บทที่ 870 เขายังคงแสดงละครตบตา

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 870 เขายังคงแสดงละครตบตา

สภาวะไร้น้ำหนักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

รู้ตัวอีกที หลินเป่ยเฉินก็มายืนอยู่เบื้องหน้าตรอกดำมืดที่มีฝนพรำ

สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง

แสงสว่างเลือนราง

นับเป็นภาพที่สวยงาม

สิ่งเดียวที่ขาดหายไปคือโฉมงามที่ยืนตากฝน

“นี่คงเป็นตรอกพิรุณสินะ?”

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปในตรอกอย่างแช่มช้า

หยาดฝนที่โปรยปรายลงมาให้ความรู้สึกเสมือนของจริง

เช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ

นี่หรือคือความสามารถของผู้สร้างค่ายอาคมระดับเซียน?

คิดไม่ถึงเลยว่าในเจดีย์เซียนเหยียบเมฆจะมีค่ายอาคมที่สมจริงถึงขนาดนี้ บรรยากาศที่ตนเองกำลังพบเจอ ทำให้เด็กหนุ่มนึกถึงห้องใต้ดินของบริษัทอัมเบรลลาในเกม Resident Evil ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

นี่หมายความว่าอารยธรรมของโลกแห่งวรยุทธ์ ก็มีความก้าวหน้าไม่ต่างไปจากโลกมนุษย์ของเขาเลยทีเดียว

หลินเป่ยเฉินเดินฝ่าสายฝนเข้าไปในตรอกมืด

ร่างของเขาปรากฏม่านพลังบาง ๆ ห่อหุ้มไม่ให้สายฝนตกลงมากระทบผิวกาย

ฝนที่กำลังตกลงมาอย่างต่อเนื่องนี้ ดูเหมือนจะมีขึ้นเพื่อบดบังทัศนวิสัยของผู้ที่เดินเข้ามาโดยเฉพาะ

ช่วยเพิ่มความยากในการทดสอบมากยิ่งขึ้น

การทดสอบด่านนี้ หลินเป่ยเฉินจะต้องเดินผ่านตรอกนี้ไปให้ได้ และก็คงจะต้องมีศัตรูคอยซุ่มอยู่ในตรอกแน่นอน

ทันใดนั้น ในม่านสายฝนที่อยู่เบื้องหน้า ปรากฏเงาร่างของผู้คนพุ่งตรงเข้ามาพร้อมกับสายลมวูบหนึ่ง

เป็นผู้มีพลังระดับเซียน

หลินเป่ยเฉินสามารถรับรู้ได้ทันที

เขายื่นมือออกไปในอากาศ

แสงสว่างวูบวาบ กระบี่เงินเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือหลินเป่ยเฉิน

วูบ!

คมกระบี่สาดประกายเจิดจ้า

เงาร่างคนโซเซ

หลินเป่ยเฉินเดินต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

จังหวะที่เงาร่างคนทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนพื้น ฝีเท้าของคนผู้นั้นก็ไม่มั่นคง ยกมือขึ้นกุมตำแหน่งหัวใจ พยายามจะวิ่งหนีไป แต่ร่างกายกลับสลายกลายเป็นกลุ่มหมอกควัน ระเหยหายไปท่ามกลางสายฝน

ควับ!

หลินเป่ยเฉินตวัดกระบี่และเดินหน้าต่อ

ในห้องสังเกตการณ์ เกออู๋โหยวเฝ้ามองทุกอย่างผ่านจออาคม สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปแล้ว เช่นเดียวกับแววตาที่แสดงออกถึงความตกตะลึง

หลินเป่ยเฉินสามารถสังหารผู้มีพลังระดับเซียนได้ในกระบวนท่าเดียว?

