ตอนที่ 718 ลงเขา

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 718 ลงเขา
“ดีเลย ฉันก็อยากไปดูที่อยู่อาศัยของมนุษย์อย่างพวกนายอยู่เหมือนกัน!”

เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดดังนั้น ดวงตาของมังกรดำก็เปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น ตั้งแต่เริ่มมีสติปัญญาขึ้นมา มันก็มีชีวิตอยู่บนภูเขาอันกว้างใหญ่นี้เพียงลำพังมาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะว่ายังก่อตันอสูรไม่สำเร็จ ตอนนี้มันก็คงจะออกจากที่นี่ไปพร้อมกับเยี่ยเทียนแล้ว

เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วกำชับว่า “แกต้องตั้งใจบำเพ็ญเพียร อย่าออกไปจากบึงนี่อีกนะ!”

“รู้แล้วละ นายรอฉันเดี๋ยวนึงนะ!”

มังกรดำพลิกร่างกระโจนลงไปในสระน้ำ ผ่านไปครู่เดียวก็ว่ายกลับขึ้นมา แล้วอ้าปากคายหินพลอยที่มีไอปราณเย็นเยียบออกมาสองเม็ด “นี่ยกให้นาย!”

“ที่ก้นบึงยังมีอีกรึเปล่า? เอามาให้ฉันหมดแล้วแกจะฝึกปราณยังไงล่ะ?”

เยี่ยเทียนนิ่งอึ้งไป ตั้งแต่เข้าสู่ระดับเซียนเทียน เขาก็มีความต้องการหินพลอยเหล่านี้ชนิดที่เรียกได้ว่า ยิ่งเยอะยิ่งดี แต่มังกรดำมีการบำเพ็ญสูงส่งกว่าเขาอีก เพราะฉะนั้นมันก็น่าจะจำเป็นต้องใช้หินพลอยเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน

“ตอนนี้ฉันดูดรับพลังงานจากก้นบึงโดยตรงได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้เจ้าสิ่งนี้แล้วละ!” มังกรดำส่ายศีรษะโตๆ ของมัน แล้วยื่นหินพลอยสองเม็ดนั้นให้เยี่ยเทียน

“ได้ อย่างนั้นฉันก็จะขอรับไว้ก็แล้วกัน ปีหน้าในวันเดียวกันนี้ ฉันจะมาหาแกใหม่นะ!” เยี่ยเทียนรู้สึกซาบซึ้งใจ บางครั้งการแสดงความรู้สึกของสัตว์นั้น ยังจะตรงไปตรงมามากกว่ามนุษย์เสียอีก พวกมันไม่มีการวางแผนตลบหลังใดๆ ทั้งนั้น

เยี่ยเทียนรับหินพลอยสองเม็ดนั้นมา ลูบศีรษะของมังกรดำแล้วเริ่มตั้งจิต ปราณแท้แผ่ออกมาจากร่างทีละน้อย แล้วรวมตัวกันปกคลุมร่างของเขาไว้

“โฮก…” เมื่อกลุ่มไอหมอกซึ่งปกคลุมเยี่ยเทียนอยู่นั้นลอยจากไปแล้ว เสียงมังกรคำรามกู่ร้องก็ดังขึ้นมา จนเกิดเสียงสะท้อนไปทั่วเทือกเขา

“วันนี้ในปีหน้าค่อยพบกันใหม่…” กระแสจิตหนึ่งส่งเข้าสู่สมองของมังกรดำ เยี่ยเทียนไม่หันหลังกลับไปอีก กระตุ้นปราณแท้ที่ใต้ฝ่าเท้า ไปจากบึงน้ำมังกรดำในชั่วพริบตา

แม้จะมีปราณแท้โคจรอยู่รอบกาย ไม่ต้องกลัวว่าดาวเทียมที่อยู่บนฟ้าจะตรวจพบ แต่บนฟ้านั้นกระแสลมรุนแรง จึงต้องใช้ปราณแท้มากขึ้นเป็นเท่าตัวในการเหาะเหิน

ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงเหาะขึ้นมาห่างจากพื้นโลกเพียงไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น ร่างกายรู้สึกราวกับไร้น้ำหนัก ไอหมอกกลุ่มนั้นทะยานผ่านทิวเขาไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็ห่างจากบึงน้ำมังกรดำไปไกลหลายสิบลี้แล้ว

