต่งหยวนจิ้นนำคนของหอคุมกฏคารวะทักทายชายชราด้วยเคารพแล้ว จ้าวแท่นบูชาจตุรลักษณ์ไม่เว้นอาวุโสเพลิงทองทั้งหลายก็เร่งคารวะทักทายชายชราด้วยเคารพทันที

 

กระทั่งรองเจ้าลัทธิทั้ง 2 ยังพยักหน้าทักทายชายชราด้วยรอยยิ้ม

 

จ้าวหอคุมกฏ เหลิ่งอิง คนนี้ แม้พลังฝึกปรือจะอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนเหมือนกันกับพวกมันทั้ง 2…

 

หากแต่ในแง่พลังฝีมือนั้น น่ากลัวว่าต่อให้พวกมันทั้ง 2 ร่วมมือกันก็ไม่อาจเอาชนะชายชราผู้นี้ได้

 

เพราะอีกฝ่ายนั้นเรียกว่าเท้าข้างหนึ่งก้าวไปเหยียบขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนแล้ว!

 

ได้รับการคารวะทักทายจากผู้คนมากมายด้วยความเคารพ จ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิงเดิมทีก็คิดจะทักทายตอบกลับ…แต่ทว่าคล้ายมันจะสังเกตเห็นบางอย่างเข้าเสียก่อน จึงหันศีรษะไปมองยังทิศทางหนึ่งทันที ไม่ทันได้กล่าวทักทายตอบกลับผู้ใด

 

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

 

ราวกับมีสายลมกรรโชก 3 สายพัดผ่าน ปรากฏ 3 ร่างลุถึงสถานที่ใกล้เคียงทุกคน

 

หลังจากที่ทั้ง 3 ร่างมาถึง ทุกคนก็สามารถแลเห็นหน้าค่าตาผู้ที่วูบไหวมาด้วยความเร็วสูงปานสายลมได้ชัดถนัดตา

 

เป็นชายชราในชุดธรรมดาสีเขียว ชายหนุ่มในชุดสีม่วง และสตรีงดงามในชุดสีแดง

 

ชายชราชุดเขียวนั้นทั้งเส้นผมขนคิ้วต่างขาวโพลนแลไปคล้ายเทพเซียนอมตะอยู่บ้าง

 

ส่วนชายหนุ่มชุดม่วงนั้นแลดูหล่อเหลา แลดูมากสง่าราศีหากทว่าให้ความรู้สึกอ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ

 

ส่วนสตรีงดงามนั้น ไม่เพียงแต่งดงาม ท่วงท่าทั้งความรู้สึกที่แผ่ออกยังน่าเกรงขามไม่ได้ด้อยไปกว่ารูปโฉมไร้ที่ติแม้แต่น้อย เรียกว่ามากพอจะทำให้บุรุษทั้งหลายต้องเหลียวมองฝันถึง

 

แต่แน่นอนว่าในที่นี้หามีแม้แต่คนเดียวไม่ ที่กล้าใช้สายตาแทะโลมฉาบฉวยมองสตรีในชุดแดงนางนี้

 

และเมื่อทุกผู้คนได้เห็นการปรากฏตัวของชายชราชุดเขียว ชายหนุ่มชุดม่วงและสตรีชุดแดง ทั้งหมดก็ไม่หลงเหลือท่าทีสบายๆปล่อยตัวตามอัธยาศัยอย่างก่อนหน้าอีกต่อไป กระทั่งชายชราในชุดมอซอที่แลดูเกียจคร้านปานตาแก่พึ่งตื่น ก็ยังกลายเป็นจริงจังขึงขังขึ้นมาทันตาเห็น สีหน้าท่าทางยังเผยความยำเกรงไม่น้อย

 

ราวกับทั้ง 3 ที่พึ่งมาใหม่นั้นเป็น สัตว์ร้ายอันน่ากลัว!

 

และก็เป็นชายชราในชุดมอซอ จ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิงที่ขวัญกล้ากว่าผู้ใด สามารถกลับคืนสู่ความสบายๆได้ก่อนใคร เพื่อน ยิ้มทักทั้ง 3 คนออกมาอย่างมากอัธยาศัย “วันนี้ช่างเป็นวันที่ดียิ่ง…ไม่คิดเลยว่าข้าจักมีบุญได้พบใต้เท้าผู้พิทักษ์ทั้ง 3 พร้อมกัน”

 

ทันทีที่เหลิ่งอิงกล่าวคำนี้ออกมา ฐานะของทั้ง 3 ผู้มาใหม่ก็ถูกเปิดเผยทันที

 

เป็น ผู้พิทักษ์ทั้ง 3 คนของลัทธิบูชาไฟ!

