บทที่ 1614 ราชาปราชญ์

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

“รับทราบค่ะ!” จินม่านเอ่ยรับ แล้วทำการติดต่อตรงนั้นเลย

“ท่าน…” ไห่ผิงซินกลับโมโหแล้ว ลบตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับภายนอกหมายความว่าอย่างไรล่ะ อย่าบอกนะว่าจะขังนางไว้ที่แดนอเวจีต่อไป?

พอมาอยู่ข้างกายบิดาตัวเอง นางก็ไม่กลัวเหมียวอี้อีกแล้ว ขณะกำลังจะระเบิดอารมณ์ ไห่ยวนเค่อก็ใช้มือข้างหนึ่งกดบ่านางไว้ ควบคุมไม่ให้นางทำซี้ซั้ว เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องราวมากมายที่ลูกสาวตัวเองยังไม่เข้าใจ เหมียวอี้ไม่ได้น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือคนที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ต่างหาก

แต่เขาก็ยังถามแทนว่า “ประมุขปราชญ์ ท่านหมายความว่า จะไม่ให้นางออกไปข้างนอกอีกแล้วเหรอ?”

เหมียวอี้ไม่อยากพัวพันอยู่กับประเด็นสนทนานี้อีก “นางไม่ยอมไปอยู่ข้างกายมารดานาง ข้างกายข้าก็มีสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย และข้าก็มีศัตรูที่ตำหนักสวรรค์อีกเป็นโขยง นางอยู่กับข้าอันตรายเกินไป ให้บิดาอย่างเจ้าดูแลเองก็แล้วกัน เดี๋ยวกลับไปแล้วนางหายไป ข้าก็จะอธิบายกับตำหนักสวรรค์ ว่าเกิดเหตุไม่คาดคิดกับนาง และทางตำหนักสวรรค์ก็จะต้องติดต่อมายืนยันแน่นอน เรื่องจัดการปัญหาที่ตามมาทีหลัง ทางเจ้าก็อย่าให้มีช่องโหว่แล้วกัน”

ที่จริงไห่ยวนเค่อก็ไม่อยากให้ลูกสาวโดนขังอยู่ในนี้เหมือนตัวเอง แต่พอนึกถึงสถานการณ์ของเหมียวอี้ในตอนนี้ ก็พบว่าค่อนข้างอันตรายจริงๆ ส่วนเรื่องทรัพยากรฝึกตน ในเมื่อเหมียวอี้สามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างราบรื่นแล้ว ก็แสดงว่าสามารถนำเข้าทรัพยากรได้ อาศัยส่วนแบ่งทรัพยากรจากฐานะของเขาที่ลัทธิอู๋เลี่ยง ก็เป็นหลักประกันให้ลูกสาวคนเดียวได้อย่างไม่มีปัญหา เขาถึงได้รับน้ำใจส่วนนี้ไว้ พยักหน้าบอกว่า “ทำให้ประมุขปราชญ์คิดหนักแล้ว ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”

“ท่านพ่อ!” ไห่ผิงซินยังไม่ยอม ดึงแขนบิดาออดอ้อน ไห่ยวนเค่อจึงทำหน้าเข้ม”อย่าดื้อ!” ให้ไห่ผิงซินเบะปากก้มหน้าแล้ว จากนั้นของที่อยู่บนตัวก็ถูกไห่ยวนเค่อยึดไปชั่วคราว หลังจากจัดการเรียบร้อยหมดแล้วถึงได้คืนให้นาง

จากนั้นเหมียวอี้ก็ปล่อยหยางชิ่งออกมา แนะนำให้ทุกคนรู้จัก ยังไม่ได้บอกเจตนาที่พาหยางชิ่งมาที่นี่ แต่ทุกคนก็นับว่าดูออกแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้เป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้

หลังจากหยางชิ่งคารวะทักทายทุกคนแล้ว ก็เริ่มประเมินสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบข้าง

ผ่านไปไม่นาน ห้าปราชญ์และบุคคลระดับสูงของห้าลัทธิทยอยกันมาถึงแล้ว

เมื่อเผชิญหน้ากับทุกคนที่ทยอยกันเข้ามาคารวะ เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดอะไรสักคำด้วย ทำเหมือนคนกลุ่มนี้ไปล่วงเกินอะไรเขาไว้อย่างนั้นแหละ แบบนี้หมายความว่าอะไร

เมื่อเห็นคนมากันครบแล้ว เหมียวอี้ก็หันไปพาหยางชิ่งเดินไปบนบันไดนอกตำหนัก พอหันมองต่ำลงมาที่ทุกคนอีกครั้ง ก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตอนแรกที่ทุกคนบอกว่าแต่งตั้งให้ข้าเป็นใหญ่ที่สุด ไม่ทราบว่าจะรักษาคำพูดหรือเปล่า?”

