ติงถงใช้สองมือจับประคองราวระเบียง ไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองมานั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เขาถามอย่างเหม่อลอยว่า “ข้าต้องตายแล้วใช่ไหม?”
บัณฑิตชุดขาวหยิบพัดพับออกมา ยืดแขนออก ใช้พัดตีไปทั่วราวระเบียง
ติงถงหันหน้าไปมอง ตรงระเบียงชมทัศนียภาพบนชั้นสองของเรือข้ามฟาก เว่ยป๋ายแห่งจวนเถี่ยชาง เทพธิดาชิงชิงจากสวนน้ำค้างวสันต์ หญิงชราที่หน้าตาอัปลักษณ์จนทำให้คนขวัญผวา เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทั้งหลายที่เวลาปกติไม่เคยถือสาในสถานะผู้ฝึกยุทธของเขา ยินดีร่ำสุราร่วมกับเขา แต่ละคนมีสีหน้าเฉยเมยเย็นชา
ทางชั้นหนึ่งของเรือ บางคนกำลังรอดูเรื่องสนุก และยังมีบางคนที่แอบหัวเราะใส่เขา โดยเฉพาะคนหนึ่งในนั้นยังยกนิ้วโป้งให้เขาด้วย
ติงถงหันหน้ากลับมาด้วยความสิ้นหวัง จากนั้นก็รู้สึกเฉยชา ก้มหน้าลงมองทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้า
บัณฑิตชุดขาวยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากหน้าต่าง จากนั้นทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
เขายิ้มกล่าว “รู้หรือไม่ว่า ทำไมทั้งๆ ที่เจ้าคือเศษสวะ อีกทั้งยังเป็นตัวการชั่วร้าย แต่ข้ากลับไม่เคยลงมือกับเจ้า ทว่าผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองคนนั้น ทั้งๆ ที่สามารถวางตัวอยู่นอกเรื่องราว แต่ข้ากลับเลือกจะสังหารเขา?”
ติงถงส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร”
หลังจากเรียกกระบี่ออกมาแล้ว บัณฑิตชุดขาวก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก เขาแหงนหน้ามองไปยังทิศไกล “การกระทำความเลวอย่างง่ายๆ ของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดคนหนึ่ง กับการตั้งใจกระทำความเลวอย่างเต็มความสามารถของผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าอย่างเจ้า ผลกระทบที่ส่งต่อฟ้าดินแห่งนี้ต่างกันราวฟ้ากับดิน ยิ่งเขตอิทธิพลเล็กเท่าไร ในสายตาของคนอ่อนแอ พวกเจ้าก็ยิ่งเหมือนเทพเทวดาที่ในมือกุมอำนาจตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นมากเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่ร่างทองกระดาษเปียกผู้นั้นปากพูดว่าไร้ความแค้นต่อกัน ไม่คิดจะฆ่าคน ทว่าหมัดแรกเขาก็ฆ่าคนต่างถิ่นในสายตาของเขาคนนั้นไปแล้ว ทว่าเรื่องนี้ข้าสามารถยอมรับได้ ดังนั้นจึงยินยอมให้เขาปล่อยหมัดที่สองจากใจจริง ทว่าหมัดที่สามเขากลับรนหาที่ตายแล้ว ส่วนเจ้า เจ้าต้องขอบคุณคนหนุ่มที่เรียกข้าว่าเซียนกระบี่ผู้นั้น