นี่คือเด็กหนุ่มวัยสิบหกสิบเจ็ดคนหนึ่ง หลังสยายปีกที่ล้อมด้วยแสงจรัสวายุอสนี รัศมีสายฟ้าลั่นดัง ดึงดูดสายตานัก
‘เป็นผู้แข็งแกร่งเผ่าปีกอสนี ในแดนชัยบูรพาถือเป็นเผ่าใหญ่เผ่าหนึ่ง’ แม่นางเยวี่ยวินิจฉัยที่มาอีกฝ่ายออกเพียงปราดเดียว สื่อจิตอธิบายแก่หลินสวิน
ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มนั่นเหลือบมองศพอสูรตัวนิ่มบนยานสำเภาวูบหนึ่ง ค่อยหันสายตามองพวกหลินสวินแล้วกล่าว “สหายยุทธ์ทุกท่านมีมารยาทแล้ว สัตว์ปีศาจตัวนี้คือเหยื่อที่ข้าเล็งไว้ก่อน ไม่ทราบว่าทุกท่านส่งมอบมันมาได้หรือไม่”
ขณะกล่าวปีกเขาเอ่อท้นรวงอสนี แม้ค่อนข้างเยาว์วัยแต่มีความน่าเกรงขามชวนประหวั่น สง่างามโดดเด่นพอควร
“เจ้าบอกเป็นของเจ้าก็คือของเจ้า ข้อเรียกร้องนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ” หลินสวินเลิกคิ้วกล่าว
“เกินไป? ไม่ ข้าแค่กำลังโน้มน้าวโดยละม่อม” เด็กหนุ่มยิ้ม ท่าทางไม่ตระหนกตกใจ
“เช่นนั้นข้าบอกเจ้าเลยว่าอย่าได้คิด อย่าว่าแต่เจ้า ต่อให้คนใหญ่คนโตเผ่าเจ้ามาก็กล่อมข้าไม่ได้” หลินสวินกล่าว
“เจ้าหมายความว่าอะไร” เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว สีหน้าไม่สบอารมณ์ วายุอสนีทั่วร่างโหมกระหน่ำทำห้วงอากาศม้วนซัดรุนแรง
“ดูไม่ออกรึ พวกเราไม่ต้อนรับเจ้า รีบไปซะ!” โค่วซิงตวาดลั่น
“เหอะๆ ดูท่าข้าคงใจดีเกินไป คิดว่าพูดโน้มน้าวดีๆ ก็พอจัดการเรื่องนี้ได้ ใครเล่าจะคาดคิด ข้ากลับมาเจอคนเถื่อนกลุ่มหนึ่ง” เด็กหนุ่มยิ้มเยาะอวดดียิ่ง วาจาเจือความเยียบเย็นไม่ปกปิดแม้แต่น้อย
“คนเถื่อนหรือ”
หลินสวินยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวดุจหิมะ
เด็กหนุ่มชะงัก ปรามาสกล่าว “ทำไม เจ้าไม่พอใจรึ”
หลินสวินก้าวย่างกลางอากาศ มุ่งไปเบื้องหน้าพลางกล่าว “ข้าสงสัยนักว่าใครให้ความกล้ากับเจ้า ถึงกับกล้าไม่เห็นใครในสายตาเช่นนี้!”
ตูม!
ทั่วร่างเขาส่องประกายกำราบไปเบื้องหน้า
“รนหาที่ตาย!” เด็กหนุ่มยิ้มเยาะ ไม่เห็นเขาเคลื่อนไหว แต่ในมือปรากฏธนูยักษ์อสนีสีเงินคันหนึ่ง
ซูม!
ศรอสนีปานฟ้าคำรามสายหนึ่งโฉบพุ่งออกมา เจือไอชั่วร้ายทั่วฟ้า ฉีกกระชากห้วงอากาศ
หลินสวินไม่แม้แต่หลบหลีก ยื่นแขนคว้าจับแผ่วเบาก็ยึดศรไว้มั่น พลังชวนประหวั่นทั่วลูกธนูถูกกลืนกินมลายสิ้นชั่วพริบตา
“เจ้า…” เด็กหนุ่มนัยน์ตาหดรัด รู้ว่าไม่เข้าที
นี่เป็นถึงศรฟ้าคำรามอสนีเงิน สามารถสังหารมหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติได้ แต่ตอนนี้กลับถูกอีกฝ่ายคว้าจับตามสะดวก!