พลังเช่นนี้…

แตกต่างจากตอนที่หลินเป่ยเฉินแสดงออกมาในค่ายอาคมจำแนกปราณธาตุและยามที่อยู่ต่อหน้ากระจกสะท้อนปัญญาหลายต่อหลายเท่า

เกออู๋โหยวจ้องมองหน้าจอต่อไป

ความหวาดหวั่นยิ่งปรากฏบนสีหน้าของเขามากขึ้น

เนื่องจากหลินเป่ยเฉินที่อยู่บนหน้าจอยังคงเดินควงกระบี่ในตรอกพิรุณอย่างมั่นใจ ไม่ต่างจากบุคคลผู้หนึ่งที่กำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้ เงาร่างของคู่ต่อสู้ที่ปรากฏในตรอกมืดจางหายไปคนแล้วคนเล่าภายใต้คมกระบี่ของเขา

คู่ต่อสู้คนที่สอง…

คู่ต่อสู้คนที่สาม…

คู่ต่อสู้คนที่ห้า…

หลินเป่ยเฉินเคลื่อนไหวด้วยท่าทางไม่รีบไม่ร้อน แต่กลับสามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้ถึงห้าคนในพริบตาเดียว สีหน้าของเกออู๋โหยวก็แสดงออกถึงความตกใจสุดขีด

เงาร่างห้าสายที่ปรากฏขึ้นในตรอกพิรุณนั้น เป็นร่างจำแลงของยอดฝีมือระดับเซียนในแผ่นดินตงเต้า

หลินเป่ยเฉินกลับสามารถสังหารได้อย่างง่ายดาย นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?

ยิ่งพิจารณาเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เกออู๋โหยวก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากเท่านั้น

เขาไม่สามารถควบคุมสีหน้าของตัวเองได้อีกแล้ว

ความมั่นใจและความเมินเฉยไม่ปรากฏอยู่อีกต่อไป

สีหน้าของเกออู๋โหยวมีแต่ความตกตะลึง

เหตุไฉนหลินเป่ยเฉินจึงได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้?

ไม่เหมือนผู้มีพลังระดับเซียนหน้าใหม่แม้แต่น้อย

แล้วการทดสอบที่ผ่านมาคืออะไร?

.

ทันใดนั้น หัวใจของเกออู๋โหยวก็กระตุกวูบ คำถามทุกอย่างที่สงสัยได้รับคำตอบในทันที

“ก่อนหน้านี้เขาปิดบังฝีมือที่แท้จริง”

เกออู๋โหยวเข้าใจทุกอย่างแล้ว

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่หลินเป่ยเฉินจะสามารถพังประตูเซียนเข้ามาได้ง่าย ๆ

มันไม่ใช่เรื่องโชคช่วยหรืออุบัติเหตุ

แต่หลินเป่ยเฉินมีความแข็งแกร่งจริง ๆ

แล้วเขาจะปิดบังฝีมือของตนเองเพื่ออะไร?

ต้องทราบก่อนว่าการเข้ารับการทดสอบในสองด่านแรกนั้น เป็นส่วนสำคัญในการคิดคะแนนเพื่อระบุลำดับชั้นว่าผู้เข้ารับการทดสอบนั้นจะได้เป็นผู้มีพลังระดับเซียนขั้นใด

ต่อให้ทำได้ดีในการทดสอบด่านที่สาม แต่ด่านนี้ก็ไม่มีคะแนนสักเท่าไหร่แล้ว

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก

เพราะผู้มีพลังระดับเซียนสมควรมีพลังปราณธาตุแข็งแกร่งและมีสติปัญญาเฉียบแหลม

ส่วนทักษะการต่อสู้เป็นเรื่องสำคัญน้อยที่สุด

เกออู๋โหยวมองหน้าจออาคมด้วยความตกตะลึง ยิ่งเห็นร่างจำแลงของผู้มีพลังระดับเซียนระเหยหายไปกลายเป็นหมอกควันในอากาศ หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นระทึกด้วยความร้อนรน

“เพราะอย่างนี้เองสินะ”

เกออู๋โหยวกระซิบออกมา

เขาพบเหตุผลแล้วว่าเพราะอะไรหลินเป่ยเฉินถึงต้องปิดบังฝีมือที่แท้จริง…

เพราะเขาอยากจะต่อสู้กับจูจวิ้นหลาน

ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ๆ

หลินเป่ยเฉินตั้งใจแสดงฝีมืออ่อนแอ เพื่อทำให้จูจวิ้นหลานเข้าใจผิดและคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบเขา

ด้วยเหตุนี้ จูจวิ้นหลานก็จะต้องอาสาเป็นผู้คุ้มกันตรอกพิรุณคนสุดท้ายอย่างไม่ต้องสงสัย

