ตอนที่ 1058 ธิดาศักดิ์สิทธิ์ร่ำไห้

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

เมื่อเห็นรอยยิ้มตรงหน้า ชิงอิ่งก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขากล่าว “ข้าหลงทางไป”

“ข้าไม่ได้อยู่ข้างกายเฉียน!” เดิมทีเขานั้นไม่ค่อยจะมีความผันแปรทางด้านอารมณ์ความรู้สึกมากมายเท่าใดนัก แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ของมู่เฉียนซีก็กลับรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง

มู่เฉียนซีกล่าว “นี่มิใช่ว่าเจ้าได้มาแล้วหรือ? ถ้าหากมิใช่เพราะเจ้าเกรงว่าข้าก็คงจะออกไปได้ยากนัก เจ้านั้นช่วยข้าเอาไว้ได้มากทีเดียว”

“เฉียนซีต้องการจะออกไปหรือ?” ชิงอิ่งกล่าวขึ้น

มู่เฉียนซีกล่าว “ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เจ้าเฒ่านั่นใช้ตกปลา ตอนนี้เจ้าเฒ่านั่นก็ได้ตายไปแล้ว แน่นอนว่าพวกเราจะต้องรีบออกไปในทันที การทดสอบคงใกล้จะจบแล้วกระมัง?”

เสี่ยวหงกล่าว “นายท่าน คำพูดนี้ท่านกล่าวผิดไปเสียแล้ว ที่แห่งนี้นั้นมีศิลาวิญญาณเพลิงเป็นจำนวนอย่างมหาศาล”

“เจ้าสัมผัสได้แล้ว?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม

“แน่นอน!”

“เช่นนั้นแล้วจะรอช้าอยู่ทำไม? ไปกันเถอะ! เจ้าเฒ่านั่นทำให้ข้าตกอยู่ในอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน ข้าจะต้องกวาดทั้งเมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้ให้สะอาดเกลี้ยงเกลาถึงจะถูก!”

เสี่ยวหงกล่าวอย่างเห็นด้วยยิ่งนัก “แน่นอนว่าจะต้องกวาดไปให้หมด!”

เมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์มีคลังสมบัติอยู่มากมาย ถึงแม้ว่าประตูใหญ่จะปิดเอาไว้สนิทแต่ขอแค่เพียงชิงอิ่งได้ลงมือ ประตูใหญ่นี้ก็พร้อมที่จะแตกสลายได้ราวกับก้อนเต้าหู้

บึ้ม!

ประตูบานนั้นได้ถูกเปิดออก ที่ด้านในห้องแห่งนั้นมีศิลาวิญญาณเพลิงกองพะเนินอยู่เต็มห้อง มันช่างมากมายยิ่งนัก

เสี่ยวหงกล่าวอย่างตื่นเต้น “เก็บเอาไว้ เก็บเอาไว้! รีบเก็บไปเร็วเข้า!”

มู่เฉียนซีเก็บศิลาวิญญาณเพลิงเหล่านี้ไปโดยไม่เหลือไว้แม้แต่ชิ้นเดียว จากนั้นก็กล่าว “ไปต่อ…”

มู่เฉียนซีและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของนางนั้นเหมือนกับโจรก็มิปาน ได้กวาดเอาศิลาวิญญาณเพลิงในเมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไปเสียจนหมดเกลี้ยง

ที่แห่งนี้ก็ไม่มีสิ่งอื่นใด แต่ทว่าศิลาวิญญาณเพลิงนั้นกลับมีอยู่อย่างมากมายจนน่ากลัว มากเสียจนนางสามารถที่จะเอาไปสร้างเมืองเมืองหนึ่งได้แล้ว

อู๋ตี้กล่าว “นายท่าน นี่เป็นคลังสมบัติสุดท้ายของเมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้ารู้สึกว่าในที่แห่งนี้มีพลังวิญญาณธาตุไฟที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จะเข้าไปหรือไม่?”

มู่เฉียนซีพยักหน้ากล่าว “มาถึงที่นี่แล้วก็แน่นอนว่าจะต้องเข้าไปสักครั้ง”

มู่เฉียนซีเดินเข้าไป แต่สิ่งที่เห็นนั้นกลับมิใช่ศิลาวิญญาณเพลิงกองหนึ่ง หากแต่เป็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีความสูงพอ ๆ กับตัวมนุษย์ ลำต้นของมันนั้นเป็นสีแดง

มู่เฉียนซีกล่าว “นี่คือต้นภูตไฟ มันมีของเช่นนี้อยู่จริง ๆ”

เสี่ยวหงเองก็ตะลึงค้าง “โอ้สวรรค์ มีของเช่นนี้อยู่ เช่นนั้นแล้วศิลาวิญญาณเพลิงก็เป็นขยะไปโดยสิ้นเชิง นี่สิถึงจะเป็นของชั้นยอด! ชั้นยอด…”

อู๋ตี้ก็แทบจะลืมภาพลักษณ์และน้ำลายไหลออกมาแล้ว มู่เฉียนซีกล่าวอย่างพึงพอใจ “นี่เป็นของดีจริง ๆ”

