ราชันเร้นลับ 986 : อิทธิพลของปรสิต

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

มิสเตอร์ฟูลเองก็มีอำนาจในขอบเขตความลับเหมือนกันหรือ… เลียวนาร์ดผงะเล็กน้อย เริ่มเข้าใจว่าทำไมตาแก่ถึงเอ่ยเกี่ยวกับพรแห่งการปกปิด

โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ ไคลน์เสริมประโยค

“นอกจากนั้น อย่าไปบอกกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์ด้วย อามุนด์อาจทราบว่ามีเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมอยู่หนึ่งตนในละแวกใกล้เคียงถนนเบิร์คลุน”

นี่มัน… รูม่านตาเลียวนาร์ดเบิกโพลง

“มันจะรู้ได้ยังไง?”

ขอโทษทีนะสหาย ฉันไม่สะดวกที่จะตอบ… ไคลน์รำพัน ก่อนจะตอบขึงขัง

“ผมไม่ใช่อามุนด์สักหน่อย”

“พฤติกรรมหรือคำพูดใดที่ทำให้คุณได้ข้อสรุปนี้มา?” เลียวนาร์ดถามตามความเคยชิน

เอ่อ… ฉันเป็นคน ‘บอก’ เจ้านั่นเอง… ไคลน์ตอบสนองด้วยการหัวเราะ

งั้นหรือ… เลียวนาร์ดพยักหน้าเล็กๆ

“เข้าใจแล้ว ฉันจะบอกตาแก่ให้”

มันเว้นวรรค

“คุณจะรอให้เขาช่วยวางแผนอย่างละเอียดไหม?”

ไคลน์อืมในลำคอ

“หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับอามุนด์และเส้นทางนักจารกรรม มีน้อยคนนักที่จะรู้มากกว่าท่าน”

กล่าวถึงตรงนี้ เมื่อค่อนข้างแน่ใจว่าอามุนด์คงไม่มาที่ถนนเบิร์คลุนสักระยะ มันกล่าวอย่างใจเย็น

“ยังไม่ต้องลงมือทำอะไร ไว้ค่อยคุยกันในชุมนุมทาโรต์วันพรุ่งนี้”

หืม… เท่าที่ดู เหตุการณ์ไม่ได้เร่งด่วนสินะ… เลียวนาร์ดอ่านความนับแฝงจากประโยค พยักหน้าเล็กๆ และตอบ

“ตกลง ไว้ค่อยคุยรายละเอียดกันในชุมนุมทาโรต์วันพรุ่งนี้”

จัดการเสร็จ ไคลน์ลุกขึ้นยืน หันหน้าทำความเคารพไปยัง ‘ประตูแห่งแสง’

“มิสเตอร์ฟูล พวกเราเสร็จแล้ว”

เลียวนาร์ดลุกขึ้นและเตรียมทำตาม แต่ก่อนจะได้ลงมือ ทัศนียภาพของมันพลันถูกอาบไปด้วยสีแดงเข้ม

จนกระทั่งได้สติกลับมา มันพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในป่าโปร่งเขตชานเมืองทางเหนือ

“มีอะไรจะบอกกับข้าไหม” เสียงค่อนข้างชราของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ดังขึ้น

เลียวนาร์ดกระแอมและตอบ

“ไคลน์บอกว่า เขาเป็นข้ารับใช้ของความลับ จะลองขอความช่วยเหลือให้”

“ข้ารับใช้ของความลับ… อย่างที่คิด…” พาลีสถอนหายใจ “บอกกับเขาว่า หากสามารถวิงวอนขอพรแห่งการปกปิดได้จริง ข้ายินดีช่วยจัดการกับอามุนด์และค้นหาร่างโคลนทั้งหมดของเจ้านั่นในเบ็คลันด์”

เลียวนาร์ดไม่ประหลาดใจกับคำตอบ

“ตาแก่… ไม่เห็นอ่อนแอเหมือนที่ทำตัวก่อนหน้านี้เลย!”

พาลีส·โซโรอาสเตอร์หัวเราะแห้ง

“เจ้าไม่เคยได้ยินคำกล่าวอันโด่งดังของโรซายล์หรือ? อูฐที่อดอยาก ก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า”

“นั่นอยู่กับพันธุ์ของม้าและอูฐ…” เลียวนาร์ดยอกย้อนตามนิสัย หันไปถาม “ตาแก่ คุณจะจัดการกับอามุนด์ยังไง? ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ?”

