ภาคที่ 38 เจ้าดินแดนเสวี่ยอิง ตอนที่ 58.2 ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นตงป๋อเสวี่ยอิง (2)

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ภายใต้การตรวจตราของตงป๋อเสวี่ยอิง ทั้งโลกกำเนิดซึ่งเหมือน ‘จานกลม’ อันตะปุ่มตะป่ำ เบาบางและผุพังแห่งนี้กำลังถูกซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว ตัวจานกลมอันตะปุ่มตะป่ำเองก็กำลังหดเล็กลง จากเดิมที่เบาบางก็กลายเป็นหนาแน่นขึ้น! เมื่อหดเล็กลงจนเหลือเพียงหนึ่งในร้อยส่วนของก่อนหน้านี้ โลกกำเนิดจึงหยุดหดตัว

 

‘จานกลม’ ซึ่งเปลี่ยนแปรจากโลกกำเนิดหนาแน่นและเรียบลื่นหาใดเปรียบ

 

หากกล่าวว่าโลกกำเนิดก่อนหน้านี้ ผู้ที่มิได้เป็นแม้แต่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็ล้วนสามารถสำแดงศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาและแทรกซึมเข้ามาได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นตอนนี้ แม้แต่เจ้าดินแดนผู้สูงส่งเหนือใครก็ยังยากที่จะแทรกตัวเข้ามาได้!

 

ปิดผนึกโดยสิ้นเชิง ไม่เหลือช่องโหว่แม้แต่น้อย

 

แน่นอนว่าหากเจ้าโลกาอนุญาต…ก็สามารถเข้าไปได้เช่นกัน!

 

โลกกำเนิดที่มีเจ้าของแตกต่างจากโลกกำเนิดที่ไร้เจ้าของเป็นอย่างมาก!

 

“ฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าแรงควบคุมของตนที่มีต่อโลกกำเนิดก็เหมือนกับการควบคุมกายหยาบของตน

 

“มิน่าเล่า จึงได้ว่ากันว่าภายในโลกกำเนิด สามารถเทียบได้กับเจ้าดินแดนเลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง หากต่อยออกไปหมัดหนึ่ง…เขาก็สามารถรวมพลังทั้งโลกกำเนิดให้เป็นระลอกเดียวกันแล้วรวมอยู่บนหมัดหนึ่ง อานุภาพของหมัดนี้ ก็จะยิ่งใหญ่จนน่าเหลือเชื่อ

 

ก็เหมือนกับเจ้าดินแดน

 

หากร่อนลงมายังโลกกำเนิดที่ไร้เจ้าของแห่งหนึ่ง พละกำลังปะทุออกมาอย่างสิ้นเชิง ก็เพียงพอจะทำลายโลกกำเนิดแห่งหนึ่งลงไปได้

 

เนื่องจากพลังของโลกกำเนิดนั้นกระจัดกระจาย จึงมิอาจต้านทานได้เลย! เพื่อที่จะเร่งการแตกสลายครั้งใหญ่ โลกกำเนิดจึงได้บ่มเพาะฝูงมารผลาญทำลายขึ้นมาตามธรรมชาติ! โลกกำเนิดมิอาจสร้างวิธีการที่ได้ผลดีขึ้นมาเองได้ เนื่องจากมันมีเพียงการหมุนเวียนกฎเกณฑ์พื้นฐานเท่านั้น

 

แต่โลกที่มีเจ้าของ…

 

กลับสามารถรวมพลังทั้งหมดของโลกกำเนิดไว้ในร่างเดียวได้! จึงย่อมเรียกได้ว่าไร้ศัตรูเป็นธรรมดา

 

******

 

บนแผ่นดินอลหม่านขนาดเล็กที่ไร้สิ่งมีชีวิตในโลกกำเนิดบ้านเกิด

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ที่นี่ ใบหน้าฉายแววฉงนออกมา

 

บัดนี้ร่างกายของเขาสมบูรณ์แบบหาใดเปรียบ ถึงขั้นเมื่อกำหนดจิตคราหนึ่ง ผิวหนังก็มีอักขระลับสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนเวียนอยู่ นัยน์ตาก็ลึกล้ำหาใดเปรียบ

 