อู๋ตี้กล่าว “นายท่าน ที่ด้านล่างต้นไม้นั่นดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่าง”

มู่เฉียนซีเข้าไปดูที่ด้านข้างของต้นภูตไฟก็พบว่ามีแผ่นเห็ลกสีดำที่คุ้นตาอยู่หนึ่งแผ่น

มู่เฉียนซีก้มหน้าและเอื้อมมือไปหยิบแผ่นเหล็กแผ่นนั้นมา ด้วยแสงที่ส่องมาจากต้นภูตไฟนางก็ได้เห็นว่าบนแผ่นเหล็กนั้นปรากฏร่องรอยขึ้นมา

นางจึงได้หยิบแผ่นเหล็กอีกแผ่นหนึ่งออกมา แผ่นเหล็กในมือของนางก็มีรูปรูปหนึ่งปรากฏขึ้นมา

มู่เฉียนซีตะลึงค้าง มันคือแผนที่!

นางได้จดแผนที่ที่ปรากฏขึ้นมานี้เอาไว้ จากนั้นก็ได้นำต้นภูตไฟเข้าไปปลูกเอาไว้ในมิติของอาถิง

มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “นึกไม่ถึงเลยว่าที่แห่งนี้นอกจากจะมีอาหารของเสี่ยวหงแล้ว ยังมีสิ่งให้ตื่นตาตื่นใจอีก”

เดี๋ยวกลับไปแล้วจะต้องศึกษาดูภาพนี้เสียให้ดีสักหน่อย

แต่ตอนนี้ออกไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!

“ไปกันเถอะ!”

ในตอนที่ชิงอิ่งเข้ามานั้นได้ระเบิดหนทางเข้ามาเส้นหนึ่ง พวกมู่เฉียนซีจึงออกไปได้อย่างสบาย ๆ

อู๋ตี้กล่าวขึ้น “เจ้าเฒ่านั่นยังจะมาพูดอีกว่านายท่านจะติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต มันช่างเฒ่าจนเลอะเลือนเสียจริง ที่แห่งนี้จะไปกักขังนายท่านเอาไว้อยู่ได้อย่างไร?”

ชิงอิ่งกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “มีข้าอยู่ ไม่มีใครสามารถที่จะทำร้ายกักขังเฉียนได้”

หลังจากที่ออกจากเมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์แล้ว มู่เฉียนซีก็ได้พบกับผู้ที่มาเข้าร่วมทดสอบจำนวนไม่น้อย

ก่อนหน้านี้ที่นางจะเข้ามาในเมืองเพลิงศักดิ์สิทธิ์ คนเหล่านี้ก็ได้มุ่งเข้ามาหาเรื่องเจ็บตัว

แต่ในตอนนี้ทันทีที่พวกเขาเห็นมู่เฉียนซีก็เหมือนดั่งได้ถูกตามล่าก็มิปาน พวกเขาได้วิ่งหนีอย่างสุดกำลัง

โบราณสถานแห่งเพลิงนี้ได้ถูกเปิดขึ้นอีกครั้งแล้ว และการทดสอบก็กำลังจะจบลง

มู่เฉียนซีเป็นคนแรกที่ก้าวออกมาจากโบราณสถานแห่งเพลิงคนอื่น ๆ นั้นก็ได้รีบตามกันออกมา

ในตอนนี้ธิดาศักดิ์สิทธิ์และข่งชัวที่อยู่ในฐานะผู้คุมสอบก็ยังมิได้โผล่หน้าออกมา แต่กลับให้ผู้อื่นนั้นเป็นผู้ตรวจสอบคะแนนการทดสอบครั้งนี้

พวกเขากล่าว “นำศิลาวิญญาณเพลิงที่พวกเจ้าได้มาออกมาวางไว้ที่นี่ จากนั้นก็จะเริ่มการจัดอันดับรายชื่อ!”

พวกเขาได้นำภาชนะทรงกระทะสีแดงใบใหญ่วางไว้ด้านหน้าพวกเขา

“ข้าจัดการเอง!”

“ข้า…”

“……”

ผู้เข้าร่วมสอบแทบจะรอไม่ได้ที่จะเข้าไปส่งมอบศิลาวิญญาณเพลิง เมื่อนำเอาศิลาวิญญาณเพลิงไปใส่เอาไว้ในนั้นมันก็สามารถที่จะวัดจำนวนออกมาได้ในทันที

“หวงลี่ เก้าสิบก้อน!”

“จางหม่า หนึ่งร้อยสามสิบก้อน!”

“……”

มู่เฉียนซีต่อแถวอยู่ข้างหลังสุดอย่างไม่กังวลใจเลยแม้แต่น้อย รอจนได้นับจำนวนของทุกคนจนเสร็จสิ้นรู้ดีแล้ว มู่เฉียนซีก็ได้นำศิลาวิญญาณเพลิงออกมากองหนึ่ง

นางนำศิลาวิญญาณเพลิงออกมากองหนึ่ง และมันได้ทำให้กระทะใบใหญ่นั้นเต็มไปในทันที

“มู่หรงเฉียนเยี่ย ห้าหมื่นก้อน!”