“จวงจื่อเคยขี่ลมเหาะเหิน เราขี่เมฆแบบนี้น่าจะเหนือกว่าขี่ลมไปอีกขั้นหนึ่ง?” เมื่อได้เหาะเหินในระยะไกลเช่นนี้เป็นครั้งแรก เยี่ยเทียนจึงรู้สึกอิสระเสรียิ่งนัก ราวกับว่าได้หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งกับฟ้าดิน ช่างเป็นความรู้สึกที่แสนมหัศจรรย์โดยแท้

“ที่วานรขาวสามารถเดินทางร้อยลี้ได้ในชั่วพริบตานั่นน่ะ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง!” ขณะที่กำลังใช้จิตควบคุมปราณแท้รอบกาย เยี่ยเทียนก็ใช้สมาธิพิจารณาความรู้สึกที่ได้รับไปด้วย

เขาพบว่า วิชาเหาะเหินข้ามทวีปเช่นนี้แท้จริงแล้วเป็นการอาศัยประโยชน์จากพลังลม ปราณแท้ของเขาเปรียบได้กับพวงมาลัยที่ใช้ควบคุมทิศทางในการเหาะเหิน ส่วนพลังในการขับเคลื่อนนั้น ก็คือกระแสลมที่มีอยู่ทั่วไปตามบริเวณภูเขานั่นเอง

ยิ่งเหาะสูงเท่าไร ความเร็วของลมก็ยิ่งสูงขึ้นไปด้วย และกระแสลมในอากาศก็ไม่ได้พัดไปเพียงทิศทางเดียวเท่านั้น หากเข้าใจในหลักการเหล่านี้แล้ว ก็จะสามารถเหาะทะยานท่ามกลางหมู่เมฆ และอ่านความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง!

“เอ๊ะ? บนเขานี่ทำไมถึงมีสีเขียวได้ล่ะ?”

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า เมฆหมอกที่ก่อขึ้นจากปราณแท้กลุ่มนั้นก็พาเยี่ยเทียนออกจากส่วนลึกของภูเขาฉางไป๋ซาน มาถึงจุดที่เคยมาเก็บหญ้าคืนวิญญาณเมื่อครั้งก่อน แต่ภาพที่ปรากฏแก่สายตากลับทำให้เขาต้องตกตะลึง

ฤดูหนาวที่ภูเขาฉางไป๋ซานนั้นยาวนานกว่าที่อื่นๆ โดยจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมไปจนถึงช่วงเดือนมีนาคมในปีถัดไป ภูเขาทั้งลูกจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะมากมายมหาศาล จนกระทั่งถึงเดือนเมษายนแล้ว พืชพรรณต่างๆ จึงจะค่อยๆ ฟื้นคืนชีพ

แต่บริเวณเบื้องล่างของเยี่ยเทียนนั้น หิมะกลับละลายไปหมดแล้ว บนพื้นดินเริ่มมีสีเขียวชอุ่มปกคลุม ดอกไม้ป่าบางชนิดก็กำลังเบ่งบาน ผืนป่าไป๋ฮว่าเริ่มแตกยอดอ่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิที่กำลังกลับมา

“ในเขตภูเขาหิมะยังไม่ละลาย นอกเขตภูเขาฤดูฝนกำลังมา เรา…เราเร้นกายไปนานขนาดไหนกันเนี่ย?”

เยี่ยเทียนเกิดความรู้สึกแตกตื่นขึ้นมาในใจ ตอนที่เขาเดินทางมาที่ภูเขานั้นเพิ่งจะเป็นช่วงต้นเดือนธันวาคมอยู่เลย ตามเหตุผลแล้วตอนนี้ภูเขาฉางไป๋ซานก็น่าจะกำลังอยู่ในช่วงที่หนาวที่สุด ไม่น่าจะปรากฏสภาพเช่นนี้ได้เลย

“เวรละ ผ่านไปหลายเดือนแล้วจริงๆ รึเนี่ย?”