จูจวิ้นหลานหลงเข้าใจผิดคิดว่าตนเองเป็นนักล่า กำลังรอจับเหยื่อที่น่าสงสาร

แต่ความจริงนั้น…

หลินเป่ยเฉินต่างหากที่เป็นนักล่า

ซ้ำยังเป็นนักล่าที่น่ากลัว

หลินเป่ยเฉินมีจิตใจโหดเหี้ยมมากเกินไป

เพียงเพราะถูกจูจวิ้นหลานพูดจายั่วโมโหไม่กี่ครั้ง หลินเป่ยเฉินก็ถึงกับคิดกำจัดอีกฝ่ายแล้ว

แต่หลินเป่ยเฉินมั่นใจได้อย่างไรว่าจูจวิ้นหลานจะกลายเป็นผู้คุ้มกันตรอกพิรุณคนสุดท้าย?

อีกอย่าง จากการเฝ้าดูพฤติกรรมที่ผ่านมา หลินเป่ยเฉินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขั้นตอนในการขึ้นทะเบียนนั้นมีอะไรบ้าง…

หรือว่าเขากำลังแสดงละครตบตาผู้คน?

เพราะความจริงนั้น หลินเป่ยเฉินรู้ทุกอย่างดีอยู่แล้ว?

นี่หมายความว่าความแค้นระหว่างหลินเป่ยเฉินกับจูจวิ้นหลานคงมีอะไรมากกว่าที่เขาคิดกระมัง?

ยิ่งเกออู๋โหยวคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งหวาดกลัวมากเท่านั้น

เกออู๋โหยวเป็นบุคคลที่เฉลียวฉลาด

มิฉะนั้น เขาคงไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของถานชงเยวียน ผู้ดูแลเจดีย์เซียนเหยียบเมฆประจำเมืองเป่ยไห่

และด้วยความที่เป็นคนเฉลียวฉลาด เด็กหนุ่มจึงมักมั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของตนเอง เมื่อเขาเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ เกออู๋โหยวจึงทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว

‘ข้าควรทำอย่างไรดีนะ?’

เกออู๋โหยวถามตัวเองอยู่ในใจ

ด้วยระดับพลังและทักษะการต่อสู้ของหลินเป่ยเฉิน ย่อมเอาชนะจูจวิ้นหลานได้โดยไม่ยากเย็น

ยิ่งไปกว่านั้น จูจวิ้นหลานไม่ใช่ผู้ที่มีวิทยายุทธ์สูงส่งสักเท่าไหร่ในกลุ่มผู้มีพลังระดับเซียน

หรือว่าเขาจะแอบแจ้งเตือนจูจวิ้นหลาน?

ถึงอย่างไร เกออู๋โหยวก็รับสินบนจากอีกฝ่ายมาไม่น้อย

แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าเขากำลังเอาเปรียบหลินเป่ยเฉิน

เกออู๋โหยวครุ่นคิดด้วยความหนักใจ เลือกทางขวาก็อันตราย เลือกทางซ้ายก็ไม่เหมาะสม ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงหลินเป่ยเฉินตะโกนออกมาว่า “ยังมีปีศาจตนใดมุดหัวอยู่อีกหรือไม่ รีบเสนอหน้าออกมา ข้าจะจัดการถลกหนังพวกเจ้าเอง”

เกออู๋โหยวสะดุ้งโหยงด้วยความตื่นตระหนก

“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”

เสียงหัวเราะของจูจวิ้นหลานดังกังวานไปทั่วตรอกพิรุณ

เขาแทบรอคอยไม่ไหวอีกต่อไป

ไม่ทันสังเกตเลยว่าหลินเป่ยเฉินเดินฝ่าสายฝนเข้ามาโดยไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย

“เป็นเจ้าเองหรือ?”

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเข้ามาอยู่ในตรอกพิรุณได้อย่างไร?”