“ร่างกายและวิญญาณของข้าล้วนบรรลุถึงระดับคละถิ่นแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นคละถิ่นระดับโลกาอีกด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสรับรู้พละกำลังของตนเอง สายตาของเขาสามารถมองทะลุทั้งโลกกำเนิดได้อย่างง่ายดาย มองเห็นมิติคละถิ่นอันไร้ที่สิ้นสุดที่โลกภายนอก ถึงขั้นมองเห็นโลกกำเนิดแห่งแล้วแห่งเล่าที่อู่ห่างออกไปไกลลิบ เขาสามารถมองเห็นบริเวณที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่งได้

 

หากตั้งใจแล้ว ก็ถึงขั้นสามารถกำหนดบริเวณใดบริเวณหนึ่งแล้วตรวจสอบโดยละเอียดได้

 

นี่คือความสามารถของ ‘ดวงตา’ ที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกามีเองตามธรรมชาติ

 

“ทุกการกระทำของข้าล้วนมีอานุภาพยิ่งใหญ่ ตอนนี้หากต่อยออกไหมัดหนึ่งแบบส่งเดช ก็มีความเร้นลับระดับคละถิ่นแฝงอยู่ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วพลางส่ายหน้า “แต่ว่า สามารถใช้งานได้ ก็มิได้หมายความว่ารู้แจ้งถึงแก่นแท้”

 

ก็เหมือนกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง หากหยิบธนูคันหนึ่งขึ้นมา ก็สามารถใช้งานเพื่อโจมตีศัตรูได้

 

แต่ธนูสร้างขึ้นมาอย่างไร เหตุใดจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ธนูมีความเร้นลับอันใดอยู่บ้าง ลูกธนูมีความพิเศษอะไรบ้าง

 

สิ่งเหล่านี้กลับไม่รู้เลย แต่ก็สามารถใช้งานได้เช่นเดียวกัน

 

แต่หากสามารถรับรู้แก่นแท้ได้ ก็จะต่างออกไปแล้ว! เช่นเข้าใจว่าธนูสร้างขึ้นมาอย่างไร คันธนูต้องทำเช่นไรจึงจะร้ายกาจขึ้นได้ ลูกธนูต้องใช้วัสดุระดับใดจึงจะมีอานุภาพยิ่งใหญ่ขึ้น วัสดุที่ใช้สร้างหลอมขึ้นมาอย่างไร หากรู้แจ้งจนทะลุปรุโปร่งทั้งหมดแล้ว ก็สามารถหลอมธนูอันสมบูรณ์แบบขึ้นมาด้วยตนเองได้แล้ว!

 

‘เจ้าดินแดน’ ก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาเข้าถึงวิถีคละถิ่น สามารถทำให้ระดับชีวิตของตนยกระดับขึ้นไปถึงระดับสูงสุด…ระดับเจ้าดินแดนได้ เมื่อสู้รบแล้วสามารถสำแดงพลังออกมาได้มากที่สุด ก็ย่อมแตกต่างออกไป

 

“เหล่าผู้แกร่งกล้าคละถิ่นก็ต้องรับรู้เช่นกัน ยิ่งรับรู้ความเร้นลับมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถสำแดงพลังวิญญาณของกายหยาบออกมาได้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

 

หากขุดค้นพลังของตนจนถึงระดับยอดสุดได้ ก็จะเป็นระดับยอดสุดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาแล้ว

 

จะให้ระดับชีวิตเหินทะยานขึ้นไปอีกครั้ง…ถึงระดับเจ้าดินแดนน่ะหรือ

 

ก็ต้องรู้แจ้ง ‘วิถี’ ระดับคละถิ่น และนี่ก็คือสิ่งที่ผู้แกร่งกล้าคละถิ่นระดับโลกาทุกคนปรารถนา

 

……

 

เนื่อจากก่อนหน้านี้เขาสั่งสมทางด้าน ‘วิถีอากาศ’ และ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ มาหนาแน่นที่สุด

 

ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงสามารถรับรู้ความเร้นลับบางส่วนของ ‘วิถีอากาศ’ ระดับคละถิ่นซึ่งแฝงอยู่ในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ถึงขั้นสามารถอาศัยมันสำแดงวิธีการบางอย่างออกมาได้! ขณะเดียวกันการรับรู้วิญญาณของตนก็สามารถผลักดันวิธีการบางอย่างขึ้นมาได้ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาแต่ละคนล้วนมีสิ่งที่ตนเองถนัด ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเชี่ยวชาญสองด้านคือด้านวิถีอากาศและเขตลวงโลกเทียม

 

“ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องไปจัดการเสียก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปทางขอบอากาศอันสับสนอลหม่าน “จอมเทพศักดิ์สิทธิ์! ถึงเวลาที่ต้องไปจัดการเขาแล้ว!”