ตอนนั้นที่เจ้าจะกระโดดลงมาจากระเบียงเพื่อขอความรู้วิชาหมัดจากข้าแล้วเขาห้ามเจ้าเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคนที่ตายจะไม่ใช่ผู้เฒ่าที่ช่วยต้านรับหายนะแทนเจ้า แต่เป็นตัวเจ้าเอง ว่ากันตามจริงแล้ว โทษของเจ้าไม่ถึงตาย แล้วนับประสาอะไรกับที่เกาเฉิงยังจงใจเก็บเจ้าไว้เพื่อทำให้ข้าสะอิดสะเอียน ไม่เป็นไร ข้าก็จะคิดซะว่าเจ้าเองก็เป็นเหมือนข้าในปีนั้นที่ถูกคนอื่นร่ายมรรคกถาไว้ในผืนนาหัวใจ เป็นเหตุให้อารมณ์ถูกชักนำ ถึงได้ทำเรื่องที่ ‘ใจหวังเพียงความตาย’ พวกนั้น”
“เหตุผล ไม่ใช่สิ่งที่มีเพียงคนอ่อนแอเท่านั้นที่สามารถนำมาใช้ร้องทุกข์ระบายความไม่เป็นธรรม ไม่ใช่ถ้อยคำที่จำเป็นต้องลงไปคุกเข่าโขกหัวคำนับถึงจะเปิดปากเอ่ยได้”
สมองของติงถงขาวโพลน ฟังไม่เข้าหัวสักเท่าใด เขาแค่กำลังคิดว่า จะรอให้กระบี่เล่มนั้นตวัดลงมาแล้วตนก็ตายไป หรือตนควรจะมีมาดของวีรบุรุษสักหน่อย กระโดดลงจากเรือ ทำตัวเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดที่ทะยานลมดูสักครั้งดี
บัณฑิตชุดขาวไม่เอ่ยอะไรอีก
คนอย่างพวกเจ้าก็คือพวกจอมยุทธขี่ม้าที่พาตัวไปตายบนภูเขา ระหว่างทางก็ถือโอกาสพุ่งชนคนเดินเท้าที่เกะกะสายตาพวกเจ้าให้ตายไปคนสองคน บนเส้นทางของชีวิตคน ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นดั่งป่าร้างชานเมืองที่ไม่มีใครรู้จัก ล้วนเป็นสถานที่ที่ดีที่จะสามารถกระทำความเลวได้
ในชนบท ในหมู่บ้าน ในยุทธภพ ในวงการขุนนาง บนภูเขา
คนแบบนี้มีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว
บิดามารดา ครูบาอาจารย์เป็นเช่นนี้ ตัวพวกเขาเองก็เป็นเช่นนี้ ลูกหลานของพวกเขาก็จะเป็นเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าจะขวางอย่างไรก็ขวางไว้ไม่อยู่
ตอนนั้นที่อยู่ในวัดจินตั๋วของแคว้นไหวหวง เหตุใดแม่นางน้อยถึงได้เสียใจและผิดหวัง
เพราะตอนนั้นเฉินผิงอันที่จงใจใช้สถานะบัณฑิตชุดขาว หากไม่พูดถึงตัวตนที่แท้จริงและตบะของเขา พูดถึงแค่การกระทำที่เขาแสดงออกมาบนเส้นทางสายนั้น อันที่จริงก็เหมือนกับพวกคนที่พาตัวเองไปตายบนภูเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
สิ่งที่ทำให้นางเสียใจที่สุด หาใช่ความคร่ำครึหัวโบราณของบัณฑิตอ่อนแอผู้นี้ไม่ แต่เป็นประโยค ‘หากข้าถูกตีสลบแล้วมีคนมาขโมยหีบหนังสือของข้าไป เจ้าจะชดใช้ให้หรือ?’ คำพูดและความคิดเช่นนี้คือสิ่งที่ทำให้แม่นางน้อยคนนั้นเสียใจที่สุด ข้ามอบความปรารถนาดีให้แก่โลกและคนอื่น แต่เหตุใดคนผู้นั้นไม่เพียงแต่ไม่รับน้ำใจ กลับกันยังมอบความชั่วร้ายกลับคืนมาให้แก่นาง ความดีของแม่นางน้อยในวัดจินตั๋วดีตรงที่ ต่อให้นางจะเสียใจมากขนาดนั้น ทว่าก็ยังคงเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าคนที่ทั้งโง่และเลวผู้นั้นจากใจจริง และตอนนี้สิ่งที่เฉินผิงอันสามารถทำได้ก็มีเพียงแค่บอกกับตัวเองว่า ‘การทำดีทำเลว เป็นเรื่องในบ้านของตัวเอง’ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงรู้สึกว่านางดีกว่าตนเยอะมาก และยิ่งสมควรถูกเรียกว่าคนดี
