ตอนที่ 716 พลอยวิเศษก้นบ่อน้ำร้อน

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 716 พลอยวิเศษก้นบ่อน้ำร้อน
การปะทะกันระหว่างปราณวิเศษสองชนิดนี้แม้จะไม่ได้เป็นเรื่องร้ายแรงอะไรนัก แต่กลับสร้างความทรมานให้แก่เยี่ยเทียนที่เป็นตัวกลาง

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขายังมีหินวิเศษธาตุไม้ในกำมือคอยเป็นตัวไกล่เกลี่ยให้ เยี่ยเทียนก็คงจะมอดม้วยมรณาไปเพราะการขับเคี่ยวกันระหว่างปราณวิเศษธาตุน้ำและธาตุไฟเสียนานแล้ว

และก็เป็นเพราะความโชคดีของเขา หินวิเศษธาตุไม้นั้นเดิมทีก็มีพลังปราณชีวิตในตัวมันเองอยู่แล้ว เมื่อมันมาช่วยปรับสมดุล ปราณวิเศษธาตุน้ำและธาตุไฟที่ตอนแรกไม่เข้ากันนั้น ก็ก่อรูปสัญลักษณ์หยินหยางขึ้นมาที่จุดตันเถียน ของเยี่ยเทียน แบบเดียวกับลักษณะภูมิประเทศของที่นี่

สองฝ่ายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ก็ส่งเสริมซึ่งกันและกันด้วย เดิมทีผู้บำเพ็ญพรตจะสามารถสร้างเม็ดพลังเน่ยตัน (ตันภายใน) ได้เพียงดวงเดียว แต่ในจุดตันเถียนของเยี่ยเทียนกลับกำเนิดขึ้นมาได้สองดวง

ปรากฏการณ์เช่นนี้อย่าว่าแต่เยี่ยเทียนที่รู้สึกสับสนงงงวยเลย ต่อให้เป็นยอดบุคคลสมัยโบราณเหล่านั้น ถ้าได้มาเห็นก็คงจะหาข้อสรุปไม่ได้เหมือนกัน

แต่ที่ไม่ต้องสงสัยเลยก็คือ เมื่อจุดตันเถียนอันแสนพิสดารของเยี่ยเทียนเริ่มรับและปล่อยปราณวิเศษ กระบวนการทั้งหมดก็จะดำเนินไปอย่างรวดเร็วมาก

แม้ว่าขณะนี้เยี่ยเทียนจะไม่ได้ตั้งจิต แต่ปราณวิเศษแห่งฟ้าดินก็กำลังถ่ายเทเข้าสู่ร่างของเขาทีละน้อย ราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ หลังจากไปหลอมรวมกันที่จุดตันเถียนแล้ว ก็กลายสภาพเป็นปราณแท้บริสุทธิ์ หล่อเลี้ยงร่างกายของเยี่ยเทียนไว้

“เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้นะ?”

หลังจากเยี่ยเทียนตรวจสภาพร่างกายเสร็จ ดวงอาทิตย์ก็ลับลงหลังภูเขาไปแล้ว เมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือที่ไม่มีสัญญาณเครื่องนั้นออกมาจากกระเป๋า ก็พบว่าแบตเตอรี่หมดไปแล้ว

แม้แต่นาฬิกาข้อมือยี่ห้อดังระดับโลกที่ซ่งเวยหลันให้มานั้น ก็หยุดเดินโดยไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน วันและเวลาจึงหยุดอยู่ที่วันที่เยี่ยเทียนเริ่มเร้นกายฝึกปราณนั่นเอง

“คงไม่ได้ผ่านไปนานเท่าไหร่หรอกมั้ง?” แตกต่างจากครั้งก่อนที่มีอาการหิวโหยหลังเสร็จจากการฝึกปราณที่เรือนสี่ประสานที่ปักกิ่ง เยี่ยเทียนในตอนนี้ไม่ได้รู้สึกหิวโหยเลยแม้แต่น้อย

แต่เยี่ยเทียนกลับไม่รู้ว่า หลังจากที่พลังปราณกลายสภาพเป็นปราณแท้แล้ว จะสามารถดูดรับปราณวิเศษที่ล่องลอยอยู่ตามธรรมชาติไว้ได้ทั้งหมด และใช้เป็นพลังงานเสริมกำลังให้แก่ร่างกายได้

การงดเว้นธัญญาหารที่คนโบราณกล่าวถึงนั้น ที่จริงแล้วยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การเสวยปราณ