 

“ปัง”

 

กำหนดจิตคราหนึ่ง

 

ทางเดินโลกาพิศวงซึ่งเดิมทีบ่มเพาะฝูงมารผลาญทำลายทั้งหลายก็ได้แหลกเป็นผุยผงอย่างสิ้นเชิง ฝูงมารผลาญทำลายที่หลบอยู่ข้างใน นอกจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็ล้วนสิ้นใจไปหมด

 

“โลกกำเนิดของข้าไม่ต้องการฝูงมารผลาญทำลาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเสียงเบา สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อทำลายล้างอย่างฝูงมารผลาญทำลาย ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ชอบเอามากๆ การจะเคี่ยวกรำสิ่งมีชีวิตในโลกกำเนิดของตนย่อมมีวิธีอื่นๆ ฝูงมารผลาญทำลายที่ชอบกวาดล้างเช่นนี้ กำจัดให้สิ้นซากไปเสียจะดีกว่า อย่างดินแดนจิตโลกาก็ไม่มีฝูงมารผลาญทำลายเช่นกัน

 

“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์”

 

มุมปากของตงป๋อเสวี่ยอิงมีรอยยิ้มเยียบเย็นผุดขึ้นมา

 

ต่อให้สำเร็จเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นแล้ว ความอาฆาตที่มีต่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็มิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย

 

……

 

“อะไรกัน”

 

เมื่อจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่หลบซ่อนอยู่ในทางเดินโลกาพิศวงมาโดยตลอดสัมผัสได้ว่าโลกกำเนิดกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็ตกใจขึ้นมา ถึงระดับอย่างเขาแล้ว ก็สามารถสัมผัสได้ว่าโลกกำเนิดกำลังเข้าใกล้การแตกสลายครั้งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ

 

แต่จู่ๆ โลกกำเนิดก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แหล่งต้นกำเนิดโลกกลายเป็นแข็งแกร่งขึ้น! อากาศอันสับสนอลหม่านก็กำลังหดตัวลงด้วยอย่างนั้นหรือ

 

ระยะห่างระหว่างทางเดินโลกาพิศวงและ ‘โลกทิพย์โบราณ’ กำลังหดสั้นลง

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ตะลึงงันไป

 

อากาศอันสับสนอลหม่านขยายใหญ่ขึ้นมาตลอด เหตุใดจู่ๆ ก็หดเล็กลงเสียแล้วเล่า นอกจากนี้ยังหดเล็กลงอย่างรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว

 

หดเล็กลงจนเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของก่อนหน้านี้ เหลือเพียงหนึ่งในสิบ หนึ่งในยี่สิบอย่างนั้นหรือ

 

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์งุนงงไปหมด!

 

“เกิดอะไรขึ้น” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เกิดความหวาดหวั่นจากก้นบึ้งของหัวใจ เขาคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง “โลกกำเนิดแห่งนี้มีเจ้าของแล้วอย่างนั้นหรือ”

 

เขาใฝ่ฝันถึงการครอบครองโลกกำเนิดมาโดยตลอด บัดนี้มีผู้แกร่งกล้าทำได้แล้วหรือนี่

 

“ปัง!”

 

มิติรอบทางเดินโลกาพิศวงระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

 

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มองไปรอบกายด้วยความตกตะลึง ทุกสิ่งล้วนแหลกเป็นผุยผง ทุกสิ่งภายในทางเดินโลกาพิศวงมลายหายไป แม้แต่ฝูงมารผลาญทำลายก็สลายไปอย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงเขา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่รอดชีวิตเพียงลำพัง

 

“ฟิ้ว” ตรงหน้ามีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏกายขึ้น

 

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มองดูชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่เดินเหยียบอากาศเข้ามาตรงหน้า กลิ่นอายของอีกฝ่ายเกรียงไกร สูงส่งเหนือใคร เขาจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงขั้นแข้งขาอ่อนยวบและคุกเข่าลงไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อคุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ขบกรามแน่นและฝืนยืนขึ้นมาทันที พลางจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็ง ภายใต้อานุภาพกดดันอันไร้รูปร่างของเขา ร่างกายก็สั่นสะท้านไปหมด ฟันก็กัดแน่นจนมีเลือดไหลซึมออกมา

 

