หลังจากหารือแผนการร่วมกันบนภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นพักใหญ่ หลายคนก็ออกเดินมุ่งหน้าลงจากภูเขาโดยไม่แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติใด ๆ

เมื่อมาถึงช่วงครึ่งทางของภูเขา ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะส่งสัญญาณให้กับอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ก่อนที่พวกนางจะเดินลงภูเขาต่อไป

ทว่าในขณะเดียวกันนั้น ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็หันหลังกลับและเดินหน้ากลับขึ้นสู่ยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง

เมื่อมาถึงเชิงเขา อวิ๋นซื่อเทียนก็พยักหน้าให้กับกลุ่มของฉินเหยียนและเดินแยกออกไปทางทิศตะวันออก

ส่วนฉินเหยียน เหมียวเจินเจินและหลานเผิงก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกโดยที่แยกจากคนอื่น ๆ ไปอย่างสิ้นเชิง

ในจุดหนึ่งของมุมมืด กลุ่มคนชุดดำก็กำลังจับตาดูสถานการณ์ของฉินอวี้โม่และทุกคนอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นว่ามีการแยกกลุ่มกัน คนเหล่านั้นจึงรีบรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว

“หัวหน้า พวกนางแยกกลุ่มกันแล้วขอรับ”

ชายฉกรรจ์ในเสื้อคลุมสีดำคนหนึ่งที่จับตาดูฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ กล่าวขึ้นทันที เวลานี้มีอีกสามคนที่กำลังจับตาดูฉินเหยียนและอีกสองคนเช่นกัน ทันทีที่อีกฝ่ายมีความเคลื่อนไหว เขาก็รีบเข้ามารายงานต่อผู้เป็นหัวหน้า

“แยกกลุ่มกันงั้นรึ ?”

ในตอนนี้บุรุษชุดดำผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มไม่สวมหน้ากากบดบังและเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลา เขาดูมีอายุประมาณสามสิบปี แววตามุ่งมั่นและคิ้วหนาของเขาก็ทำให้ดูเหมือนบุรุษผู้เถรตรงและยึดมั่นในหลักคุณธรรมซึ่งดูไม่เหมือนคนที่มีจิตใจชั่วร้ายโดยสันดานแม้แต่น้อย

“ในเมื่อฉินเหยียนบอกฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เกี่ยวกับพวกเราแล้ว พวกนางก็ไม่ควรที่จะแยกจากกันเช่นนี้ หรือว่าพวกนางจะมีแผนการบางอย่างซ่อนไว้ ?”

เขาขมวดคิ้วมุ่นและพอจะทราบเกี่ยวกับฉินอวี้โม่อยู่บ้าง

“ฉินอวี้โม่ผู้นั้นมีลูกไม้ตุกติกซ่อนอยู่มากมาย นางเป็นสตรีที่รับมือได้ยากทีเดียว”

คนชุดดำอีกคนกล่าวเห็นด้วยและแววตาแสดงถึงความหวาดหวั่นต่อฉินอวี้โม่ไม่น้อย

“คนพวกนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่ ? ในเมื่อรู้ว่าพวกเรากำลังจับตาดู…หรือว่าคนพวกนั้นกำลังคิดที่จะไล่ล่าเรา ?”

ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวของหัวหน้ากลุ่มคนชุดดำ ทว่ามันก็ถูกปัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่ ถึงแม้ความแข็งแกร่งของพวกนางจะไม่ธรรมดาทีเดียว ทว่าพวกนางก็มีจำนวนน้อยเกินไป ด้วยการที่เรามีกันหลายคนเช่นนี้ ต่อให้ความแข็งแกร่งของแต่ละคนจะสู้ไม่ได้ ทว่าหากพวกเราร่วมมือกัน เราก็มีโอกาสที่จะเอาชนะคนพวกนั้นได้มากทีเดียว”

ต้องยอมรับเลยว่าจอมยุทธ์ทุกคนในฝ่ายของฉินอวี้โม่มีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาและล้วนเป็นจอมยุทธ์ฝีมือโดดเด่นของดินแดน อย่างไรก็ตาม ฝ่ายของพวกเขามีจำนวนมากกว่า กอปรกับความแข็งแกร่งที่มากพอสมควร แม้ยังไม่มากพอที่จะเอาชนะฉินอวี้โม่หรือคนอื่น ๆ ได้ด้วยตัวลำพัง ทว่าหากพวกเขาร่วมมือกัน ไม่ว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะทรงพลังเพียงใดก็ไม่มีทางสู้พวกเขาได้อย่างแน่นอน

“ถ้าเช่นนั้นพวกนางมีแผนการอะไรกันแน่ ?”