ในตอนนี้ทุกคนต่างล้วนตะลึงเสียจนเบิกตากว้างโพลง

ห้าหมื่นก้อน ทำไมถึงได้มากมายเช่นนี้

ก่อนหน้าที่เขาจะนำศิลาวิญญาณเพลิงมาวาง อย่างมากที่สุดก็มีเพียงห้าร้อยก้อนเท่านั้น

ทันทีที่เขาเข้ามามันก็ได้เพิ่มมากขึ้นไปเป็นสิบเท่า

ศิลาวิญญาณเพลิงมีแค่เพียงที่โบราณสถานแห่งเพลิงเท่านั้นถึงจะมีได้ เช่นนั้นแล้วจะไม่มีการโกงการทดสอบอย่างแน่นอน

ผลการตรวจสอบออกมาแล้ว จากนี้ไปจะเริ่มทำการเรียงลำดับรายชื่อ!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามู่เฉียนซีคือที่หนึ่งในการทดสอบรอบที่สามนี้

พวกเขามองไปที่มู่เฉียนซีอย่างตกตะลึง เขาทำได้แล้วจริง?

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบสองรอบก่อนหน้านี้ แต่ทว่าในรอบที่สามนี้กลับเป็นผู้ที่เก่งกาจที่สุดในบรรดาพวกเขาที่ได้คะแนนมากกว่าผู้อื่นเป็นร้อยเท่า

นี่มันวิปริต!

“ต่อไปจะเริ่มประกาศรายชื่อผู้ที่สามารถอยู่ในตำหนักตงจี๋ได้”

“มู่หรง……”

ในตอนที่ชื่อปลอมของมู่เฉียนซีกำลังจะถูกกล่าวขึ้นนี่เอง เสียงอันอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็ได้ลอยมา “ช้าก่อน!”

เงาร่างสีขาวเงาหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าเหล่าผู้คน พวกเขากล่าวอย่างตกตะลึง “เป็นท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์!”

“ท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว”

“ก่อนที่จะไปสามารถได้พบหน้าท่านธิดาศักดิ์สิทธิ์สักครั้ง ถึงต่อให้ต้องตกรอบไปก็คุ้มค่าแล้ว!”

ไป๋เหยียนเอ๋อร์รีบตามมาอย่างรวดเร็ว แต่ข่งชัวที่พันลูกตาไว้ถึงครึ่งใบหน้านั้นกลับเชื่องช้าลงไปไม่น้อย

ทุกย่างที่ก้าวเดิน เขานั้นเจ็บปวดเสียจนใบหน้าแทบจะบิดเบี้ยวไปหมดแล้ว

สายตาของไป๋เหยียนเอ๋อร์จับจ้องไปที่ตัวของมู่เฉียนซี “มู่หรงเฉียนเยี่ยไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าตำหนักตงจี๋ เขาไม่ผ่านการทดสอบในครั้งนี้!”

ทุกคนต่างเกิดความโกลาหลขึ้น “ไม่ผ่าน? เป็นไปได้อย่างไร? เห็น ๆ กันอยู่ว่ามู่หรงเฉียนเยี่ยหาศิลาวิญญาณเพลิงได้ตั้งมากมายเช่นนี้”

ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าว “พวกเราผู้คุมสอบได้พบสมบัติล้ำค่าของพลังธาตุไฟและศิลาวิญญาณเพลิงจำนวนมากในโบราณสถานแห่งเพลิง แต่ปรากฏว่ามู่หรงเฉียนเยี่ยเล่นสกปรกลดพลังความสามารถของพวกเรา จากนั้นก็ลงมือฆ่าพวกเรา”

“นอกจากข้ากับข่งชัวแล้ว คนอื่น ๆ ล้วนถูกเจ้าบ้านี่ฆ่าไปเสีย ถึงแม้ว่าข่งชัวเขา…เขา…”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็สะอึกสะอื้นขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นที่เหมือนดั่งน้ำในฤดูใบไม้ร่วงก็ได้มีน้ำตาคลอขึ้นมา

ธิดาศักดิ์สิทธิ์กล่าวเช่นนี้ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ทำให้คนอื่น ๆ เห็นแล้วรู้สึกปวดใจจนแทบทนไม่ไหว

พวกเขาอยากจะดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดแล้วปลอบประโลมเสียให้ดี

ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าว “ท่านข่งชัวก็โดนกระบี่ของเขาเข้าไปกระบี่นึง ใบหน้าและดวงตานั้นได้เสียไปแล้ว ได้รับบาดเจ็บหนักยิ่งนัก แม้แต่หัวหน้านักปรุงยาก็ยังไร้หนทาง”

“และทั้งหมดนี้ก็ล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะเขา” นิ้วอันเรียวยาวของไป๋เหยียนเอ๋อร์ได้ชี้ไปยังมู่เฉียนซี

ร่างกายของนางสั่นสะท้านเล็กน้อย ราวกับว่าจะอ่อนแอล้มลงไปด้วยความเสียใจเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

.

.