“แฮ่ม!” พาลีสกระแอมขุ่นเคือง “ถ้าทำแบบนั้น สิ่งที่เราต้องเผชิญคือร่างจริงของอามุนด์ ไม่ใช่ร่างโคลน และถ้าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น ทวยเทพจะเสร็จลงมาเยือนจนเกิดเป็นมหาสงคราม… สำหรับข้ายังพอมีทางเอาตัวรอด แต่กับเจ้า คงไม่แคล้วได้เข้าเฝ้าเทพธิดารัตติกาล”

“…” เลียวนาร์ดตอบโต้ได้เพียงภาษากาย

พาลีส·โซโรอาสเตอร์กล่าวต่อ

“แตกต่างจากเส้นทางอื่นที่คล้ายคลึงกัน ร่างโคลนของอามุนด์สามารถเติบโตได้ด้วยการดูดซับตะกอนพลังเส้นทางนักจารกรรม จากนั้นก็แบ่งหนอนกาลเวลาเป็นจำนวนมาก ส่งออกไปเป็นปรสิตในร่างสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ตราบเท่าที่ในละแวกดังกล่าวมีตะกอนพลังมากพอ กระบวนการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ไม่รู้จบ”

“นี่มัน… ฟังดูเหมือนโรคระบาด” เลียวนาร์ดเย็นสันหลังวาบ

หากตะกอนพลังของเส้นทางนักจารกรรมมีมากพอ ร่างโคลนของอามุนด์สามารถเข้าไปเป็นปรสิตในร่างของคนทั้งเมืองได้ไม่ยาก!

“ทำนองนั้น” พาลีสช่วยยืนยันคำพูดเลียวนาร์ด ก่อนจะถอนหายใจ “เพื่อจะจัดการกับอามุนด์ เรามีเพียงวิธีเดียวก็คือ ล่อเจ้านั่นด้วยตะกอนพลังของครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรม ตราบใดที่เราปราบร่างโคลนตัวหนึ่งสำเร็จ โอกาสจัดการตัวที่เหลือก็ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม อามุนด์เป็นปรมาจารย์ด้านการหลอกลวง เราต้องระวังตัวให้มาก ไม่อย่างนั้น ฝ่ายที่คิดว่ากำลังล่อเหยื่ออย่างเรา แท้จริงแล้วอาจกำลังเป็นเหยื่อเสียเอง สำหรับประเด็นนี้ พรแห่งการปกปิดคือกุญแจสำคัญ!”

“เข้าใจแล้ว” เลียวนาร์ดถอนหายใจแผ่ว หันไปถาม “ร่างโคลนของอามุนด์แข็งแกร่งขนาดไหน?”

พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบไปหลายวินาที ราวกับกำลังนึกทบทวน จากนั้นก็ตอบ

“ในทางทฤษฎี ร่างโคลนที่แข็งแกร่งที่สุดของอามุนด์สามารถเป็นได้ถึงลำดับ 1 แต่โอกาสทำได้จริงน้อยมาก เพราะนั่นจะทำให้จิตใจขาดเสถียรภาพ ง่ายต่อการคลุ้มคลั่ง… กล่าวโดยทั่วไป ร่างโคลนคือหนอนกาลเวลา เริ่มแรกจะมีพลังเทียบเท่าลำดับ 4 ที่อ่อนแอ แต่ก็มีคุณสมบัติในการบดขยี้ตะกอนพลัง หลังจากดูดซับตะกอนพลังเส้นทางนักจารกรรมไปเรื่อยๆ ร่างโคลนเหล่านั้นสามารถพัฒนาไปถึงลำดับ 2 แต่อามุนด์ไม่ค่อยทำเช่นนั้น เจ้านั่นชอบที่จะแยกร่างเป็นจำนวนมาก และเหนือสิ่งอื่นใด พิจารณาจากสถานการณ์ของกรุงเบ็คลันด์ ร่างโคลนของอามุนด์ไม่น่าจะไปถึงลำดับ 2”

เลียวนาร์ดไตร่ตรองสักพัก

“หมายความว่า เราจะได้เผชิญหน้าอามุนด์กลุ่มใหญ่ โดยในหมู่พวกมัน ส่วนใหญ่จะเป็นลำดับ 4 ที่อ่อนแอ มีจำนวนหนึ่งเป็นลำดับ 4 ทั่วไป และมีอีกจำนวนน้อยเป็นลำดับ 3 ผมพูดถูกไหม?”