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก เจ้าตัวยืนอยู่บนที่สูงอย่างนั้น ยังต้องให้บอกอีกเหรอว่าหมายความว่าอะไร นี่กำลังต้องการให้ทุกคนแสดงท่าทีเหรอ

คนกลุ่มนี้เริ่มแอบถ่ายทอดเสียงปรึกษากันทันที ถึงแม้จะมีเรื่องบางเรื่องที่ในใจไม่อยากยอมรับ แต่คนชรากลุ่มนี้ก็ยอมรับความจริงมาก เรื่องบางเรื่องนั้นมีความหมายแค่ในนาม ส่วนอำนาจแท้จริงที่กุมอยู่ในมือ ใช่ว่าใครอยากจะแย่งก็แย่งได้ ในเมื่อเหมียวอี้ยังมีผลประโยชน์สำหรับพวกเขาอยู่ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำลายผลประโยชน์ของตัวเอง ที่สำคัญคือเหมียวอี้สามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสระ ทำให้ทุกคนมองเห็นความหวังที่จะออกไปจากที่นี่แล้ว

แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือ จะเรียกเหมียวอี้ว่าอะไรล่ะ หลังจากทุกคนปรึกษากันแล้ว ก็ยืนขึ้นพร้อมกัน แล้วกุมหมัดคารวะเรียกด้วยเสียงดัง “คารวะราชาปราชญ์!”

ไห่ผิงซินที่อยู่ข้างหลังกลุ่มคนค่อนข้างตกตะลึง มีหลายเรื่องที่นางยังไม่เข้าใจชัดเจน นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะทำให้หกลัทธิสวามิภักดิ์ได้ ไม่น่าจะใช่สิ เจ้าหมอนี่วรยุทธ์ก็ไม่เท่าไรเองนะ? อ๋องสวรรค์โค่วที่หนุนหลังก็บงการที่นี่ไม่ได้ด้วย คนที่นี่มีใครเห็นอ๋องสวรรค์โค่วอยู่ในสายตาบ้าง?

เหมียวอี้ก็ไม่เกรงใจเช่นกัน เอ่ยเรียกเสียงเรียบว่า “จินม่าน!”

จินม่านก้าวขึ้นมาข้างหน้า “ข้าน้อยรายงานตัว!”

เหมียวอี้กล่าวช้าๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือประมุขปราชญ์ลัทธิอู๋เลี่ยง! ลัทธิอู๋เลี่ยงมีความเห็นแย้งหรือไม่?”

จินม่านตะลึงงัน

พวกซือถูชิงหลันสบตากันแล้วยิ้ม แบบนี้สิถึงตรงตามที่ทุกคนหวัง พวกเขากุมหมัดคารวะทันที “ไม่มีความเห็นแย้ง!” จากนั้นก็กุมหมัดคารวะจินม่านอีกครั้ง “คารวะประมุขปราชญ์”

กะทันหันอย่างนี้ ทำให้จินม่านลนลานนิดหน่อย กุมหมัดคารวะอย่างเก้อเขินเล็กน้อย “ข้าน้อยเอ่ยรับคำสั่ง!”

กลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างยังครุ่นคิดถึงเจตนาของเหมียวอี้อยู่เลย เหมียวอี้บอกอีกว่า “หยางชิ่ง!”

เสียงนี้ดึงดูดสายตาของทุกคนให้มองขึ้นไปอีกครั้ง หยางชิ่งลงบันไดไปสองสามก้าว แล้วกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยรายงานตัว!”

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หยางชิ่งจะเป็นหัวหน้าผู้ช่วยผู้ช่วยของหกลัทธิช่วงที่ข้าไม่อยู่แดนอเวจี เจ้าจะเป็นตัวแทนข้าจัดการงานทุกอย่างของหกลัทธิ” เหมียวอี้ประกาศเสียงดัง

เดิมทีต้องการจะแต่งตั้งหยางชิ่งเป็นผู้การใหญ่ของหกลัทธิ เพียงแต่หยางชิ่งปฏิเสธเอง หยางชิ่งคิดว่าเพิ่งมาครั้งแรกล้วได้ชื่อว่าเป็น ‘ผู้การใหญ่’ เลยจะยั่วโมโหคนเกินไป เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน จะไปควบคุมดูแลใครได้? หัวหน้าผู้ช่วยผู้ช่วย’ ฟังดูเบากว่าเยอะ ให้ทุกคนเข้าใจว่าเขาอยู่ที่นี่เพียงเพราะปฏิบัติตามคำสั่งเหมียวอี้จะดีกว่า ส่วนเรื่องอื่นๆ รอตอนหลังค่อยว่ากันอีกที ไม่สะดวกจะใช้ความรุนแรงมากเกินไป