 

ผู้พิทักษ์ทั้ง 3 คนของลัทธิบูชาไฟ หรือที่ถูกเรียกขานกันว่าผู้พิทักษ์แห่งลม ไฟ และเมฆ อันได้แก่ สื่อเฟิง ชิงหั่ว หงอวิ๋น

(ลม ไฟ เมฆ มาจากชื่อของ 3 คน = ลมม่วง ไฟเขียว แล้วก็เมฆแดง)

 

ลำดับดังกล่าวยังจัดตามพลังฝีมืออีกด้วย

 

ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ ผู้พิทักษ์ลมม่วง สื่อเฟิง เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีม่วง พลังฝึกปรือของมันบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนแล้ว เป็นดั่งเสาหลักของลัทธิบูชาไฟ

 

ส่วนอันดับที่ 2 ก็คือผู้พิทักษ์ชิงหั่ว  คนผู้นี้ก็คืออาจารย์ของก่านหรูเยี่ยน พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน กวาดตามองไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า มันก็นับเป็นตัวตนที่อยู่อันดับต้นๆ พลังฝีมือยังรั้งอยู่ใน 20 อันดับแรกของรายนามยอดเซียน

 

สุดท้ายก็คือผู้พิทักษ์หงอวิ๋น ถึงแม้นางจะเป็นอิสตรีนางหนึ่ง หากทว่าพลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์อมตะ 7 เปลี่ยนเช่นเดียวกัน นับเป็นตัวตนระดับแนวหน้าของแดนดินคนหนึ่ง ติดอยู่ใน 20 อันดับแรกของรายนามยอดเซียนเช่นกัน

 

“คารวะใต้เท้าผู้พิทักษ์สื่อเฟิง ใต้เท้าผู้พิทักษ์ชิงหั่ว ใต้เท้าผู้พิทักษ์หงอวิ๋น”

 

ขณะเดียวกันรองจ้าวลัทธิทั้ง 2 ก็เป็นผู้นำกล่าวทักทายผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ออกมา ทำให้คนอื่นๆเริ่มโค้งคารวะทักทายผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ตามๆกัน

 

ทั้ง 3 เพียงพยักหน้ารับการทักทายเบาๆ จากนั้นค่อยเบนสายตาไปตกยังเกาะลอยที่ลอยล่องอยู่ไม่ไกล

 

เกาะลอยฟ้าเกาะนี้ยังเป็นเกาะที่ลอยอยู่ในระดับสูงสุด เสมือนจักรพรรดิที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงทอดตามองพสกนิกรทั่วหล้า…

 

ณ ตอนนี้

 

ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเกาะลอยสูงสุดต่อหน้าผู้คนนั่น พลันปรากฏกลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงปะทุระเบิดออกมาไม่หยุด ระลอกแล้วระลอกเล่า เป็นไอพลังมหาศาลที่มีพลังอำนาจครอบงำเป็นที่สุด

 

เมื่อมาอยู่ต่อหน้ากลิ่นอายพลังดังกล่าว กระทั่งผู้อาวุโสเพลิงทองที่พลังฝีมืออ่อนแอบางคนยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกดดัน

 

“กลิ่นอายพลังนี่มัน…เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! นี่เป็นกกลิ่นอายพลังของพลังอำนาจขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนมิผิดแน่!!”

 

ทันใดนั้น 1 ใน 3 ผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ ชิงหั่ว กล่าวคำออกมาด้ววยสองตาสว่างจ้า ในน้ำเสียงมากล้นไปด้วยความตื่นเต้นระคนยินดี อย่างยากจะปกปิด

 

“พลังขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! ท่านจ้าวลัทธิทะลวงด่านพลังไปถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนสำเร็จแล้ว!?”

 

ได้ยินคำของชิงหั่ว ยกเว้นผู้พิทักษ์อีก 2 คนกับจ้าวหอคุมกฏเหลิ่งอิง อาวุโสทั้งหลายล้วนตื่นตระหนกกตกใจกันถ้วนหน้า

 

พวกมันคิดไม่ฝันจริงๆ

 

ว่าการที่จ้าวลัทธิของพวกมันปิดด่านบ่มเพาะครานี้ พลังฝึกปรือจะสามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้สำเร็จ สักวันย่อมสามารถชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์เพื่อพิสูจน์ตัวได้!