เมื่อเดินทางห่างจากเขตภูเขาไปได้อีกระยะหนึ่ง เยี่ยเทียนก็ร่ำร้องขึ้นมาในใจ ทิวทัศน์สีเขียวที่ปรากฏแก่สายตาทำให้เขารู้ว่า ระหว่างที่เขาสลบไปคราวนี้ เวลาได้ผ่านไปหลายเดือนแล้ว

“แม่กับชิงหย่าจะเป็นห่วงกันขนาดไหนแล้วก็ไม่รู้”

เยี่ยเทียนรู้สึกกังวลแต่ก็จนปัญญา ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า คำกล่าวของคนโบราณที่ว่า เวลาบนเขาหนึ่งวันเท่ากับเวลาบนโลกหนึ่งพันปีนั้นหมายความว่าอย่างไร

ตอนที่เขาเก็บตัวฝึกปราณในบ้านที่กรุงปักกิ่งเมื่อก่อนหน้านี้ เวลาห้าวันได้ผ่านไปในชั่วพริบตา ส่วนคราวนี้ก็ผ่านไปตั้งหลายเดือนแล้ว แต่เยี่ยเทียนกลับรู้สึกราวกับเพิ่งจะขึ้นเขาไปเมื่อวานนี้เอง ไม่ได้รู้สึกถึงเวลาที่เคลื่อนผ่านไปเลยแม้แต่น้อย

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็ลงมาหยุดอยู่ที่หน้ากระท่อมไม้ของหูหงเต๋อ เขาใช้จิตสำรวจบริเวณโดยรอบในรัศมีร้อยเมตรก่อน แล้วจึงเก็บปราณแท้ที่โคจรอยู่รอบกายเข้าสู่ร่าง

ตอนแรกเยี่ยเทียนตั้งใจจะไปหาซ่งฉ่างฉางคนนั้นที่สถานีป่าไม้ก่อน เพื่อให้เขาช่วยส่งเยี่ยเทียนกลับไปที่เขตเมือง แต่ตอนนี้เขากลับเปลี่ยนใจแล้ว เพราะเขาคงจะอธิบายไม่ได้แน่ๆ ว่าเขาใช้ชีวิตผ่านฤดูหนาวบนภูเขามาได้อย่างไร

“เอ๊ะ? เหล่าหูกลับมาแล้วหรือ?”

เมื่อเปิดประตูกระท่อม เยี่ยเทียนก็เห็นกระดาษฝากข้อความที่วางอยู่บนโต๊ะทันที “เยี่ยเทียน ลงเขาแล้วไปหาเสี่ยวเซียนเลยนะ ที่บ้านเรียบร้อยดี ไม่ต้องห่วง!”

แม้ว่าตัวหนังสือจะเขียนอย่างบิดๆ เบี้ยวๆ แต่กลับเปี่ยมด้วยพลัง มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นลายมือของหูหงเต๋อ เมื่อเห็นข้อความบนกระดาษ เยี่ยเทียนก็โล่งอกขึ้นมาทันที ในเมื่อมีหูหงเต๋อช่วยกระจายข่าวให้ แม่ของเขาและคนอื่นๆ ก็คงจะไม่ได้เป็นห่วงกันมากนัก

“เอ๊ะแปลกจริง เราอยู่บนภูเขาไปตั้งหลายเดือน ทำไมไม่เห็นจะรู้สึกหิวสักนิดเลยล่ะ?”

เมื่อเยี่ยเทียนกวาดสายตาผ่านเนื้อตากแห้งที่แขวนไว้ในกระท่อม ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในสมองทันที ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้อย่าว่าแต่ข้าวเลย แม้แต่น้ำสักอึกก็ไม่ได้ดื่มเลยด้วยซ้ำ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็ตั้งจิตสำรวจตรวจดูภายในร่างกายของตัวเองอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็มีสีหน้าชนิดที่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“ที่แท้กลิ่นเหม็นจากตัวเราตอนที่ฟื้นขึ้นมาก็มีต้นเหตุมาจากตรงนี้เองรึ?”

เยี่ยเทียนพบว่า ภายในร่างของเขานั้นอย่าว่าแต่อาหารเลย แม้แต่ของเสียที่อยู่ในลำไส้ยังถูกขับออกนอกร่างกายจนหมดเหมือนเป็นการขับพิษ ลำพังแค่ปราณแท้ที่กำเนิดในจุดตันเถียนก็เป็นพลังงานเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกายแล้ว

“ท่าทางเราคงจะไม่ต้องการอาหารอย่างปุถุชนคนธรรมดาแล้วละนะ…”

เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วอดยิ้มเจื่อนๆ ไม่ได้ เขาไม่รู้แล้วว่า ตัวเขานี้ยังถือว่าเป็นคนปกติอยู่หรือไม่ เพราะแม้กระทั่งปัจจัยขั้นพื้นฐานที่สุดในการดำรงชีวิตเขาก็ไม่ต้องการแล้ว