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หยางชิ่งก็ยังนึกไม่ถึงว่าพอมาถึงเหมียวอี้ก็จะประกาศคำสั่งแต่งตั้งเลย ทำให้เขาต้องทึ่งกับความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญในบางครั้งของเหมียวอี้ เด็ดขาดจนทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา ก็จะต้องปรึกษากับหกลัทธิก่อนแล้วค่อยออกคำสั่งแน่นอน ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะไม่ปรึกษากับหกลัทธิเลย กดตำแหน่ง ‘หัวหน้าผู้ช่วยผู้ช่วย’ ลงบนหัวหกลัทธิโดยตรง เขากังวลนิดหน่อยว่าหกลัทธิอาจจะไม่ยอมรับ

แต่ในเมื่อเหมียวอี้ทำแบบนี้ไปแล้ว เขาก็จำต้องให้ความร่วมมือ “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”

ในความเป็นจริงก็เป็นอย่างนั้น จู่ๆ ก็มีคนมากมายสุมหัวกันกระซิบกระซาบหรือไม่ก็ขมวดคิ้วให้กับคำสั่ง ‘หัวหน้าผู้ช่วยผู้ช่วย’ นี้ หยางชิ่งที่ยืนแยกอยู่ด้านข้างแอบสังเกตเงียบๆ พบว่าสถานการณ์ไม่ได้แย่ถึงขนาดนี้เขาจินตนาการไว้ เห็นได้ชัดว่าถึงแม้ในใจทุกคนจะมีความเห็นแย้ง แต่ก็ไม่มีใครจะกระโดดออกมาคัดค้าน

เหมียวอี้ก็ไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนจะยอมศิโรราบจากใจ ห้าปราชญ์อยู่ที่นี่มานานแต่ก็ยังทำจุดนี้ให้สำเร็จไม่ได้ เขาไม่คิดว่าหยางชิ่งโผล่หน้ามาแล้วจะทำสำเร็จได้เลย แต่เขาก็มีเวลาให้หยางชิ่งใช้กับคนพวกนี้อยู่แล้ว

พอเดินลงบันไดมาแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่ชายตามองเลย เดินก้าวยาวผ่านกลุ่มคนไป ทุกคนจำเป็นต้องหลีกซ้ายหลีกขวาให้เขาเดินผ่านไป

พวกจินม่านแทบจะส่งสายตาให้กันโดยจิตใต้สำนึก พวกเขาแอบรู้สึกสะท้อนใจ พบว่าความแข็งกร้าวของเหมียวอี้ในตอนนี้แตกต่างจากตอนที่เหมียวอี้มาที่นี่เป็นครั้งแรกราวกับเป็นคนละคน

ทุกคนไม่รู้ว่าเหมียวอี้ต้องการจะทำอะไร ได้แต่เดินตามหลังเขาไป เดินเรียงหน้ากระดานอยู่ทางซ้ายและขวาของเขา ยืนอยู่บนยอดเขาสูงที่หันหน้าเข้าหาทะเลอันกว้างใหญ่

เห็นเพียงเหมียวอี้สะบัดแขนเสื้อสองข้าง กำไลเก็บสมบัติบนแขนสองข้างมีพลังอิทธิฤทธิ์ม้วนช้าๆ มีเงาคนถูกพ่นออกมาคนแล้วคนเล่า

ผ่านไปไม่นาน คนหนึ่งหมื่นก็ลอยปรากฏอยู่บนท้องฟ้า แต่ละคนมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตะลึงประหลาดใจ มีคนไม่น้อยพอได้เห็นอวิ๋นอ้าวเทียนและพวกห้าปราชญ์ยืนอยู่บนหน้าผาแล้วก็ทำสีหน้าตื่นเต้นดีใจทันที ต่างก็รู้ว่าตัวเองน่าจะมาถึงพิภพใหญ่แล้ว

หยางชิ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้โบกมือพร้อมกล่าวเสียงดัง “ออกมาให้หมดเถอะ”

คนนับหมื่นทำตามที่วเตรียมตัวไว้ตอนแรก เหาะแยกย้ายกันไปบนเขตต่างๆ เหนือผิวทะเล

อวิ๋นอ้าวเทียนและห้าปราชญ์ที่เตรียมใจไว้แล้วยังดีหน่อย แต่พวกประมุขขุนพลของหกลัทธิกลับหรี่ตาอย่างฉับพลัน บางคนก็หนังตากระตุก บางคนก็เบิกตากว้าง