บัณฑิตชุดขาวเงียบงันไม่เอ่ยคำใด ทั้งกำลังรอให้ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาที่จากไปย้อนกลับคืนมา แล้วก็กำลังรับฟังเสียงในหัวใจของตัวเอง
แผนการถามหัวใจของเกาเฉิงไม่ถือว่าสูงส่งนัก
ทว่าแผนการที่โจ่งแจ้งของเขากลับทำให้คนต้องหันมามองเขาเสียใหม่
บัณฑิตชุดขาวใช้พัดพับยันไว้ที่หัวใจ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ครั้งนี้ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เกี่ยวอะไรกับสำนักพีหมาด้วย? แม้แต่ข้าก็ยังรู้ว่าการพานโกรธสำนักพีหมาเช่นนี้ไม่ใช่นิสัยของข้า ทำไม จะยอมให้แค่พวกมดตัวน้อยใช้ลูกไม้ที่เจ้ามองออกทะลุปรุโปร่งฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่พอเกาเฉิงอยู่เหนือการควบคุมของเจ้าไปเล็กน้อย เจ้าก็รับความอึดอัดใจแค่นี้ไม่ไหวแล้ว? ผู้ฝึกตนที่เป็นอย่างเจ้า การฝึกตนฝึกจิตใจอย่างเจ้า ข้าว่าก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นสักเท่าไร จงเป็นมือกระบี่ของเจ้าไปเสียดีๆ เถอะ เซียนกระบี่นั้นก็อย่าหวังเลย”
จู๋เฉวียนใช้ริ้วคลื่นในใจบอกกับเขาว่าให้ขี่กระบี่ไปพบกันในจุดลึกของทะเลเมฆ หากร่ายวิชาอภินิหารตัดขาดฟ้าดินบนเรือข้ามฟากอีกครั้ง พลังต้นกำเนิดของคนธรรมดาที่อยู่บนเรือคงถูกลดทอนจนสลายหายไปหมด เมื่อลงจากเรือข้ามฟากก็เพียงขี่กระบี่ตรงไปทางทิศใต้สิบลี้
เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืน ก้าวออกไปหนึ่งก้าว แสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งก็พุ่งดิ่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วมาหยุดลอยอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาพอดี ทั้งคนและกระบี่หายวับไปพร้อมกันในชั่วพริบตา
ท่ามกลางทะเลเมฆ นอกจากจู๋เฉวียนและบรรพจารย์สองท่านของสำนักพีหมาแล้ว ยังมีนักพรตเฒ่าแปลกหน้าอีกหนึ่งคน รูปแบบชุดคลุมเต๋าที่เขาสวมใส่เป็นแบบที่เฉินผิงอันไม่เคยเห็นมาก่อน น่าจะไม่อยู่ในสามสาย แล้วก็ไม่ใช่นักพรตของจวนเทียนซือตำหนักมังกรพยัคฆ์ด้วย ในขณะที่เฉินผิงอันขี่กระบี่มาหยุดลอยตัว นักพรตวัยกลางคนผู้หนึ่งก็แหวกทะเลเมฆจากทิศไกล ก้าวยาวๆ มาถึง หดย่อขุนเขาสายน้ำ ระยะทางบนทะเลเมฆหลายลี้ แค่สองก้าวก็มาถึง
นักพรตวัยกลางคนพูดเสียงหนัก “จัดวางค่ายกลเรียบร้อยแล้ว ขอแค่เกาเฉิงกล้าใช้วิชาอภินิหารมองผ่านฝ่ามือมาลอบฟังพวกเรา ก็คงต้องเจ็บตัวเล็กๆ น้อยๆ กันบ้าง”