ดูจากอาหารที่หูหงเต๋อเก็บไว้ในกระท่อม มีแม้กระทั่งอาหารกระป๋องและขนมปังกรอบที่ใช้กันในกองทัพ คาดว่าคงจะเตรียมไว้ให้เขาแน่นอน แต่เยี่ยเทียนกลับไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิด

ขณะนั้นเป็นยามเที่ยงตรง แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้รีบที่จะเดินทางเข้าเมือง เขาพักผ่อนในกระท่อมไม้หลังนั้นก่อน จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดแล้ว เขาถึงจะปล่อยปราณแท้ออกมาปกคลุมตัวเองไว้ แล้วเหาะเหินไปยังตัวเมืองฉางไป๋

“ถ้ามนุษย์ทุกคนปลดปล่อยศักยภาพของตัวเองออกมาได้แบบเดียวกับเรา อย่างนั้นโลกนี้ก็คงจะไม่มีมลพิษแล้วละนะ!”

แม้ว่าเมืองฉางไป๋จะอยู่ท่ามกลางทิวเขาล้อมรอบ แต่เมื่อเข้าสู่เขตตัวเมืองแล้ว เยี่ยเทียนกลับไม่สัมผัสถึงอากาศที่สะอาดสดชื่นแบบนั้นเลย บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยควันจากท่อไอเสียรถยนต์ จนเขาต้องปิดผนึกรูขุมขนทั่วร่างไว้

บ้านของหูหงเต๋อหลังนั้นตั้งอยู่ที่ชานเมือง ด้านหลังอิงกับภูเขา เยี่ยเทียนลอยร่างลงมาจากบนภูเขา เก็บปราณแท้แล้วจึงไปกดกริ่งที่ประตูบ้านหลังนั้น

“ใครน่ะ?” เสียงของหูเสี่ยวเซียนดังออกมาจากหลังประตู

“เยี่ยเทียน? นาย…นายกลับมาจากภูเขาแล้วเหรอ?”

หลังจากหูเสี่ยวเซียนเปิดประตูออก ดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นมาทันที แล้วเริ่มตะโกนโหวกเหวกว่า “คุณปู่คะ เยี่ยเทียนกลับมาแล้วค่ะ เยี่ยเทียนกลับมาแล้ว!”

“นี่เราเป็นขวัญใจประชาชนขนาดนั้นเลยรึเนี่ย?” เยี่ยเทียนยืนอยู่หน้าประตู ยิ้มแหยๆ พลางลูบจมูกตัวเอง เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นครอบครัวของหูหงเต๋อกำลังนั่งล้อมวงกันในห้องอาหารเตรียมรับประทานอยู่พอดี

“เยี่ยเทียน อุตส่าห์ลงเขามาได้สักทีนะ นี่ถ้ายังไม่ลงมาอีกละก็ เหล่าหูจะหมดความอดทนก่อนแล้วนะ!”

เมื่อได้ยินเสียงของหลานสาว หูหงเต๋อก็ทิ้งตะเกียบแล้วเข้ามาต้อนรับทันที อารมณ์ที่ปรากฏบนใบหน้ายังรุนแรงยิ่งกว่าหูเสี่ยวเซียนเสียอีก

“เหล่าหู พลังฝีมือของคุณมั่นคงขึ้นแล้วนี่!” เยี่ยเทียนมองไปที่หูหงเต๋อ แล้วเอ่ยถามว่า “นี่วันนี้วันที่เท่าไหร่เดือนอะไรแล้วนะ?”

“เธอไม่รู้หรือ?” หูหงเต๋อมองเยี่ยเทียนอย่างกับเห็นผี แล้วโวยวายว่า “ช่วงที่ผ่านมานี่เธอใช้ชีวิตยังไง? ไม่รู้เลยรึไงว่าผ่านไปกี่วันแล้ว?”

เยี่ยเทียนตอบอย่างขุ่นเคือง “ไม่เห็นต้องถามเลย ถ้าผมรู้แล้วจะถามคุณทำไมเล่า?”