 

เปลี่ยนที่ 9 นั้น เป็นขอบเขตพลังสูงสุดของขอบเขตเซียนสวรรค์ เท่าที่มนุษย์และสัตว์เซียนในดินแดนเทพยุทธ์จะสามารถบรรลุถึงได้!

 

ด่านพลังฝึกปรือนี้เรียกอีกอย่างว่า เปลี่ยนสู่สวรรค์ หรือเปลี่ยนสู่เซียนอมตะ!

 

เพราะผู้ใดก็ตามที่บรรลุถึงขอบเขตพลังฝึกปรือนี้ จะสามารถถึงดูดหายนะทัณฑ์สวรรค์ให้มาทดสอบเพื่อพิสูจน์ตัวเองได้!

 

หากสามารถก้าวข้ามหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ก็จะเข้าสู่กระบวนหลอมร่างแปลงพลังเพื่อขึ้นสู่แดนสวรรค์ และหลังจากใช้เวลาเตรียมการอีกไม่นาน ก็จะสามารถขึ้นสู่ระนาบเทวโลก กลายเป็นเซียนอมตะที่แท้จริง มีพลังอำนาจพลิกฟ้าคว่ำดินสุดที่มนุษย์จะเทียบเทียมได้!

 

“เช่นนี้หมายความว่า…ลัทธิบูชาไฟของพวกเรากำลังจักมีตัวตนดั่งผู้ยิ่งใหญ่เหนือใต้หล้า เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้วจริงๆหรือ!?”

 

เมื่อทุกคนดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอย รองจ้าวลัทธิทั้งสองก็เป็นผู้ที่โพล่งอุทานออกมาก่อนใครด้วยความตื่นเต้นยินดีสุดระงับ!

 

ต้องทราบด้วยว่า…

 

ก่อนหน้านี้ในบรรดามหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบนอย่าง 3 ลัทธินั้น มีเพียงลัทธิบูชาไฟเพียงแห่งเดียวที่ไร้ซึ่งตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! เรื่องนี้เป็นดั่งมีดที่ปักคากลางใจคนของลัทธิบูชาไฟมาตลอด!

 

พอทราบว่าจ้าวลัทธิของพวกมันบรรลุถึงขอบเขตเซวียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว มีดที่ปักค้างกลางใจเสมือนถูกถอนออก พวกมันบังเกิดความรู้สึกโล่งอก ทั้งปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!

 

สำหรับพวกมันแล้ว…

 

ข่าวนี้ มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าโอสถรักษาใดๆในใต้หล้า!

 

กลิ่นอายพลังที่ทรงอำนาจทั้งครอบงำยังคงแผ่กำจายออกมาจากคฤหาสน์บนเกาะลอยเหนือฟ้าไม่หยุดหย่อน รัศมีพลังสาดซัดออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับเจ้าของขุมพลังนี้ใกล้จะเสร็จสิ้นกระบวนการปรับพลังให้เสถียรเต็มที

 

ขณะเดียวกันใต้ฝ่าเท้าเบื้องล่างของระดับสูงๆที่ลอยอยู่ บริเวณทะเลเมฆหมอก เหล่าศิษย์ที่แท้จริงทั้งสิทธิ์ชั้นยอดไม่เว้นอาวุโสเพลิงเงินและเพลิงทองแดงทั้งหลายก็ดั่งโจ๊กในหม้อที่เดือดปุดๆ ทุกคนผุดร่างขึ้นมาลอยค้างกลางหาวจ้าละหวั่น ทีท่ายังตื่นตระหนกราวกับจุดจบของโลกกำลังจะมาถึง

 

สำหรับเหล่าศิษย์ของแท่นบูชาจตุรลักษณ์นั้นแม้พวกมันจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังนี้เช่นกัน ทว่าด้วยระยะทางที่ไกลห่าง พวกมันจึงไม่ค่อยรู้สึกกดดันบีบคั้นสักเท่าไหร่

 

อย่างไรก็ตามกระนั้นแล้วพวกมันก็ยังอยากรู้อยากเห็นอยู่ดี

 

“นี่มันกลิ่นอายพลังอันใดกัน ช่างทรงอำนาจครอบงำเหลือเกิน…ราวกับมันจะสะกดข่มพลังในร่างข้า!”