เห็นเพียงหนึ่งหมื่นคนที่กระจายกันไปอยู่บนผิวทะเลไกลๆ เริ่มจากหนึ่งกลายเป็นสิบ สิบกลายเป็นร้อย ร้อยกลายเป็นพัน ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว ทะเลคลื่นมรกตตรงหน้าก็ถูกปกคลุมไว้หมดแล้ว กลุ่มคนที่หนาแน่นเป็นพืดทำให้คนมองไม่เห็นว่าชายขอบว่าสิ้นสุดตรงไหน

มีคนนับไม่ถ้วนยืนอยู่บนทะเลกว้างคลื่นมรกต แต่ละคนกำลังเหลียวซ้ายแลขวา พวกเขาค่อนข้างเฝ้าคอยและอยากรู้อยากเห็น

หกประมุขขุนพลและคนอื่นๆ พุ่งขึ้นท้องฟ้าโดยจิตใต้สำนัก อยู่บนฟ้าสูงเพื่อมองดูกระแสผู้คน พวกเขาพากันสูดหายใจลึกด้วยความตกใจ ค่อนข้างตกตะลึง ไม่รู้ว่าเหมียวอี้นำคนมาจากไหนมากมายขนาดนี้

หลังจากทยอยกันมาถึงแล้ว จินม่านก็กุมหมัดคารวะถาม “ประมุขปราชญ์นำคนนอกพวกนี้มาทำไม?”

เหมียวอี้อธิบายว่า “ไม่ต้องห่วง คนพวกนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของประมุขชิงกับประมุขพุทธะ พวกเขามาจากอาณาเขตดาวลึกลับ แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตำหนักสวรรค์เลย ตั้งแต่นี้ไปคนพวกนี้จะมาเป็นลูกน้องพวกเจ้า นับว่านำมาเป็นของขวัญให้พวกเจ้าก็แล้วกัน เป็นรากฐานให้พวกเราโจมตีโต้ตอบตำหนักสวรรค์ในอนาคต ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่พวกเรา ถ้าอยากโค่นล้มตำหนักสวรรค์ก็เป็นเรื่องเพ้อฝันจริงๆ”

หกประมุขขุนพลฮึกเหิมทันที มีหรือที่พวกเขาจะไม่รู้ถึงความน่าอายของฝ่ายตัวเอง รู้อยู่แล้วว่าการที่หกลัทธิจะโค่นล้มตำหนักสวรรค์เป็นแค่ฝันกลางวัน ตำหนักสวรรค์ที่พัฒนาเติบโตมาหลายปีไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสู้ได้แล้ว อย่าว่าแต่ประมุขชิงกับประมุขพุทธะร่วมมือกันเลย ต่อให้กองทัพองครักษ์ลูกน้องประมุขชิง ถ้าปะทะกันซึ่งๆ หน้า เลือกใครสักคนออกมาจากหน่วยองครักษ์ซ้ายขวาก็สามารถกำจัดพวกเขาได้แล้ว แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องหลอกลูกน้อง ถ้าไม่มอบความฝันให้ลูกน้อง ใจคนก็จะกระจัดกระจายไปนานแล้ว ตอนนี้มีกำลังพลกลุ่มใหญ่มาเพิ่มกะทันหัน จะต้องทำให้ลูกน้องฮึกเหิมมีกำลังใจแน่นอน อย่างน้อยก็มีจุดหนึ่งที่ทำให้พวกลูกน้องเห็นได้ นั่นก็คือพวกเขามีหนทางไปมาระหว่างที่นี่กับโลกภายนอกแล้ว

เย่สิงคงประมุขขุนพลลัทธิมารกุมหมัดคารวะอย่างตื่นเต้นดีใจ “ราชาปราชญ์ เกรงว่าที่นี่จะมีกำลังพลหลายสิบล้านใช่มั้ย?”

“นี่เป็นเพียงกำลังพลแปดสิบล้านที่มาถึงก่อนใน่ช่วงแรกเท่านั้น ตอนหลังยังจะส่งตามมาอีกห้าสิบล้าน” เหมียวอี้กล่าว

หมายความว่ามีกำลังพลหนึ่งร้อยสามสิบล้านเหรอ? ทุกคนตื่นเต้นฮึกเหิมอีกครั้ง

จ่างซุนจูประมุขขุนพลลัทธิเซียนส่ายหน้าอย่างตกตะลึง จากนั้นขมวดคิ้วถามอีก “เหมือนวรยุทธ์จะต่ำไปหน่อย ทำไมยังมีระดับบงกชขาวอยู่เยอะขนาดนี้?”