“ตงป๋อเสวี่ยอิง!” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง “ในที่สุดเจ้าก็มาถึงขั้นนี้แล้วหรือนี่ ปกครองโลกกำเนิดแห่งนี้ สำเร็จผู้แกร่งกล้าคละถิ่นแล้วหรือ”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่มองเขาโดยไม่พูดอะไร

 

“เจ้าจะสังหารข้า หรือคิดจะทรมานข้ากันแน่” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์คำรามเสียงต่ำ เขารู้ว่าด้วยทุกวิ่งที่เขาทำลงไป ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้จะทรมานเขาไปชั่วกัปชั่วกัลป์ก็เป็นเรื่องธรรมดานัก เมื่ออยู่ต่อหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ เขาก็เหมือนกับมดปลวกที่ไร้เรี่ยวแรงต้านทาน

 

“ทรมานหรือ”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “เจ้าหายไปในฟ้าดินนี้เสียเถอะ หายไปตลอดกาล”

 

วิ้ง

 

ทั้งร่างของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ถูกกำจัดไปในทันที! ไม่เหลือแม้แต่เศษผง

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ระดับชีวิตแตกต่างกันเกินไป ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงถือโอกาสสังหารเสียเลย

 

“ท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงนึกถึงท่านอาจารย์กู่ฉี เขายังไม่เคยพบร่างจริงของกู่ฉีและพูดคุยกันมาก่อนเลย

 

“มีโอกาสอยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา

 

“ยังมีท่านพ่อ ท่านแม่ และคนอื่นๆ อีกมากมาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม

 

เขาสามารถสัมผัสได้ถึงสิงมีชีวิตทั้งหมดที่เคยถือกำเนิดขึ้นมาในประวัติศาสตร์ของ ‘โลกกำเนิด’ แห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย! ตั้งแต่ยุคแรกสุดที่โลกกำเนิดใบนี้ถือกำเนิดขึ้นมา ตั้งแต่ชีวิตแรกเริ่มต้นขึ้น…สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในประวัติศาสตร์ของโลกกำเนิด ตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนเข้าถึงได้ทั้งสิ้น จึงย่อมเข้าถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในยุคปัจจุบันนี้ได้ เช่นพวกท่านพ่อ น้องชาย ท่านอาถง ท่านอาจง เช่นพวกท่านอาจารย์กู่ฉี…

 

ขอเพียงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เคยปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์ของโลกกำเนิด ตั้งแต่คนธรรมดา ไปจนถึงเทพจักรวาล!

 

ขอเพียงมิได้สำเร็จขั้นคละถิ่น! ตนก็ล้วนสามารถเคลื่อนย้ายพวกเขาจากช่วงเวลาที่สิ้นใจไป กลับมายังปัจจุบันนี้ได้ ทำให้พวกเขามีชีวิตนิรันดร์ได้อย่างง่ายดาย

 

ซึ่งนี่ก็คือวิธีการของ ‘ประมุขโลกกำเนิด’

 

ความเป็นความตาย ปัจจุบันหรืออนาคต

 

ล้วนไม่มีความหมายอะไรมากนักสำหรับประมุขโลกกำเนิด ภายในโลกกำเนิดของตน ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบันหรืออนาคต ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ขอเพียงมิได้สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ก็ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของประมุขโลกกำเนิดทั้งสิ้น

 

“วิญญาณของข้าในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าระดับครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นมากมายยิ่งนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง “ก่อนหน้านี้ข้าคาดการณ์ว่า ต้องใช้เวลาหลายพันล้านปีจึงจะสามารถหลอมรวมวิถีอากาศระดับครึ่งคละถิ่นและวิถีเขตลวงโลกเทียมได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ตอนนี้วิญญาณของข้าแข็งแกร่งขึ้นตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าแล้ว”

 

วิญญาณของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาคนหนึ่ง เมื่อเทียบกับวิญญาณของร่างครึ่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว…ระดับขั้นก็สูงกว่ามากมายยิ่งนัก

 

ยามนี้ในห้วงสมองของเขา วิถีอากาศกำลังดูดซับความเร้นลับทั้งหลายของ ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ ขั้นสุดยอดนี้และรวมเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่อง ความก้าวหน้าเช่นนี้รวดเร็วเกินไปแล้ว

 

“คาดว่า…”

 

“สองชั่วยามก็สามารถหลอมรวมได้สำเร็จแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบรำพึง “ถึงตอนนั้น ก็จะสำเร็จเป็นเจ้าดินแดนแล้วหรือ”

 

…………………………