 

“ข้าก็ไม่รู้”

 

“ดูเหมือนกลิ่นอายพลังมหาศาลนี่ จะแผ่ออกมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์!”

 

 

วาจาทำนองเดียวกันนี้ดังระงมไปทั่วแท่นบูชาจตุรลักษณ์

 

และในขณะที่ศิษย์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์กำลังตื่นตระหนกเสียขวัญ และศิษย์แท่นบูชาจตุรลักษณ์กำลังแตกตื่นนั้นเอง

 

เสียงหนึ่งอันคล้ายจะมีพลังอำนาจสุดไพศาลพลันดังขึ้นเข้าหูทุกผู้คนทั้งลัทธิบูชาไฟ

 

“ข้าจักประกาศถึงข่าวดีให้ทุกคนรับทราบ…บัดนี้ท่านจ้าวลัทธิบูชาไฟของพวกเรา ประสบความสำเร็จในการทะลวงด่านพลังเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน เปลี่ยนสู่เซียนอมตะเรียบร้อยแล้ว!!”

 

เสียงนี้ดังขึ้นในหูคนของลัทธิบูชาไฟทุกคนอย่างชัดถ้อยชัดคำ

 

และเนื้อหาในวาจาก็ประหนึ่งอัสนีบาตยามแล้งที่ฟาดผ่าลงมาดังเปรี๊ยง! ทำให้เหล่าศิษย์อาวุโสทั้งหลายรู้สึกเสมือนหนังศีรษะชาด้าน ยืนอึนกันไปอีกพักหนึ่ง

 

ต่อมาก็เป็นชนชั้นอาวุโสทั้งหลายของลัทธิบูชาไฟที่ดึงสติกลับมาอยู่กับร่องกับรอยได้ก่อนเหล่าศิษย์ ทั้งหมดโพล่งคำออกมาด้วยความตื่นเต้นยินดี “ทะ…ท่านจ้าวลัทธิ ทะ…ทะลวงด่านสำเร็จแล้ว?! ท่านจ้าวลัทธิทะลวงสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนสำเร็จแล้ว!?”

 

“ท่านจ้าวลัทธิทะลวงด่านแล้ว!?”

 

และเหล่าศิษย์ที่ได้สติภายหลัง ก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาตามๆกัน ทั้งหมดทั้งแตกตื่นทั้งยินดีออกอาการลิงโลดกันไม่น้อย

 

จ้าวลัทธิทะลวงด่านและมีพลังเข้มแข็งขึ้น ย่อมหมายความว่าลัทธิบูชาไฟของพวกมันทรงพลังยิ่งขึ้น!

 

สำหรับศิษย์สาวกของลัทธิบูชาไฟ เรื่องนี้มีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย!

 

หลังจากผ่านไปอีกราวๆชั่วกาน้ำเดือด ในที่สุดกลิ่นอายพลังอันครอบงำยากหาใดเทียบก็สลายหายไป ทำให้เหล่าศิษย์ชั้นยอดของลัทธิบูชาไฟอดไม่ได้ที่จะโล่งอก

 

ถึงแม้จะรับทราบกันว่ากลิ่นอายพลังอันน่าสะพรึงกลัววขู่ขวัญนั่นมาจากตัวจ้าวลัทธิ แต่พวกมันก็หวั่นใจทั้งรู้สึกกดดันบีบคั้นไม่น้อย

 

เรียกว่าเผชิญหน้ากับกลิ่นอายอันทรงพลังอำนาจสะกดข่มดังกล่าว พวกมันสะท้านสั่นกลัวไปถึงจิตวิญญาณ!

 

ซู่มมม!!!

 

ทันใดนั้นเอง เหนือม่านหมอกเบาบางที่ปกคลุมเกาะที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้าสูงสุด ก็ปรากฏร่างหนึ่งพุ่งทะลวงเมฆหมอกขึ้นมาปรากฏกายกลางหาว

 

“ท่านจ้าวลัทธิ!”

 

ร่างนี้พึ่งปรากฏได้ไม่ทันไร เหล่าผู้ที่ลอยร่างรอคอยอยู่ไม่ไกล ก็คารวะทักทายออกมาอย่างพร้อมเพรียง

 

……