บุรุษชุดดำอีกคนพยายามคิดจนหัวแทบระเบิดทว่ายังนึกไม่ออกว่าคนเหล่านั้นจะมีสิ่งใดที่ใช้คุกคามพวกตนได้ เวลานี้เขาและอีกหลายคนก็เพียงมองตรงไปที่หัวหน้าและรอฟังคำสั่งต่อไป

“หัวหน้า เราสืบทราบมาแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”

บุรุษชุดดำอีกคนตะโกนเสียงดังขณะรีบวิ่งโร่เข้ามาและรายงานสถานการณ์ล่าสุดที่ได้ยิน

“ดูเหมือนพวกนางจะได้ข่าวเรื่องของฉินเฟิงจึงแยกกันออกไปตามหาเขา นอกจากฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ ฉินเหยียนก็แยกไปกับเด็กหนุ่มและเด็กสาวคู่หนึ่งในขณะที่คนที่เหลือแยกกันออกเป็นคู่ ๆ เพื่อออกตามหาฉินเฟิง”

หากต้องการหลอกล่อให้กลุ่มคนชุดดำเข้ามาติดกับดัก แผนการของพวกนางก็ต้องแนบเนียนอย่างที่สุด

หลังจากที่อวิ๋นซื่อเทียนและอีกหลายคนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก พวกนางก็แยกทางกันอีกครั้ง

ในเส้นทางอีกฟากหนึ่ง ฉินเหยียนก็แสร้งทำเป็นกระวนกระวายใจและจงใจเปิดเผย ‘ข้อมูล’ บางอย่างเพื่อให้คนชุดดำได้ยิน

“ไม่แปลกใจเลยที่คนพวกนั้นจะดูรีบร้อนเป็นพิเศษ ทว่าการกระทำเหล่านั้นก็เปล่าประโยชน์ ฉินเฟิงไม่ได้อยู่ในสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้…”

ความสงสัยในหัวใจของหัวหน้าคนชุดดำลดน้อยลง ทว่าเขายังไม่ตัดสินใจที่จะเคลื่อนไหวออกไปอย่างรีบร้อน

“หัวหน้า เราจะทำอย่างไรต่อไปขอรับ ?”

คนอื่น ๆ เริ่มเอ่ยถามด้วยความกังวล แท้จริงแล้วพวกเขาไม่อยากอยู่ในสมรภูมิรบเดนตายที่ลึกลับแห่งนี้แม้แต่น้อย

สมรภูมิรบเดนตายเต็มไปด้วยภยันตรายและเป็นสถานที่ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก ต่อให้ระวังตัวอย่างดี ก่อนหน้านี้สหายหลายคนของพวกเขาก็ล้มตายไปต่อหน้าต่อตา ตอนนี้พวกเขาต้องการเพียงทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงโดยเร็วที่สุดและจะได้ออกจากสถานที่น่าขนลุกแห่งนี้ไปเสียที

“พวกเราเฝ้ารอมานานเกินพอแล้ว เราไปจับตัวฉินเหยียนกันเถอะ”

ในที่สุดหัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ชุดดำก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีแผนการใดวางไว้หรือไม่ พวกเขาก็ไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป

ตอนนี้การคัดเลือกในรอบที่สามเหลือเวลาเพียงไม่ถึงสิบวันแล้ว หลังออกจากสมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้ หากฉินเหยียนได้เข้าร่วมหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกายขึ้นมา เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าการจับตัวนางก็คงจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป…

ณ ยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ฉินอวี้โม่และมารยาก็ร่วมมือกันจัดวางข่ายอาคมหลากหลายชนิด

“นายหญิง ท่านคิดว่าคนพวกนั้นจะหลงกลเรารึไม่ ?”

มารยาไม่มั่นใจนักว่าคนชุดดำเหล่านั้นจะหลงกลในแผนการที่วางไว้หรือไม่ สำหรับการกระทำที่โจ่งแจ้งเช่นนั้น ตราบใดที่พวกเขาคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ พวกเขาจะต้องคาดเดาได้ว่ามันเป็นกับดักที่ถูกเตรียมไว้ ชายฉกรรจ์เสื้อคลุมสีดำเหล่านั้นก็ทั้งมีฝีมือและไม่โง่เขลาเบาปัญญา เพราะเหตุนั้นแผนการตบตาของพวกนางอาจไม่สำเร็จ

“แน่นอน ในเมื่อพวกเขาต้องการจับตัวพี่เหยียนไป พวกเขาจะต้องปรากฏตัวขึ้นมาแน่”

ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยสีหน้ามั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมและไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าคนชุดดำเหล่านั้นจะไม่หลงกล ต่อให้พวกเขาตระหนักถึงภยันตรายที่อาจรออยู่เบื้องหน้า คนเหล่านั้นก็จะต้องยอมเสี่ยงมาที่นี่อย่างแน่นอน

“จากการคำนวณเวลาในตอนนี้ คาดว่าพี่สะใภ้และคนอื่น ๆ ก็น่าจะพร้อมกลับมาที่ยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว และคนชุดดำพวกนั้นจะต้องตามมาแน่”