เหมียวอี้ถามกลับอีกว่า “พวกเรายังมีสิทธิ์เลือกเยอะด้วยเหรอ? ข้าเองก็อยากเอานักพรตบงกชทองเข้ามาสักร้อยล้านเหมือนกัน อย่าว่าแต่นักพรตบงกชทองเลย ต่อให้เอานักพรตบงกชขาวเข้ามาร้อยล้านก็ทำให้ข้างนอกแตกตื่นแล้ว แต่คนพวกนี้ไม่เหมือนกัน พวกเขาไม่รู้เรื่องสถานการณ์ภายนอกเลย สะอาดเหมือนกระดาษขาว สามารถโดนฝึกเลี้ยงได้ตามใจ ถ้าจะให้เอาคนกลุ่มใหญ่ในเขตตำหนักสวรรค์มาจริงๆ ทุกคนคุ้นเคยกับสถานการณ์ภายนอกแล้ว ถ้าอยากจะซื้อหัวใจพวกเขาอีกก็ยากแล้ว เกรงว่าคงจะกลายเป็นหนทางในการติดต่อกับทหารยามเฝ้าแดนอเวจีแทน ร้อยล้านกว่าคนพวกเจ้าคุมไหวมั้ยล่ะ?”

“ที่ราชาปราชญ์พูดก็มีเหตุผล อย่าไปถือสาคนความรู้พื้นๆ อย่างเขาเลย” เย่สิงคงพูดดูถูกจ่างซุนจู เขาตื่นเต้นดีใจจนถูไม้ถูมือ “ไม่ทราบว่าจะแบ่งคนพวกนี้ให้หกลัทธิยังไง ทางลัทธิเซียนไม่อยากได้คน แต่ลัทธิมารของข้าไม่รังเกียจหรอก”

จ่างซุนจูถลึงตาทันที “ใครบอกว่าลัทธิเซียนของข้าจะไม่เอา?” ในบรรดานักพรตแปดสิบล้านคนนี้มีผู้หญิงอยู่ไม่น้อย ที่ลัทธิเซียนมีนักพรตหลายคนที่ไม่เคยล้มลองรสชาติผู้หญิงมาก่อนเลย มีหรือที่เขาจะกล้าไม่เอา ไม่อย่างนั้นกลับไปได้โดนลูกน้องบ่นจนฟ้าถล่มแน่

ทุกคนลองคำนวณคร่าวๆ ก็รู้แล้ว ถ้ามีนักพรตหนึ่งร้อยสามสิบล้านจริงๆ นักพรตชายทุกคนที่โดนขังอยู่แดนอเวจีก็จะแก้ปัญหาเรื่องแต่งงานได้แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น คนมากมายขนาดนี้ก็นับเป็นทรัพยากรกลุ่มใหญ่เหมือนกัน ประเด็นสนทนาของทุกคนจึงเปลี่ยนไปเป็นเถียงกันว่าจะแบ่งสรรและแย่งชิงทรัพยากรชุดนี้อย่างไร ประมุขขุนพลหกลัทธิผลัดกันพูดจนเถียงกันแล้ว

“เอาล่ะ ลัทธิมารของข้าหลีกทางให้นิดหน่อยก็ได้ ยอมลดให้สองล้านคน แต่จะต้องเพิ่มผู้หญิงให้พวกเราหนึ่งแสนคน วรยุทธ์จะสูงหรือจะต่ำ จะสวยหรือขี้เหร่ก็ไม่เกี่ยง” เย่สิงคงโบกมืออย่างใจกว้าง ใจกว้างอย่างนั้นจริงๆ เอาคนสองล้านมาแลกกับผู้หญิงหนึ่งแสน

“มีสิทธิ์อะไร ทำไมต้องให้ผู้หญิงกับพวกเจ้าหนึ่งแสน ฝ่ายข้าก็หลีกทางให้ได้เหมือนกัน!” จินม่านถลึงตาเถียงทันที ถึงแม้นางจะเป็นผู้หญิง แต่เรื่องนี้ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้หญิงพวกนี้ก็ว่าไปอย่าง แต่พอมีแล้ว หากไม่แก้ไขปัญหาเรื่องจับคู่ให้กำลังพลข้างล่าง สถานการณ์ของกำลังพลข้างล่างก็จะวุ่นวายมาก ไม่ว่าใครก็ควบคุมธรรมชาติของคนไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าละเลยก็จะทำให้เกิดการแย่งชิงกันแน่นอน!

…………………………