วู้ม…
ทันใดนั้นหลินสวินเงื้อมือสะบัด ศรที่ถูกยึดบินกลับไปไวกว่าความเร็วก่อนหน้าหลายเท่าตัว ส่งเสียงกัมปนาทเสียดหู ประหนึ่งมหาสุริยันเงินยวง อานุภาพน่าสะพรึงกว่าเมื่อครู่หลายเท่านัก
แย่แน่!
เด็กหนุ่มตระหนกจนขนลุก ใช้โล่ฟ้ากำบังโดยไม่ลังเล
ก็ยินเสียงดังสนั่น โล่สีฟ้านั่นพลันแตกละเอียดเป็นละอองแสงลอยล่อง ส่วนเด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บหนัก ปากกระอักโลหิตเกือบดิ่งลงแม่น้ำพรมแดน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร!?” เด็กหนุ่มโกรธจัด สีหน้าคล้ำเขียว
หลินสวินยิ้มเยาะ สิ่งที่เขาไม่หวาดกลัวที่สุดคือการข่มขู่เช่นนี้ กำหมัดพุ่งเข้ากำราบอีกครา
ที่ทำหลินสวินแปลกใจอยู่บ้างคือ เด็กหนุ่มจากเผ่าปีกอสนีนี่เก่งกาจยิ่ง หาใช่ผู้ที่มหายุทธ์ระดับกระบวนแปรจุติทั่วไปสามารถเทียบเทียม ปีกอสนีคู่นั้นส่องแสงระยับ ความเร็วน่าตื่นตะลึงหาใดเปรียบเกือบจะเป็นการเคลื่อนที่ในพริบตา
น่าเสียดาย เจ้าหมอนี่มาเจอหลินสวินซึ่งก่อคลื่นลมในแดนฐิติประจิม บุคคลดั่งเทพมารที่เคยสังหารราชันกึ่งระดับด้วยมือเปล่ามาแล้ว สุดท้ายจึงสู้ไม่ไหว ยืดหยัดได้ไม่กี่อึดใจก็ถูกหลินสวินกำราบด้วยฝ่ามือเดียว เหวี่ยงเขาลงบนดาดฟ้ายานสำเภา
เด็กหนุ่มจมูกปากกบโลหิต เกรี้ยวกราดแทบคลั่ง ส่งเสียงข่มขู่ต่อเนื่อง แต่สุดท้ายเขาก็ต้องลิ้มรสความระทม ถูกหลินสวินสั่งสอนหนักหน่วง ทรมานจนเกือบดับชีวา
“พูดมา เหตุใดต้องชิงซากสัตว์ปีศาจตัวนี้ และเจ้ามาอยู่แถวนี้คิดจะทำอะไร” หลินสวินเอ่ยถาม
เด็กหนุ่มหายใจรวยริน แววตาผูกพยาบาท กัดฟันแน่นไม่เอ่ยวาจา
หลินสวินก็ไม่เกรงใจ สำแดงทัณฑ์ทรมาน ในที่สุดก็บีบจนเด็กหนุ่มพูดความจริง
ที่แท้ส่วนลึกของบริเวณที่เต็มไปด้วยแสงดาวแถบนี้ มีสถานที่คล้ายทะเลสาบแห่งหนึ่ง ภายในไหลหลั่งด้วยกระแสวารีเงินอร่าม วิเศษอัศจรรย์หาใดเปรียบ
ทะเลสาบนั่นเพิ่งปรากฏไม่นานมานี้ เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเร้นลับบ่อยครั้ง ดึงดูดความสนใจผู้แข็งแกร่งไม่น้อย
หลังผ่านการสำรวจ ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นจึงได้ข้อสรุปในท้ายที่สุด ว่าก้นทะเลสาบนั่นซ่อนศิลาอุกกาบาตที่เรียกได้ว่าชิ้นเอก ขนาดประมาณเนินเขาลูกเล็กๆ ส่องประกายเงินยวงถ้วนทั่ว
และปรากฏการณ์ประหลาดลึกลับที่อุบัติกลางอากาศนั่นก็มาจากศิลาอุกกาบาตนี่!