เวลาล่วงเลยไปกว่าครึ่งวันแล้วและควรถึงเวลาที่คนชุดดำเหล่านั้นจะออกเคลื่อนไหว

เป็นจริงดังที่คิดไว้ ในเวลานี้ ฉินเหยียนและหนุ่มสาวทั้งคู่ก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่จับตามองพวกตนจากในมุมมืดได้อย่างชัดเจน

“พี่เหยียน เรากลับไปขึ้นไปบนภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กันเถอะเจ้าค่ะ ไม่อาจทราบได้ว่าพวกคนชุดดำจะกำลังจับตาดูพวกเราอยู่รึไม่ คนพวกนั้นอยากจับตัวท่านไปและมันอันตรายมาก ข้าว่าเรากลับไปที่ภูเขากันก่อนเถอะเจ้าค่ะ และเราจะได้ทราบด้วยว่าพี่อวี้โม่และคนอื่น ๆ ค้นพบสิ่งใดบ้างหรือไม่”

เหมียวเจินเจินกวาดสายตามองไปรอบตัวและแสดงสีหน้าแววตากังวลก่อนกล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด

“ถูกต้อง พี่ซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันไปสืบเบาะแสของพี่ฉินเฟิงแล้ว คาดว่าเราจะได้ทราบข่าวในไม่ช้า ก่อนหน้านี้พี่อวี้โม่ก็บอกให้เราสำรวจไปรอบ ๆ และกลับขึ้นไปบนยอดเขาโดยเร็ว ถ้าเช่นนั้นเรารีบกลับกันเถอะขอรับ”

หลานเผิงพยักศีรษะเห็นด้วยกับวาจาของเหมียวเจินเจิน เสียงของเขาก็ถือว่าดังพอสมควรซึ่งมากพอที่จะทำให้คนชุดดำที่ซุ่มจับตาดูได้ยินบทสนทนาของพวกเขาอย่างชัดเจน

“ตกลง เรากลับไปดูกันก่อนเถอะว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์ได้ข่าวอะไรบ้าง”

ฉินเหยียนทำท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนพยักศีรษะตอบตกลงในที่สุด จากนั้นทั้งสามก็หันหลังกลับและมุ่งหน้ากลับไปยังทิศทางที่จากมาก่อนหน้านี้

แน่นอนว่าบุรุษชุดดำสองคนที่แอบจับตาดูพวกนางอยู่ในมุมมืดก็รีบตามไปอย่างรวดเร็ว

“ตอนนี้มีสองคนที่กำลังตามเราอยู่ พวกเขาน่าจะกำลังรอสหายมาสมทบ เราต้องเร่งฝีเท้าแล้วล่ะ มิฉะนั้น…หากเราติดพันอยู่ในบริเวณนี้ มันคงมิใช่เรื่องดีแน่”

หลานเผิงกระซิบกระซาบกับฉินเหยียนเพื่อเตือนให้ระวังตัว

“รีบไปเถอะ !”

ฉินเหยียนพยักศีรษะและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นทันที เหมียวเจินเจินและหลานเผิงเองก็เร่งความเร็วตามฉินเหยียนไปอย่างใกล้ชิด

“รีบแจ้งข่าวบอกหัวหน้าเร็วเข้า เราจะปล่อยให้คนพวกนั้นกลับขึ้นไปบนยอดเขาไม่ได้เด็ดขาด”

หนึ่งในบุรุษชุดดำกล่าวกับสหายข้างกาย ยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยอันตรายที่เกินคาดเดา อีกทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็กำลังรออยู่ที่นั่น หากต้องประจันหน้ากัน พวกเขาจะรับมือได้ยากยิ่งขึ้น ทางที่ดีที่สุดสำหรับฝ่ายคนชุดดำคือขัดขวางฉินเหยียนและหนุ่มสาวทั้งสองไว้ที่เชิงเขาเพื่อมิให้ทั้งสามกลับไปรวมตัวกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้

บุรุษชุดดำคนนั้นก็รับคำและรีบแยกตัวออกไปอีกทางอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก ข่าวความคืบหน้าล่าสุดก็ไปถึงหูของหัวหน้ากลุ่มคนชุดดำ

“ไปเร็ว รีบไปขวางนางที่เชิงเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เร็วเข้า !”

หลังจากออกคำสั่ง หัวหน้าคนชุดดำก็รีบมุ่งหน้าตรงไปยังเชิงเขาอย่างรวดเร็วโดยมีกลุ่มคนชุดดำคนอื่น ๆ ตามไปอย่างใกล้ชิดด้วยความเร็วสูง

หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ฉินเหยียนและอีกสองคนก็ปรากฏตัวที่เชิงเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์

“คิดไว้ไม่มีผิด คนพวกนั้นกำลังจับตาดูข้าอยู่จริง ๆ !”

เมื่อเห็นกลุ่มบุรุษชุดดำหลายสิบคนที่รออยู่เบื้องหน้า ฉินเหยียนก็กล่าวด้วยสีหน้าแววตาที่เยือกเย็น

.

.