แต่บุคคลที่มีบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์เหล่านั้น ก็ยังคงต้องรับประทานของจำพวกหวงจิง (อึ่งเจ็ง) หรืออวี้จู๋ (เง็กเต็ก) ที่พบตามป่าเขาเป็นอาหารอยู่ดี มีเพียงผู้ที่เข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว จึงจะสามารถกินลมดื่มน้ำค้าง ตัดขาดจากโลกีย์ได้อย่างแท้จริง

อย่างเยี่ยเทียนในตอนนี้ ก็อยู่ในสภาพเดียวกับเซียนผู้หลุดพ้น หากรับประทานพืชพรรณธัญญาหารเหล่านั้นเข้าไป ก็จะกลับกลายเป็นว่าต้องใช้พลังขับอาหารเหล่านั้นออกไปอีก นับว่าเหนือชั้นยิ่งกว่าการงดเว้นธัญญาหารของคนโบราณเสียอีก

“ลองไปดูดีกว่าว่าในบ่อน้ำร้อนนี่มีอะไรอยู่กันแน่”

หลังจากตรวจดูความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็มองไปทางบ่อน้ำร้อนที่ลึกและมีไอน้ำลอย ขโมงขึ้นมา ตอนนี้พลังฝีมือของเขาพัฒนาขึ้นมาก จึงรู้ว่าสามารถทนทานอุณหภูมิของน้ำในสระได้แล้ว

หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียน จิตแห่งเต๋าของเยี่ยเทียนก็เข้าใกล้ความเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ซึ่งเน้นการปล่อยให้เป็นไปตามที่ใจต้องการ เมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้นมาแล้ว เขาก็ไม่ไปขบคิดให้มากความอีก ก้าวเท้าเดินลงไปในบ่อทันที

“ปราณวิเศษในบ่อนี่ยังเข้มข้นยิ่งกว่าพลังปราณชีวิตในหุบเขาอีกนะเนี่ย!”

คราวก่อนเขาลงไปในบ่อเพียงเพื่อชำระล้างร่างกายเท่านั้น แต่คราวนี้เมื่อลงไปแล้ว เยี่ยเทียนก็กลับเริ่มเข้าใจมากขึ้น เขารู้สึกได้ว่า ปราณวิเศษจากน้ำในบ่อกำลังซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังอย่างไม่ขาดสาย

เยี่ยเทียนเคยเห็นสภาพของหูหงเต๋อที่เกือบจะถูกต้มจนสุกมาแล้ว เขาจึงไม่กล้าประมาท หายใจลึกๆ เข้าปอด แล้วปิดรูขุมขนทั่วร่าง เข้าสู่สภาพกักลมปราณไว้ภายในร่างกาย

ขณะเดียวกัน รอบกายเยี่ยเทียนก็มีรัศมีแพรวพราวเปล่งออกมาหนึ่งชั้น ราวกับว่ามีม่านคุ้มกันปรากฏขึ้นเหนือผิวกายของเขา แม้จะดูเหมือนว่าเขาอยู่ในบ่อ แต่ที่จริงแล้วน้ำในบ่อทั้งหมดถูกกั้นไว้ภายนอกด้วยม่านคุ้มกัน จึงไม่อาจสัมผัสถูกผิวกายของเขาได้เลย

บ่อน้ำร้อนแห่งนี้ลักษณะเหมือนกับหลุมลึก หลังจากก้าวออกไปได้สามก้าว ร่างของเยี่ยเทียนก็จมลงไปในฉับพลัน ยามนี้ดวงอาทิตย์ตกลับหลังภูเขาไปแล้ว เมื่อเยี่ยเทียนจมลงไปในน้ำจนมิดถึงศีรษะ เบื้องหน้าสายตาก็มืดมิดไปทันที

ในคัมภีร์ทางเต๋าเคยบันทึกไว้ว่า หลังจากพลังฝีมือไปถึงที่ระดับหนึ่งแล้ว ก็จะสามารถใช้ตาแทนจมูก ใช้หูแทนตา ใช้ปากแทนหู ประสาทการรับรู้ทั้งหกสามารถแลกเปลี่ยนทดแทนกันได้หมด

ดังนั้นสำหรับเยี่ยเทียนแล้ว เพียงส่งจิตออกไปเล็กน้อย สภาพแวดล้อมรอบกายภายในรัศมีสิบกว่าเมตรก็จะปรากฏขึ้นในสมองของเขาอย่างชัดเจน กระทั่งยังแจ่มแจ้งยิ่งกว่ามองด้วยตาโดยตรงเสียอีก

“เอ๊ะ? มีแรงพยุงมากขนาดนี้เลยรึ?”