“ตามปรกติก็ใช่… อามุนด์ชอบทำแบบนั้น แต่ต้องไม่ลืมว่าเจ้านั่นเก่งด้านการหลอกลวง” พาลีส·โซโรอาสเตอร์ตักเตือน “นอกจากนั้น พิจารณาจากระยะเวลาที่อามุนด์เริ่มอยู่ในเบ็คลันด์ ตะกอนพลังเส้นทางนักจารกรรมที่รวบรวมได้น่าจะยังมีไม่มากนัก เพราะท้ายที่สุด ที่นี่คือเบ็คลันด์… หากสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ร่างโคลนของมันจะเน้นพัฒนาให้แข็งแกร่งที่สุดหนึ่งตัว จากนั้นก็ให้ตัวอื่นรายล้อมคอยสนับสนุน กุญแจสำคัญในการกำจัดอามุนด์ก็คือ ห้ามให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเด็ดขาด ต้องรีบเก็บเรียงตัวในตอนที่มีเทวทูตขอบเขตความลับคอยช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นมันอาจหนีสำเร็จ”

“จัดการได้ยากจริงๆ … ขนาดว่านี่เป็นแค่ร่างโคลนที่ถูกแบ่งออกมาให้โตเองอย่างส่งเดช… สมแล้วที่เป็นราชาเทวทูต” เลียวนาร์ดถอนหายใจ จากนั้นก็นึกถึงคำเตือนไคลน์ จึงรีบแจ้ง “ดูเหมือนอามุนด์จะดูดซับครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมได้เพิ่มอีกหนึ่งตน ไคลน์เล่าว่า เขาได้พบกับอามุนด์ในตอนที่พยายามไล่ล่าครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมที่ใกล้คลุ้มคลั่ง… แล้วก็ ดูเหมือนว่าอามุนด์จะทราบเรื่องที่ มีเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมหนึ่งคนอาศัยอยู่ใกล้ๆ ถนนเบิร์คลุน”

พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบไปอีกครั้ง มิได้กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน

ผ่านไปสักพัก เมื่อเห็นว่าเลียวนาร์ดต้องการคำตอบ มันถอนหายใจและกล่าว

“ทำไมอดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้าถึงชอบสร้างปัญหาไม่ต่างกันเลย?”

“หมายความว่ายังไง?” เลียวนาร์ดทำหน้ามึนงง

พาลีส·โซโรอาสเตอร์กล่าวด้วยเสียงขุ่นเคือง

“การที่อามุนด์รู้ว่ามีเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมอยู่ในละแวกใกล้เคียงถนนเบิร์คลุน ต้นตอต้องมาจากเขาไม่มากก็น้อย!”

“ต…ตาแก่… คุณใช้พลังถอดรหัสวิเคราะห์เอาหรือ?” เลียวนาร์ดถามอย่างประหลาดใจ

พาลีสถอนหายใจแรง

“ข้าใช้สมอง! ไม่อย่างนั้น ทำไมถึงต้องเกี่ยวข้องกับถนนเบิร์คลุน?”

นั่นก็จริง ปัญหาทั้งหมดในถนนเบิร์คลุนล้วนมีต้นตอมาจากดอน·ดันเตส… หรือว่าปัญหาคราวนี้ก็ด้วย? เลียวนาร์ดฉุกคิดขึ้นมาได้

ทันใดนั้น พาลีสถอนหายใจยาวและกล่าว

“โชคดีที่เขาบอกไปแค่ว่าเป็นเทวทูต เพราะถ้าเอ่ยชื่อจริงของข้า คำแนะนำเดียวคือเราต้องออกจากกรุงเบ็คลันด์โดยเร็วที่สุด… เจ้าไปบอกกับเขา ตอนนี้มีสองวิธี: ประการแรก หาสมบัติปิดผนึกระดับ 1 ขึ้นไปในเส้นทางนักจารกรรมมาเป็นเหยื่อล่อ หรือไม่ก็ครึ่งเทพเส้นทางเดียวกันก็ได้ เราจะวางกับดักจากตรงนี้ โดยขั้นตอนทั้งหมดต้องกระทำผ่านพรแห่งการปกปิด ต้องเป็นธรรมชาติ สมเหตุสมผล ราบเรียบ และไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย… ประการที่สอง รอให้อามุนด์เข้ามาในถนนเบิร์คลุนด้วยตัวเอง โดยทางนั้นมีตัวเลือกสองวิธี หนึ่งคือการ ‘แทนที่ชะตากรรมของใครบางคน’ และอีกหนึ่งคือการลอยมาตามอากาศ ดังนั้น อดีตเพื่อนร่วมงานของเจ้าต้องมีพลังในการมองเห็น ‘การปลูกถ่ายชะตากรรม’ หรือไม่ก็สามารถตรวจจับความผิดปรกติในสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ไม่อย่างนั้น ผลลัพธ์คงมีเพียงการนำอาหารมาป้อนให้อามุนด์ฟรีๆ”