ทว่าข้างๆ ศิลาอุกกาบาตมีสัตว์ใหญ่มหึมาคล้ายตะพาบมังกรตัวหนึ่งเฝ้าดูแล เมื่อใดที่มีคนเข้าใกล้ก็จะถูกสังหารทันที
ด้วยประการฉะนี้ ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งเท่าไหร่กลืนความคั่งแค้น ตายในมือสัตว์ประหลาดตะพาบมังกรนั่น
“พวกเราล่าสัตว์ประหลาดฟ้าดารามาเป็นเหยื่อล่อ ดึงดูดสัตว์ประหลาดตะพาบมังกรนั่นออกไป ค่อยฉวยโอกาสชิงศิลาอุกกาบาตนั่น” เด็กหนุ่มถูกทรมานอนาถ เจ็บปวดจนไม่อยากอยู่ต่อ บอกกล่าวทุกอย่างตามความจริง
“เหยื่อล่อ?” หลินสวินเลิกคิ้ว
“ถูกต้อง พวกเราพบว่าสัตว์ประหลาดตะพาบมังกรนั่นไม่สนใจอะไรเลย ชื่นชอบเพียงกลืนกินสัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่ผิดแปลกเช่นนี้”
พูดถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นอย่างลำบากพลางกล่าว “ที่ข้ารู้ล้วนบอกหมดแล้ว ตอนนี้เจ้าควรปล่อยข้าแล้วกระมัง”
หลินสวินกล่าว “เจ้าคิดว่ายังมีโอกาสรอดหรือ”
เด็กหนุ่มอึ้งงัน ไม่ช้าก็บันดาลโทสะ คำรามอาฆาต “ต่ำช้า หากนายน้อยเผ่าข้ารู้ต้องไม่ปล่อยพวกเจ้าแน่!”
ฟุ่บ!
หลินสวินออกแรงที่นิ้วมือปลิดชีพฝ่ายตรงข้าม
“ข้ารับใช้คนหนึ่งยังแข็งแกร่งเช่นนี้ ‘นายน้อย’ ที่เขาเอ่ยถึงคงเป็นยอดบุคคลรุ่นเยาว์เผ่าปีกอสนี ‘สิงอี่เทียน’” แม่นางเยวี่ยใคร่ครวญอยู่ด้านข้าง
“เขาร้ายกาจมากหรือ” หลินสวินถาม
“ร้ายกาจมาก”
แม่นางเยวี่ยพยักหน้า “คนผู้นี้นับว่าพรสวรรค์โดดเด่น ติดตามฝึกปราณข้างกายสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันผู้หนึ่งแต่เด็ก ทั้งเคยได้รับการชี้แนะจากอริยะผู้หนึ่งด้วยตนเอง พูดได้ว่าเป็นวีรบุรุษแห่งยุคสมัย ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่คนรุ่นเยาว์แดนชัยบูรพา”
“เทียบกับอวี่หลิงคงเป็นอย่างไร”
“ไม่แน่ชัด ข้าแค่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเขามาส่วนหนึ่ง ไม่ได้รู้ชัด ทว่าภายใต้ชื่อเสียงก็ใช่ว่าจะไร้ความจริง หากพบเจอเขาที่นี่คงต้องระวังหน่อย โดยทั่วไปข้างกายบุคคลแห่งยุคเช่นนี้ต้องมียอดฝีมือคอยคุ้มกันแน่”
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย
พวกเขาเข้าไปยังส่วนลึกของพื้นที่นี้ต่อ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม
ทันใดนั้น พลันก้องเสียงตะโกนโหวกเหวกขึ้นแต่ไกล