“พ่อครับ เชิญคุณเยี่ยมาร่วมโต๊ะอาหารกับเราด้วยสิครับ”

เมื่อเห็นพ่อของตัวเองมัวแต่ยืนคุยกับเยี่ยเทียนอยู่ที่ประตู หูต้าจวินผู้เป็นบิดาของหูเสี่ยวเซียนจึงเดินเข้าไปหา ปกติเขาอยู่แต่ในที่ทำงาน จึงไม่รู้เรื่องที่เยี่ยเทียนไปอยู่บนเขาตามลำพังมาหลายเดือน

“มา กินอะไรก่อนเถอะ!”

หูหงเต๋อดึงเยี่ยเทียนเข้ามาใกล้ แล้วกระซิบบอกว่า “วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบ เดือนมีนาคม ปี 2001 แล้วนะ เธอน่ะอยู่บนเขาไปตั้งสามเดือนกับอีกยี่สิบวันเต็มๆ แน่ะ!”

“อะไรนะ? นานขนาดนั้นเลย?”

แม้ว่าเยี่ยเทียนจะเตรียมใจไว้อยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินคำตอบก็ยังตกตะลึงอยู่ดี จากนั้นก็ทำหน้ากระอักกระอ่วนแล้วถามว่า “ที่บ้านผมเป็นยังไงบ้าง คุณบอกกับทางนั้นไว้ว่ายังไงน่ะ?”

คราวนี้เยี่ยเทียนไม่รู้แล้วจริงๆ ว่าควรจะอธิบายกับแม่และภรรยาอย่างไรดี เพราะตอนแรกเขาบอกไว้ว่า จะไปสักสิบวันสิบห้าวัน แต่ไม่นึกเลยว่า ตัวเลขจะกลับกลายเป็นหนึ่งร้อยสิบวันไปเสียนี่

หูหงเต๋อตอบอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “ไม่เป็นไรหรอก เหล่าหูบอกไปว่าเธอบำเพ็ญเพียรอยู่บนภูเขา แล้วฉันก็ได้เจอกับเธออยู่บ่อยๆ พวกนั้นก็เลยไม่ได้เป็นห่วงอะไรมาก แต่ถ้าเธอยังไม่ลงเขามาอีกละก็ ฉันจะไม่ทนรอแล้วนะ!”

ปรากฏว่า หลังจากหูหงเต๋อนำข่าวที่เยี่ยเทียนเร้นกายฝึกบำเพ็ญไปแจ้งกับทางบ้านตระกูลเยี่ยแล้ว เขาก็เดินทางไปที่ฮ่องกง แต่ผ่านไปได้เพียงยี่สิบกว่าวัน ซ่งเวยหลันก็โทรศัพท์มาซักถามแล้ว

พวกโก่วซินเจียรู้เรื่องที่เกิดขึ้นบนภูเขาหมดแล้ว และยังรู้ด้วยว่า การฝึกบำเพ็ญครั้งนี้มีความสำคัญต่อเยี่ยเทียนมาก ตอนนั้นจึงให้หูหงเต๋อกลับไปที่ภูเขาฉางไป๋ซาน เพื่อที่จะสามารถติดต่อกับบ้านตระกูลเยี่ยได้ทุกเมื่อ

ระหว่างนั้นหูหงเต๋อก็เคยไปที่นอกหุบเขาที่เยี่ยเทียนเร้นกายอยู่แล้ว แต่เขาไม่กล้ารบกวนเยี่ยเทียนที่กำลังเร้นกาย หลังจากเฝ้ารออยู่ตรงนั้นอย่างอดทนได้สองเดือน เขาจึงกลับมารออยู่ที่บ้านแทน

“ดี เหล่าหู คราวนี้ผมติดค้างน้ำใจคุณแล้วละนะ!” เมื่อได้ยินคำตอบของหูหงเต๋อ ในที่สุดเยี่ยเทียนก็วางใจลงได้แล้ว จึงตบบ่าของหูหงเต๋ออย่างแรง

เมื่อหูเสี่ยวเซียนเห็นกิริยาของเยี่ยเทียน ก็อดโวยวายขึ้นมาไม่ได้ว่า “อะไรกัน คุณปู่ฉันออกไปกับนายแค่ครั้งเดียว มือก็หายไปครึ่งข้างเลยนะ…”

“พ่อ ตกลงมือของพ่อไปโดนอะไรมากันแน่ครับ?” หลังจากได้ยินลูกสาวพูดแบบนั้น หูต้าจวินจึงเปลี่ยนสีหน้าไปทันที