“ฉันไม่ต้องการให้แกมาเป็นวัวเป็นม้าหรอก ฉันถามแก เมื่อกี้แกเรียกใครว่าไอ้แก่ เรียกเขาเหรอ?” เฉินโม่ชี้ไปยังหยูเปียวที่คลานอยู่บนพื้น ถามด้วยสีหน้าที่เย็นชา

หยูจุนโม่หน้าเขียวไปทั้งหน้า เฉินโม่ทำเหมือนจะแกล้งเขาให้ตาย!

นั่นมันพ่อแท้ๆของเขานะ ถ้าหากเขาว่าพ่อของตัวเองเป็นไอ้แก่ กลับไปไม่ถูกพ่อถลกหนังเหรอ?

“ผู้อาวุโส คุณก็ไว้ชีวิตผมเถอะ พวกเราจะถอยออกไปจากที่นี่ทันที คุณอยากได้สำนักนี้ก็เอาไปเลย คุณอยากให้ผมทำอะไรผมก็ยินดี ขอเพียงคุณไว้ชีวิตพวกเรา!” หยูจุนโม่ถูกเฉินโม่ทำให้กลัวจนเสียขวัญไปแล้ว คนเดียวใช้เวลาหนึ่งนาที จัดการนักบู๊ห้าสิบกว่าคนให้คลานอยู่บนพื้น นี่มันต้องเก่งขนาดไหน?

ต้องรู้ว่านักบู๊พวกนี้ถือเป็นพลังความแข็งแกร่งทั้งหมดของตระกูลหยู

ความสามารถของเฉินโม่นั้นแข็งแกร่งถึงขนาดไหน?

เฉินโม่ยิ้มๆแล้วพูด “ไว้ชีวิตแก? ได้ แต่แกต้องตอบถามฉันก่อน”

หยูจุนโม่มีความคิดที่อยากจะตายแล้ว ถ้าเขาตอบคำถามของเฉินโม่ ต่อให้มีชีวิตรอด กลับไปชีวิตก็เหมือนตายทั้งเป็น!

“ผู้อาวุโส ขอร้องล่ะ ได้โปรดเมตตาด้วย ไว้ชีวิตผมเถอะ!” หยูจุนโม่ทำได้เพียงร้องขออย่างโขกหัวไม่หยุด คำพูดประโยคนั้นเขาไม่กล้าพูดมันออกมาเลย

เฉินกั๋วเหลียงทนดูไม่ได้แล้ว พูดอย่างราบเรียบ “พอเถอะเสี่ยวโม่ อย่าทำให้เขาลำบากใจเลย ถ้าหากพวกมันสามารถรับประกันว่าจะไม่มาทำชั่วที่นี่อีก ก็ปล่อยพวกมันไปเถอะ!”

เฉินโม่คิดในใจ ดูเหมือนคุณปู่จะจิตใจดีเกินไปแล้ว ไม่เข้าใจความโหดร้ายของโลกฝึกบู๊เลย

วันนี้ต่อให้เขาปล่อยคนพวกนี้ของตระกูลหยูไป พวกเขาก็จะไม่มีความซาบซึ้งบุญคุณเลย อีกทั้งเมื่อกลับไปแล้วก็จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ตามหายอดฝีมือเพื่อมาช่วยพวกเขาแก้แค้น

เพียงแต่ว่าเฉินโม่ไม่ได้เกรงกลัว ไม่อยากขัดความเห็นของเฉินกั๋วเหลียง

เฉินโม่เอาเท้าออก พูดอย่างเย็นชา “คำพูดของปู่ฉันพวกแกได้ยินกันแล้วใช่มั้ย ถ้าหากครั้งหน้าตกอยู่ในกำมือฉันอีก ตายสถานเดียว”

“ไป!”

ทุกคนรีบลุกขึ้น หยูจุนโม่เอื้อมมือไปพยุงหยูเปียว และพาหนีกันไปอย่างว่องไว

เฉินเยว่มองไปทางเฉินโม่ แววตาเต็มไปด้วยความจนใจ “น้องเฉินโม่ ฉันรู้สึกว่าเราควรที่จะอธิบายเรื่องของโลกฝึกบู๊ให้คุณปู่ฟังหน่อยแล้ว”

เฉินโม่พยักหน้า “งั้นก็ต้องรบกวนพี่สาวแล้ว”

“นี่…….” เฉินเยว่อึ้งไปเลย ความหมายของเธอคือให้เฉินโม่อธิบายให้เฉินกั๋วเหลียง แต่เฉินโม่กลับโยนเผือกร้อนกลับมาให้เธอ

หลังจากที่คนของตระกูลหยูไปแล้ว เป็นดังที่เฉินโม่คาดการณ์เอาไว้ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ซาบซึ้งบุญคุณของเฉินโม่ กลับรู้สึกว่าถูกหยามเกียรติ

“ท่านผู้นำ ตอนนี้เราควรทำไงดี? พลังของไอ้หนุ่มนั่นแข็งแกร่งเกินไป!” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งพูดอย่างถอนหายใจ ตอนนี้คิดถึงฝีมือเฉินโม่ ในใจยังมีความกลัวหลงเหลืออยู่เลย

หยูเปียวสีหน้าขุ่นมัว แต่ก็กลัวความสามารถของเฉินโม่อย่างมาก “แค้นนี้ไม่ชำระไม่ได้แล้ว แต่ว่าถ้าจะอาศัยกำลังของตระกูลหยูเรา ไม่มีทางที่จะสู้กับไอ้หนุ่มนั่นได้ ดูท่าครั้งนี้ต้องรบกวนให้ตระกูลตู๋กูออกโรงช่วยแล้ว”

ชายชราตกใจ แววตาเผยให้เห็นถึงความดีใจ “ตระกูลตู๋กูเป็นหนึ่งในแปดตระกูลของโลกบู๊โบราณ แค่ให้ผู้อาวุโสแดนเทพคนใดคนหนึ่งออกโรง ไอ้หนุ่มต้องตายอย่างแน่นอน”

ชายชราที่พูดเอาใจแบบนี้ ทำให้หยูเปียวที่อารมณ์ขุ่นเคืองอยู่ ดีขึ้นมาก

“แม้ว่าตระกูลตู๋กูกับตระกูลหยูจะเป็นญาติที่เกี่ยวดองกัน อย่างไรเสียนั่นมันเป็นความสามารถของตระกูลอื่น มีเพียงแต่ผู้แข็งแกร่งแดนเทพของเราออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตันเอง” ถึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง หยูเปียวถอนหายใจ ก็ไม่รู้เป็นเพราะว่าเศร้าจริงหรือแกล้งทำเป็นคิดมาก

พูดจบ หยูเปียวหันหน้าไปมองลูกชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าเย็นชา

หยูจุนโม่ที่สั่นมาตลอดทาง กลัวว่าจะถูกพ่อตำหนิที่เขาร้องขอให้เฉินโม่ไว้ชีวิต

เมื่อเห็นสายตาที่มองมาของพ่อ ทันใดนั้นก็ตกใจจนเข่าอ่อน คุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้เสียงดัง “คุณพ่อครับ ตอนนั้นผมรีบร้อนไปหน่อย ดังนั้นถึงทำเรื่องที่ทำให้ตระกูลหยูของเราอับอาย คุณพ่อโปรดอภัยให้ด้วย”

“ลุกขึ้นเถอะ ลูกไม่ได้มอบสองคำนั้นให้พ่อ มันก็ถือว่าทำได้ดีแล้ว เรื่องที่ร้องขอไอ้หนุ่มนั่น พ่อไม่โทษลูกหรอก!”