ก็เห็นที่ห่างออกไปผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งกำลังไล่ตามหมียักษ์สีเงินตัวหนึ่ง
หมียักษ์สีเงินนั่นทรงพลังยิ่ง พลานุภาพน่าพรั่นพรึง ขนทั่วร่างเรืองแสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจรัส ตบฝ่ามือหนึ่งซัดห้วงอากาศแหลกละเอียด
“ทุกคนลุยพร้อมกัน อย่าให้มันหนีได้เด็ดขาด เจ้าเดรัจฉานนี่เพิ่งกลืนศิลาอุกกาบาตขนาดราวพัดใบตาลลงไป เป็นสมบัติชั้นยอด ต้องรีบเร่งฆ่ามันซะ!” มีคนคำราม
เมื่อกล่าวถึงศิลาอุกกาบาต สายตาทุกคนเจิดจ้าขึ้นทันใด
ยิ่งเป็นศิลาอุกกาบาตคุณภาพสูง สมบัติที่ผ่าออกมาก็ยิ่งล้ำค่าและหายาก ยิ่งเป็นศิลาอุกกาบาตชั้นเลิศขนาดราวพัดใบตาล สมบัติที่ผ่าออกมาไม่ว่าเป็นอะไรต้องสามารถขายได้ราคาสูงลิ่ว!
“โฮก…”
ทว่าเหนือความคาดหมายของผู้แข็งแกร่งเหล่านั้น หมียักษ์สีเงินนั่นถูกยั่วโทสะโดยสิ้นเชิง ไม่หลบหนีอีก แต่เปิดฉากจู่โจมกลับ
เหตุการณ์ต่อมายิ่งทำเอาทุกคนใจหาย เงาร่างหมียักษ์สีเงินนั่นกลายเป็นสูงร้อยจั้งในชั่วพริบตา ดุจภูเขายักษ์สีเงินลูกหนึ่ง!
พรูดๆ
แขนมันวาดสะบัด กวาดห้วงอากาศดั่งเสาเหล็กกวาดล้างฟ้าดิน แค่ชั่วพริบตาก็ซัดร่างผู้แข็งแกร่งหลายคนจนแหลก กลายเป็นฝนโลหิตซ่านเซ็น
“ไม่ดีแน่ รีบหนีเร็ว!”
“น่าชังนัก! เจ้าเดรัจฉานนี่ทำไมเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นกะทันหัน”
“มันกำลังหลอกลวง เมื่อครู่จงใจแสร้งอ่อนแอ!”
เหล่าผู้แข็งแกร่งที่เหลือตระหนกระคนขุ่นเคือง ลนลานหมายหลบหลีก
กลับเห็นหมียักษ์สีเงินนั่นกู่ร้องสะท้านฟ้า เปิดฉากโต้กลับและเข่นฆ่า
มองจากที่ห่างไกล ประหนึ่งภูเขาใหญ่สีเงินกำลังเคลื่อนไหว เมื่อใดที่ผู้แข็งแกร่งถูกมันตามทัน ต่างไร้ทางรอด ร่างถูกซัดยับเยิน
กระทั่งสุดท้ายมีแค่ผู้แข็งแกร่งบางตาเจ็ดแปดคนรอดชีวิต คนอื่นล้วนไม่รอด ซากศพเกลื่อนแม่น้ำ
ฮูม…
เมื่อไร้คู่ต่อกร เงาร่างหมียักษ์สีเงินนั่นก็แปรเปลี่ยนเป็นขนาดเท่าตัวคน อ้าปากพ่นศิลาอุกกาบาตสีเงินก้อนหนึ่งออกมา
“ฮึ พวกหน้าโง่กลุ่มหนึ่ง ยังคิดหวังอยากได้ของที่ข้าอมไว้ นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายเองรึ” หมียักษ์สีเงินนั่นหน้าตาปรามาส ปากบ่นไม่หยุด
“เจ้าหมอนี่ดูไปแล้วหยาบกระด้าง ไม่คิดว่าจะเจ้าเล่ห์เช่นนี้” ห่างออกไป แม่นางเยวี่ยประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าหมียักษ์สีเงินจะตีหน้าซื่อ เมื่อครู่เห็นชัดว่าจงใจทำตัวอ่อนแอ ขุดหลุมดักผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก
“ไป ลองไปดูกัน” ยามหลินสวินกล่าวก็ออกเคลื่อนไหว
“ใคร!?” หมียักษ์สีเงินระวังตัว อ้าปากกลืนศิลาอุกกาบาตนั่นลงท้องอีกครา จากนั้นจึงถลึงตาจ้องหลินสวินที่เข้ามาใกล้อย่างเหี้ยมเกรียม
“เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดฟ้าดาราหรือสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้?” หลินสวินประเมินอีกฝ่ายอย่างสนอกสนใจ
หมีขาวตัวยักษ์ขนผิวทั้งตัวเรียบนุ่มสลวย เปล่งประกายขาวดุจหิมะ ร่างท้วมกำยำยิ่ง ยืนอยู่ตรงนั้นตามอารมณ์ มีกลิ่นอายป่าเถื่อนพุ่งปะทะเข้ามา
“ข้า…”
หมียักษ์สีเงินเพิ่งหมายจะตอบ ลูกตาพลันหมุนวนรอบหนึ่ง เปลี่ยนคำพูดใหม่ แค่นเสียงเย็นชากล่าว “เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
“หากเจ้าเป็นสัตว์ประหลาดฟ้าดารา เช่นนั้นก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกฆ่า” หลินสวินกล่าวราบเรียบ
หมียักษ์ขาวเงินตะลึงกล่าว “หากข้าไม่ใช่ล่ะ”
“ก็ต้องตายเช่นกัน”
หลินสวินลูบคาง จ้องอุ้งตีนจ้ำม่ำของมันแล้วกล่าว “ข้ายังไม่เคยชิมอุ้งตีนหมีมาก่อน ไม่รู้รสชาติจะเป็นอย่างไร”
“พูดไปพูดมา สรุปข้าก็ตายอยู่ดี?” หมียักษ์ขาวเงินโกรธจัด อานุภาพดุดัน
“นั่นก็ต้องดูว่าเจ้าให้ความร่วมมือหรือไม่” หลินสวินยิ้มกล่าว “ตัวอย่างเช่น นำศิลาอุกกาบาตในท้องเจ้า…”
พูดไม่ทันจบหลินสวินก็อึ้งงัน เพราะชั่วพริบตานี้ หมียักษ์ขาวเงินนั่นพลันหนีหายไปราวหมอกควัน!
“ฮ่าๆๆ เจ้าหน้าโง่! คิดว่าข้าจะโง่เหมือนเจ้ารึ หากไม่รู้สึกว่าเจ้าอันตรายอยู่บ้าง ข้าคงซัดฝ่ามือฆ่าเจ้าไปนานแล้ว!”
ห่างออกไป แว่วเสียงหัวเราะลั่นของหมียักษ์ขาวเงินนั่น ดูได้ใจและสับปลับอย่างเห็นได้ชัด
ยามที่คิดจะไล่ตาม อีกฝ่ายก็หนีหายไร้ร่องรอยไปแล้ว เงาร่างหายไปในห้วงอากาศไพศาล
หลินสวินมุมปากกระตุกอย่างยากสังเกตเห็น เขาอึ้งตะลึงเช่นกัน ความเร็วในการหนีของหมีขาวยักษ์น่าตื่นตะลึงหาใดเปรียบ แทบจะเทียบได้กับการเคลื่อนย้ายในพริบตา น่าอัศจรรย์นัก
มองไกลออกไปอีก พวกแม่นางเยวี่ยต่างกำลังกลั้นหัวเราะอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าพิลึกพิลั่น ใครเล่าจะคาดคิด เทพมารหลินที่ป่าเถื่อนหาใดเปรียบจะยอมจำนนต่อหน้าหมีขาวยักษ์ตัวหนึ่ง?
………………..