เกออู๋โหยวผู้แอบสังเกตสีหน้าของหลินเป่ยเฉินบนหน้าจออาคม หรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น

ยังคงแสดงละคร

หลินเป่ยเฉินยังคงแสดงละครตบตาผู้คน

ฝีมือในการแสดงช่างเลิศล้ำ

จูจวิ้นหลานประมาทเกินไปที่จะเห็นหลินเป่ยเฉินเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัว

เขายิ้มมุมปาก เดินสืบเท้าก้าวเข้าไปหาพลางพูดว่า “เจ้าคงคิดไม่ถึงละสิ? แปลกใจใช่ไหมล่ะ? ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าเป็นผู้ดูแลสมาคมผู้มีพลังระดับเซียน ย่อมมีคุณสมบัติทำหน้าที่ผู้ตรวจสอบยอดฝีมือระดับเซียนหน้าใหม่เช่นเจ้าอยู่แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าคงไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้สินะ? บัดนี้ เจ้าหวาดกลัวแล้วหรือไม่?”

“ข้าเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาบ้างเล็กน้อย” หลินเป่ยเฉินพูดอย่างใช้ความคิด “ข้ากลัวว่าอาจจะยั้งมือไม่อยู่จนฆ่าเจ้าตายก็เป็นได้”

“ฮ่าฮ่าฮ่า สามหาวนัก เป็นเพียงผู้มีพลังระดับเซียนหน้าใหม่ กลับกล้าคิดฝันถึงเรื่องนี้เชียวหรือ?”

จูจวิ้นหลานเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความตลกขบขัน “วันนี้อาจจะมีคนตายก็ได้ แต่คนผู้นั้นคงไม่ใช่ข้า ฮ่าฮ่าฮ่า”

หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “หมายความว่าอย่างไร นี่เจ้ามีเจตนาคิดฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ?”

จูจวิ้นหลานหัวเราะในลำคอ เสแสร้งแกล้งถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ “ใครจะไปมีเจตนาคิดฆ่าเจ้า ข้าก็แค่ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ตรอกพิรุณ แต่หากเจ้ามีระดับพลังอ่อนด้อยมากเกินไปจนถูกข้าฆ่าตายขึ้นมา นั่นก็ถือเป็นโชคร้ายของเจ้าเอง อีกอย่าง ความตายในตรอกพิรุณถือเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง”

“ความตายในตรอกพิรุณถือเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนั้นหรือ?”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก “เข้าใจแล้ว”

ลมหายใจต่อมา เขาก็ลงมือ

วูบ!

ตัวคนพุ่งไปข้างหน้าว่องไวเป็นลำแสง เพียงพริบตาเดียวก็เข้าประชิดตัวจูจวิ้นหลาน

“นี่มันอะไรกัน?”

จูจวิ้นหลานหรี่ตาลงโดยทันที

ระดับพลังที่พุ่งออกมานั้นช่างน่ากลัว

แต่จูจวิ้นหลานไม่มีเวลาได้ตั้งรับ

เขาเห็นกำปั้นขนาดใหญ่ลอยเข้ามาอย่างเร็วไว

หลังจากนั้น ชายฉกรรจ์ก็ได้สัมผัสถึงความเจ็บปวดที่ศีรษะซึ่งตนเองไม่เคยได้สัมผัสมานานแล้ว ความเจ็บปวดเหล่านั้นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว

ร่างของจูจวิ้นหลานหมุนคว้างกลิ้งกระเด็นไปหลายตลบ

แต่หลินเป่ยเฉินเร็วไวมากกว่านั้น

เขาดีดตัวขึ้นไปในอากาศ ลอยอยู่เหนือร่างของจูจวิ้นหลาน ก่อนจะทิ้งน้ำหนักตัวลงไป

โครม!

จูจวิ้นหลานถูกเหยียบย่ำจมลงไปใต้พื้นอิฐ

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

เสียงก้อนอิฐและเสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นพร้อมกัน

ภายใต้ม่านพิรุณ แสงสว่างเป็นประกายระยิบระยับ รอยแตกร้าวคล้ายกับใยแมงมุมปรากฏขึ้นบนพื้นอิฐเป็นบริเวณกว้าง

“อ๊ากกก!”

เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังกังวาน หลินเป่ยเฉินรัวสองหมัดของเขาใส่ใบหน้าจูจวิ้นหลานด้วยความหนักหน่วงรุนแรงและรวดเร็วราวกับการทำงานของเครื่องจักรกล

บัดนี้ ศีรษะของจูจวิ้นหลานจมหายลงไปใต้พื้นอิฐแล้ว