ไม่ว่าจะเป็นน้ำในทะเลหรือน้ำในแม่น้ำทั่วไป ต่างก็มีแรงพยุงสูงมากด้วยกันทั้งนั้น หากต้องการจะดำลงไปในน้ำ ก็จะต้องมัดวัตถุที่มีน้ำหนักมากไว้กับตัว หลังจากที่ร่างของเยี่ยเทียนจมลงไปได้ประมาณสามสี่เมตร ก็เริ่มจะลอยกลับขึ้นมาแล้ว

แม้จะยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับระดับเซียนเทียนได้อย่างสมบูรณ์ แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับเยี่ยเทียนเลย เมื่อตั้งจิตถ่ายปราณแท้ไปไว้ที่เท้าทั้งสองข้างแล้ว ร่างกายของเยี่ยเทียนก็หนักขึ้นมาในทันใด จมดิ่งลงสู่ก้นบ่อราวกับลูกเกาทัณฑ์

“มังกรดำเคยบอกว่า ในบึงน้ำมังกรดำนั่นมีจุดรวมกระแสพลังอยู่ ท่าทางในบ่อน้ำร้อนนี่ก็คงจะมีเหมือนกันละนะ!”

ยิ่งจมลงไปลึกเท่าไร เยี่ยเทียนก็ยิ่งรู้สึกว่าปราณวิเศษรอบด้านเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อดำลงไปได้ห้าสิบกว่าเมตร ปราณวิเศษที่นั่นก็มีระดับความเข้นข้นสูงกว่าที่เมืองโบราณเสินหนงเจี้ยแล้ว

เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่าในบ่อแห่งนี้เหมือนจะไม่มีอันตรายอะไร ยามนั้นจึงส่งจิตดั้งเดิมออกมา หลังจากคนขนาดย่อส่วนที่มีความสูงไม่เกินสามสิบเซนติเมตรนั้นปรากฏออกมาแล้ว ปราณวิเศษในสระน้ำก็แห่กรูเข้าไปในจิตดั้งเดิม

ระหว่างที่พลังปราณชีวิตปริมาณมหาศาลกำลังหล่อเลี้ยงจิตดั้งเดิมอยู่ ขณะเดียวกันก็ถ่ายเทเข้าสู่กายเนื้อของเขาด้วย เน่ยตันทั้งสองดวงในจุดตันเถียนเริ่มหมุนเวียนด้วยความเร็วที่สูงขึ้นมากทันที และแปลงสภาพปราณวิเศษเหล่านี้ให้กลายเป็นปราณแท้ เติมเต็มเซลล์ทุกเซลล์ในร่างของเยี่ยเทียน

เมื่อเข้าสู่ระดับเซียนเทียนแล้ว ทั้งจิตดั้งเดิมและกายเนื้อต่างก็สามารถจุปราณวิเศษได้ในปริมาณที่สูงขึ้นมาก

แม้ว่าในบ่อนี้จะอุดมไปด้วยปราณวิเศษ แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้รู้สึกว่ามากเกินไปเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกสบายไปทั่วร่างจนเกือบจะครางออกมาแล้ว

“ให้ตายสิ แล้วหลังจากนี้จะไปหาดินแดนสวรรค์แบบนี้ได้ที่ไหนอีกล่ะเนี่ย?”

เยี่ยเทียนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาในใจ “ถ้าสร้างถ้ำใต้น้ำไว้ที่ก้นบ่อนี่ แล้วอยู่ฝึกบำเพ็ญเสียที่นี่เลยมิยิ่งดีเข้าไปใหญ่รึ?”

แต่เขาก็เพียงแต่คิดดูเท่านั้น เพราะที่บ้านก็ยังมีทั้งพ่อแม่และภรรยาอยู่ เยี่ยเทียนไม่มีทางสละโลกไปมุ่งแสวงการบรรลุจินตัน สำเร็จมหามรรคได้อยู่แล้ว ตอนแรกเขาก็ตั้งใจไว้แล้วว่า หลังจากเข้าสู่ระดับเซียนเทียนได้แล้ว ก็จะกลับบ้านไปคอยดูแลบุพการี

“เอาเถอะ คนที่จะมาบำเพ็ญอยู่ที่นี่ได้ ก็คงจะมีแต่ยอดคนผู้บรรลุจินตัน หรือไม่ก็สิ่งมีชีวิตอย่างมังกรดำนั่นแหละนะ!”