สีหน้าจู๋เฉวียนกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเอ่ยว่า “ไม่สามารถค้นพบเบาะแสที่เกาเฉิงทิ้งไว้บนร่างของผู้ฝึกยุทธคนนั้น คือความผิดของข้าเอง”
นักพรตเฒ่าลังเลเล็กน้อย เห็นว่าบรรพจารย์ผู้คุมกฎท่านหนึ่งของสำนักพีหมาที่ยืนอยู่ข้างกายส่ายหน้า นักพรตเฒ่าจึงไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าวว่า “เป็นข้าที่แพ้ให้เกาเฉิงเอง ถูกเขาปั่นหัวครั้งหนึ่ง จะโทษคนอื่นไม่ได้”
จู๋เฉวียนยังคงอุ้มแม่นางน้อยชุดดำไว้ในอ้อมอก เพียงแต่ว่าเวลานี้แม่นางน้อยชุดดำหลับสนิทไปแล้ว
จู๋เฉวียนบอกไปตามตรงอย่างไม่ปิดบัง นางกล่าวอย่างชัดเจนว่า “ก่อนหน้านี้หลังจากที่พวกเราจากไป อันที่จริงก็คอยจับตามองความเคลื่อนไหวบนเรือข้ามฟากอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ผลคือกลัวอะไรก็เจออย่างนั้นจริงๆ บทสนทนาระหว่างเจ้ากับเกาเฉิง พวกเราล้วนได้ยินแล้ว ตอนที่เกาเฉิงสลายเศษซากดวงวิญญาณออกไป แม่นางน้อยก็เรอออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มีควันเขียวกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากปากของนาง ไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธคนนั้น น่าจะเป็นเพราะเขาเล่นตุกติกกับกุยหลิงเกา ยังดีที่ครั้งนี้ข้าสามารถรับรองกับเจ้าได้ว่า นอกจากเกาเฉิงที่อยู่ในนครจิงกวานอาจจะมองพวกเราผ่านฝ่ามือแล้ว เรื่องอื่นๆ ข้าจู๋เฉวียนรับประกันกับเจ้าได้เลยว่า อย่างน้อยที่สุดบนร่างของแม่นางน้อยก็ไม่มีความผิดปกติใดๆ อีกแล้ว”
นักพรตวัยกลางคนผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ทว่ากลับทำให้คนสัมผัสถึงนัยเยาะหยันได้มากกว่าเดิม “เพื่อคนคนเดียว ถึงขั้นไม่สนใจชายหาดโครงกระดูกและตลอดทั้งแถบทิศใต้ของอุตรกุรุทวีป หากเจ้าเฉินผิงอันชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย ผ่านการใคร่ครวญมาเนิ่นนาน จากนั้นก็ทำตามแผนที่วางไว้ ข้าผู้เป็นนักพรตที่เป็นคนนอกก็ไม่อาจพูดอะไรได้มาก แต่เจ้ากลับดีนัก ไม่มีหยุดยั้งลังเลเลยแม้แต่น้อย”
คำพูดของเฉินผิงอันกลับเกือบจะทำให้ทะเลสาบในหัวใจของนักพรตวัยกลางคนผู้นั้นเกิดคลื่นโถมตัว “มรรคกถาของเจ้าไม่ค่อยลึกล้ำสักเท่าไร”
นักพรตวัยกลางคนหลุดหัวเราะพรืด “ในเมื่อเจ้ามีน้ำใจมีคุณธรรมมากขนาดนี้ อยู่ดีไม่ว่าดีก็เก็บภูตน้ำน้อยมาจากข้างทาง อีกทั้งยังตัดใจมอบสมบัติหนักให้นางได้ หากข้าเป็นคนเลว ได้มาเจอกับเจ้า ก็ถือเป็นโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าเลยจริงๆ”
นักพรตเห็นเพียงว่าบัณฑิตชุดขาวที่สวมชุดคลุมอาคมสองชิ้นผู้นั้นหยิบพัดพับออกมาตีศีรษะตัวเองเบาๆ “เจ้ามีขอบเขตสูงกว่าตู้เม่าหรือ?”