เปลือกตาเลียวนาร์ดกระตุกเล็กน้อย พยักหน้าเคร่งขรึม

“ผมจะไปบอกเขาตอนบ่ายวันพรุ่งนี้”

“ตกลง” พาลีส·โซโรอาสเตอร์ถอนหายใจอีกครั้ง “นอกจากนั้น หากพวกเราประสบความสำเร็จในการกวาดล้างร่างโคลนทั้งหมดของอามุนด์ในเบ็คลันด์ หนอนกาลเวลาส่วนใหญ่ต้องเป็นของข้า”

เพื่อฟื้นฟูพลัง? เข้าใจแล้วว่าทำไมตาแก่ถึงอยากเสี่ยง… เลียวนาร์ดถามทันที

“หนอนกาลเวลาพวกนั้นมีตะกอนพลังของเส้นทางนักจารกรรมใช่ไหม?”

“สำหรับข้าก็ใช่ แต่สำหรับคนอื่นแล้วไม่” พาลีสตอบห้วน “หนอนกาลเวลาที่เหลือจากร่างโคลนอามุนด์จะมีตะกอนพลังในตอนแรก แต่เพียงไม่นานก็หายไปด้วยกฎการดึงดูดของพลังพิเศษ พวกมันจะกลับไปหาร่างต้นอามุนด์ ต้องใช้พลังบางอย่างสำหรับยับยั้งกระบวนการนี้”

เลียวนาร์ดพยักหน้าเล็กน้อย ถามอย่างสงสัย

“แล้วทำไมยันต์ที่สร้างโดยหนอนกาลเวลาถึงแข็งแกร่งนัก?”

พาลีสหัวเราะเสียงดัง

“เจ้าลืมแก่นแท้ของยันต์ไปแล้วหรือ? ขั้นตอนหลักของการสร้างยันต์คือการสวดวิงวอนขอพลังจากตัวตนในระดับสูง วัสดุจึงต้องสามารถรองรับพลังและสัญลักษณ์ในการปรับปรุงพลัง บทบาทสำคัญของหนอนกาลเวลาคือการเป็นภาชนะ เป็นวัสดุระดับสูงที่มีพลังวิญญาณเพียงพอจะรับการตอบสนอง”

“กล่าวอีกนัยหนึ่ง พลังส่วนใหญ่ของยันต์โจรปล้นดวงมาจากมิสเตอร์ฟูล?” เลียวนาร์ดทำหน้าครุ่นคิด

พาลีสหัวเราะ

“ถูกต้อง เจ้าจะลองสร้างยันต์โจรปล้นดวงโดยสวดวิงวอนถึงอามุนด์ดูก็ได้… นอกจากนั้น คุณสมบัติของวัสดุแต่ละชนิดก็ยังมีผลกับลักษณะของยันต์ หรือก็คือ วัสดุที่แตกต่างกันจะเกิดเป็นยันต์ที่แตกต่าง… อา… ศาสตร์การสร้างยันต์เป็นเรื่องซับซ้อน ยากจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ต้องใช้เวลาตกผลึกนานมาก”

ด้วยเหตุผลบางประการ เลียวนาร์ดรู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูก

บ่ายวันจันทร์ หลังจากใช้พลังมิติหมอกทำนายยืนยันว่ายังไม่มีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นกับครอบครัวเฮเซล ไคลน์อดทนรอจนกระทั่งชุมนุมไพ่ทาโรต์ตอนบ่ายสามโมงตรง

ลำแสงสีแดงเข้มส่องสว่างภายในพระราชวังโบราณ ก่อนจะสงบลงในเวลาอันสั้น

‘จัสติส’ ออเดรย์ยืนขึ้นและหันไปคำนับสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวลายโบราณ

“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล~”

…………………………………….