เมื่อดำลึกลงไปอีกยี่สิบกว่าเมตร รอยยิ้มแห้งๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยเทียน เพราะแรงกดดันรอบด้านพลันเพิ่มสูงขึ้นเป็นทวีคูณ แม้แต่ม่านคุ้มกันรอบกายที่ก่อขึ้นจากปราณแท้นั้นก็เริ่มสั่นคลอนขึ้นมาแล้ว

และตอนนี้เยี่ยเทียนก็เริ่มเข้าใจมังกรดำขึ้นมาแล้วเช่นกัน ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของเจ้าสัตว์ตัวนี้ ไม่ใช่ระดับที่มนุษย์คนใดจะเทียบเคียงได้เลย

ถ้าไม่ใช่เพราะถูกนักพรตรูปนั้นลอบโจมตี ใช้เชือกรัดมังกรดำไว้ก่อน ในบึงน้ำที่มีความลึกระดับนั้น ต่อให้นักพรตรูปนั้นมีพลังฝีมือสูงส่งแค่ไหน เมื่อลงมาอยู่ในน้ำแล้วก็จะต้องแบ่งพลังส่วนใหญ่ไปใช้ต้านทานแรงกดดัน ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของมังกรดำได้อยู่แล้ว

เยี่ยเทียนตั้งจิต ส่งปราณแท้ที่กำเนิดและโคจรอยู่ในจุดตันเถียนส่วนใหญ่ออกสู่ภายนอกร่างกาย แล้วม่านคุ้มกันที่กำลังคลอนแคลนใกล้จะพังทลายนั้นก็มั่นคงขึ้นมาทันที

“เอ๊ะ? ทำไมมีแสงสว่างล่ะ?” ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังพยายามต้านทานแรงกดดันใต้น้ำ ทันใดนั้นแสงสว่างดวงหนึ่งก็ปรากฏแก่สายตา

“นี่…นี่มันปากปล่องภูเขาไฟหรือว่าจุดรวมปราณวิเศษกันแน่เนี่ย?” เยี่ยเทียนมองไปตามทิศทางที่เปล่งแสงสว่างออกมา แล้วก็ตะลึงไปทันที รีบหยุดร่างไว้กับที่ ไม่กล้าดำดิ่งลงไปอีก

เยี่ยเทียนไม่ทันรู้ตัวว่า เขาได้ดำลงไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของบ่อแล้ว ภาพที่ปรากฏแก่สายตานี้จึงอยู่เหนือความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง

บ่อน้ำแห่งนี้กินเนื้อที่ในหุบเขาเป็นบริเวณกว้างหลายร้อยตารางเมตร แต่เมื่อลงไปถึงก้นบ่อแล้ว กลับแคบลงจนเหลือเพียงสามสิบกว่าตารางเมตรเท่านั้น

ที่ตำแหน่งใจกลางของก้นบ่อ มีหลุมกลมขนาดราวสิบเมตรอยู่หลุมหนึ่ง ในหลุมนั้นเต็มไปด้วยลาวาสีแดงเพลิง ราวกับเป็นเหล็กหลอมเหลวที่ถูกเผาอยู่ก็ไม่ปาน เป็นภาพที่น่าตื่นตระหนกอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ลาวาสีแดงเพลิงนั้นยังเดือดพล่านขึ้นมาเป็นครั้งคราว จนมีลูกไฟกระเด็นจากก้นบ่อขึ้นมาที่ผนังด้านข้างหลายลูก เห็นแล้วให้ความรู้สึกราวกับว่ามันพร้อมที่จะระเบิดปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

อุณหภูมิที่นั่นสูงขึ้นอย่างฉับพลัน แม้จะมีระยะห่างจากก้นบ่ออีกยี่สิบกว่าเมตร แต่เยี่ยเทียนก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเบาๆ ตามผิวหนัง ความรู้สึกแบบนี้แทบจะไม่ต่างอะไรกับถูกแขวนอยู่เหนือเตาไฟเลย

“แม่เจ้าโวย นี่…นี่ถ้ามันปะทุออกมาละก็ ต่อให้เราเป็นเทพเซียนก็คงหนีไม่รอดหรอก”

เยี่ยเทียนใจหายเฮือก ตอนแรกเขานึกว่าที่ก้นบ่อจะมีจุดรวมปราณวิเศษอยู่ แต่ภาพที่ปรากฏแก่สายตานั้น เรียกว่าเป็นภูเขาไฟลูกหนึ่งที่ยังไม่ปะทุขึ้นมายังจะใกล้เคียงเสียกว่า