นักพรตวัยกลางคนหัวเราะหยันเสียงเย็นชา “แม้ข้าจะไม่รู้เรื่องวงในอย่างละเอียดที่แท้จริง แต่ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะมีขอบเขตเท่าไรเอง คิดดูแล้วปีนั้นคงจะยิ่งแย่กว่านี้ เผชิญหน้ากับขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง เจ้าเฉินผิงอันสามารถรอดพ้นหายนะมาได้ ก็ไม่ใช่เพราะอาศัยที่พึ่งที่อยู่ในมุมมืดนั่นหรอกหรือ? มิน่าเล่าถึงกล้าข่มขู่เกาเฉิง ป่าวประกาศว่าจะมอบความประหลาดใจให้แก่นครจิงกวานหุบเขาผีร้าย ต้องให้ข้าผู้เป็นนักพรตช่วยปล่อยกระบี่บินส่งข่าวข้ามทวีปไปให้เจ้าหรือไม่?”
บัณฑิตชุดขาวยิ้มตาหยี “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนอย่างเจ้า ที่พึ่งของข้าไม่คิดจะมองให้เต็มๆ ตาเลยด้วยซ้ำ? เจ้าว่าน่าโมโหหรือไม่เล่า?”
นักพรตวัยกลางคนสีหน้ามืดทะมึน แต่จากนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “ไม่โมโห ก็แค่เห็นหน้าเด็กอย่างเจ้าแล้วไม่ถูกชะตาเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่ครึ่งๆ กลางๆ ที่ถูกเกาเฉิงมองเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน ที่พึ่งก็คงร้ายกาจไม่เบา บวกกับที่เจ้าอายุยังน้อยแค่นี้ก็มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว มีกลอุบายลึกล้ำ เกาเฉิงสายตาไม่เลว มองคนถูกจริงๆ เจ้าเองก็ไม่แย่ สามารถพูดคุยแย้มยิ้มกับวิญญาณวีรบุรุษที่เป็นประมุขร่วมแห่งหุบเขาผีร้ายอย่างเกาเฉิงได้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปว่ามีคนที่มอบเหล้าให้เกาเฉิงหนึ่งกา แล้วเกาเฉิงยังยอมดื่มจนหมด ชื่อเสียงของเจ้าเฉินผิงอันที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปคงแพร่สะพัดไปทั่วสำนักบนภูเขาทุกหนแห่งภายในค่ำคืนเดียว”
บัณฑิตชุดขาวร้องอ้อหนึ่งที ใช้พัดพับตีฝ่ามือตัวเอง “เจ้าหุบปากได้แล้ว ข้าก็แค่เห็นแก่หน้าเจ้าสำนักจู๋ ถึงได้มีมารยาทกับเจ้า ตอนนี้เจ้าใช้สิทธิ์ที่จะพูดคุยกับข้าหมดแล้ว”
นักพรตวัยกลางคนยิ้มบางๆ “มาประลองฝีมือกันดีหรือไม่เล่า? เจ้าคิดว่าตัวเองต่อสู้เก่งนักไม่ใช่หรือ?”
บัณฑิตชุดขาวเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเห็นแก่น้ำชาดอกท้อพันปีถ้วยนั้นของอาจารย์เจ้า ข้าจะพูดกับเจ้าเพิ่มอีกหนึ่งประโยค”
นักพรตวัยกลางคนรออยู่ครู่หนึ่ง
ผลกลับกลายเป็นว่าคนผู้นั้นไม่เอ่ยอะไร มีเพียงสายตาเวทนาที่มองมายังเขา
นักพรตพลันกระจ่างแจ้ง คำที่บอกว่าจะพูดเพิ่มอีกหนึ่งประโยค ก็คือแค่หนึ่งประโยคนั้นจริงๆ
จู๋เฉวียนรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย
นางกลัวจริงๆ ว่าสองคนนี้คุยกันต่อไปแล้วจะเริ่มม้วนชายแขนเสื้อต่อยตีกัน ถึงเวลานั้นไม่ว่าตนจะช่วยใครก็ล้วนไม่ดี แต่หากไม่ช่วยใครเลยก็ไม่ใช่นิสัยของนางอีก หรือว่าจะทำเป็นพูดเกลี้ยกล่อม จากนั้นก็ซัดพวกเขากันคนละทีสองที? เรื่องต่อยตีนั้นนางจู๋เฉวียนถนัด แต่หากจะให้ห้ามทัพกลับไม่ถนัดเอาเสียเลย หากจะพลั้งมือทำให้ใครเจ็บตัวไปบ้างก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว
นักพรตเฒ่าเอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่เป็นไร สำหรับเฉินผิงอันผู้นั้นและลูกศิษย์ของข้าคนนี้ ล้วนถือว่าเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น”
จู๋เฉวียนถอนหายใจ เอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ในเมื่อเจ้าพอจะเดาออกแล้ว ข้าก็คงไม่แนะนำให้มากความแล้ว ยอดฝีมือลัทธิเต๋าทั้งสองท่านนี้ล้วนมาจากอารามเสวียนตูเล็กแห่งหุบเขาผีร้าย ครั้งนี้ถูกพวกเราเชื้อเชิญให้ออกมาจากภูเขา เจ้าเองก็รู้ว่าสำนักพีหมาของพวกเรานั้น เรื่องรบราฆ่าฟันยังถือว่าพอใช้ได้ แต่หากจะให้รับมือกับแผนการชั่วร้ายของเกาเฉิง ยังจำเป็นต้องขอให้ยอดฝีมือลัทธิเต๋าอย่างเจ้าอารามคอยช่วยจับตาให้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่ได้เอ่ยอะไร
นักพรตเฒ่าจากอารามเสวียนตูเล็กผู้นี้ หากอิงตามคำบอกของเจียงซ่างเจิน ก็น่าจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาชั่วคราวให้แก่หยางหนิงซิ่ง
คืนนั้นที่ริมหน้าผาสะพานเหล็ก เจ้าอารามที่มีหวังว่าจะได้ครองตำแหน่งเทียนจวินผู้นี้คอยเฝ้าอยู่ทั้งคืน นั่นก็เพราะกลัวว่าตนจะสังหารหยางหนิงซิ่งไปโดยตรง
ส่วนน้ำชาดอกท้อพันปีที่ฝากให้เทพเกราะทององค์หนึ่งนำความมาบอกนั้น สรุปแล้วเป็นเพราะความสนใจที่เกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วยามของเจินจวินลัทธิเต๋าท่านนี้ หรือเป็นวิถีการรับรองแขกที่ไม่ต่างจากเกาเฉิงสักเท่าไร เนื่องจากเฉินผิงอันไม่ค่อยรู้เรื่องของอารามเสวียนตูเล็กมากนัก เส้นสายที่มีน้อยเกินไป จึงยังเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายไม่ออกไปชั่วขณะ
เฉินผิงอันมองแม่นางน้อยที่อยู่ในอ้อมอกของจู๋เฉวียน แล้วเอ่ยกับจู๋เฉวียนว่า “อาจต้องรบกวนเจ้าสำนักจู๋อีกเรื่อง ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจสำนักพีหมาและเจ้าอาราม แต่เป็นเพราะข้าไม่เชื่อใจเกาเฉิง ดังนั้นหลังจากสำนักพีหมาใช้เรือข้ามฟากนำแม่นางน้อยไปส่งที่เขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว ยังต้องรบกวนให้ช่วยแจ้งแก่เว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋นสักคำว่า ให้เขาช่วยข้าตามหาคนที่ชื่อชุยตงซาน บอกว่าข้าสั่งให้ชุยตงซานกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วทันที ให้เขามาตรวจสอบดวงวิญญาณของแม่นางน้อยอย่างละเอียด”
เฉินผิงอันเชื่อใจผู้ฝึกตนสำนักพีหมา แต่เจ้าอารามเสวียนตูน้อยที่อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ให้ออกมาเป็นคนอย่างสวีส่ง บวกกับลูกศิษย์อย่างก่อกำเนิดที่นิสัยไม่ค่อยดีและสมองก็ยิ่งไม่ดีตรงหน้านี้ เขาไม่ค่อยเชื่อใจสักเท่าไรจริงๆ
—–