แต่เพราะสาเหตุใดลาวานี้ถึงไม่ปะทุขึ้นมา และก็ไม่ดับมอดไปทั้งที่อยู่ใต้น้ำนั้น เยี่ยเทียนกลับไม่อาจเข้าใจได้เลย สภาพที่ก้นบ่อนั้นขัดแย้งกับหลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างเห็นได้ชัด

แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนย่อมไม่มีจิตใจจะไปทำการสำรวจทางวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็ตามถ้าได้รู้ว่าใต้ก้นของตัวเองมีปากปล่องภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่ออยู่ ก็คงจะต้องรู้สึกขนลุกขนชันกันทั้งนั้น

ตอนนี้เยี่ยเทียนเองก็กำลังมึนอยู่เหมือนกัน เขาไม่กล้าแม้แต่จะใช้เท้าถีบไปที่ผิวน้ำ ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะลอยตัวกลับขึ้นไปเงียบๆ สายตาก็พลันสะกดนิ่งไปที่ผนังในบ่อนั้น

“หินนั่นสีแดงเป็นประกาย มีปราณวิเศษเต็มเปี่ยม หรือว่าจะเป็นพลอยวิเศษธาตุไฟ?” แม้จะไม่รู้ว่าหยกดำและพลอยสีเทาครามนั้นมีชื่อเรียกว่าอะไร แต่ในศิลาทั้งสองมีปราณวิเศษแฝงอยู่ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงตั้งชื่อให้พวกมันว่าพลอยวิเศษ

ขณะนั้นเยี่ยเทียนพบว่า บนผนังหินเหนือจาก ‘ปากปล่องภูเขาไฟ’ ขึ้นไปราวเจ็ดแปดเมตร มีหินพลอยที่เปล่งประกายแวววาวฝังติดอยู่เจ็ดแปดดวง หินพลอยเหล่านี้เป็นสีแดงล้วน และดูโดดเด่นสะดุดตาราวกับเป็นเพชรอัคคี

นอกจากนี้ จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนยังสัมผัสถึงไอปราณบางอย่างที่คุ้นเคยได้จากหินพลอยเหล่านั้น ปราณวิเศษที่แฝงอยู่ในหินพลอยเหล่านั้นเหมือนกับปราณวิเศษในบ่อน้ำลึกแห่งนี้ไม่มีผิด แต่กลับบริสุทธิ์เข้มข้นยิ่งกว่า

“พลอยวิเศษนี่ขนาดกับหูหงเต๋อยังใช้ได้ผลเลย บางทีอาจจะเอาไปช่วยพวกศิษย์พี่ใหญ่ได้ก็ไม่แน่นะ”

เมื่อเห็นหินพลอยเจ็ดแปดดวงนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็หยุดร่างที่กำลังจะลอยกลับขึ้นไปทันที ถึงเขาจะไม่รู้ว่า ตัวเองพัฒนาไปถึงระดับเซียนเทียนได้อย่างไร แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พลอยวิเศษสองดวงนั้นและปราณวิเศษในหุบเขาแห่งนี้จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัญอย่างยิ่งยวดแน่นอน

สำหรับเยี่ยเทียนเองแล้ว การดูดรับปราณวิเศษจากพลอยวิเศษโดยตรง ยังได้ผลดียิ่งกว่าการดูดรับปราณวิเศษที่ล่องลอยอยู่ตามธรรมชาติเสียอีก ในเมื่อเขาพบมันแล้ว จะยอมกลับจากขุมสมบัติไปมือเปล่าๆ ได้อย่างไรกัน?

เยี่ยเทียนค่อยๆ เคลื่อนร่างไปหาผนังหินด้านหนึ่ง เพราะเขากลัวว่าความเคลื่อนไหวของตัวเองจะไปกระตุ้น ‘ปากปล่องภูเขาไฟ’ นั่นเข้า ถ้าต้องมาทิ้งชีวิตไปเพราะพลอยวิเศษเหล่านี้ แบบนั้นมันก็ไม่คุ้มกันเลย

หลังจากเข้าไปอยู่ชิดกับผนังหินอันร้อนฉ่าแล้ว ร่างของเยี่ยเทียนก็จมลงไปอีก และทุกๆ หนึ่งเมตรที่จมลงไป เขาก็จะรู้สึกว่าอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอีกเป็นทวีคูณ